โดย เจษฎา บัวบาล บรรณาธิการวารสารมานุษยวิทยาศาสนา
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่ถกเถียงกับนักวิชาการด้านพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังชวนตั้งคำถามต่องานวิชาการด้านไทยศึกษาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มองพระเครื่อง มนต์คาถา วัตถุมงคลและพุทธพาณิชย์ ว่าเป็นพุทธกระเเสรอง งมงาย หรือเป็นไสยศาสตร์
จัสตินเสนอว่ามุมมองนี้ไม่เพียงเเต่สร้างคู่ตรงกันข้ามเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้นักวิชาการไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวัตถุมงคลและคาถาอาคมเป็นต้นมากพอ ทั้งที่มันเป็นพุทธในวิถีชีวิตและเป็นพุทธกระเเสหลักด้วย กลายเป็นว่าการหมกมุ่นอยู่กับพุทธเถรวาทที่เชื่อว่าเป็นกระเเสหลัก ทำให้เห็นงานที่เขียนออกมาในเเง่ที่พุทธเป็นเครื่องมือของรัฐไทยหรือบ้างก็ใช้ต่อต้านรัฐ จนทำให้ไม่เห็นมิติที่หลากหลายของสังคมพุทธไทย (น. 33)
จัสติน แมคดาเนียล
ตอบคำวิจารณ์ของ ส.ศิวรักษ์
ส.ศิวรักษ์มองว่า “ผู้เขียน (จัสติน) มองก็ไม่เห็นว่า พุทธพาณิชย์มีข้อบกพร่องร้ายเเรงอะไร และไม่ได้อธิบายขยายความเรื่องคณะวัดพระธรรมกายกับสันติอโศก ทั้ง ๆ ที่สองกรณีนี้เป็นส่วนสำคัญของพุทธศาสนาร่วมสมัยในเมืองไทยที่ฝ่ายหนึ่งเน้นไปทางทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างสุด ๆ และอีกฝ่ายหนึ่งต่อต้านกระแสนั้นอย่างสุด ๆ” (Sulak Sivaraksa, 2567)
จริงๆ แล้ว ไม่ใช่จัสตินมองไม่เห็นพุทธพาณิชย์ เขาแค่มองว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของศาสนา ไม่ได้ดีงามหรือเลวร้าย เขายังเขียนให้เห็นถึงกระบวนการทำให้พระสมเด็จ (โต) โด่งดังด้วย เช่น การเติบโตสื่อสิ่งโรงพิมพ์ การมีนิตยสารพระเครื่อง การสร้างเรื่องเล่าที่หลากหลาย ฯลฯ
ส.ศิวรักษ์

นิตยสารพระเครื่อง
การมองพุทธพาณิชย์โยงกับทุนนิยมแล้วสรุปว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายเป็นการมองแบบตัดสินกันง่าย ๆ ว่า ขายพระเครื่องในราคา 999 บาทเป็นพุทธพาณิชย์
ทั้งที่จริงพุทธในทุกประเภทเป็นพุทธพาณิชย์หรือเป็นการสร้างแบรนด์อยู่ในตัว แม้จะอ้างว่าไม่รับเงิน ไม่ใส่รองเท้า ฉันข้าวมื้อเดียว ฯลฯ แต่พวกเขาก็ได้เงินอย่างมากจากผู้ศรัทธาแบรนด์รูปแบบนั้น ในทางพุทธเรียกสิ่งนี้ว่า ลูขัปปมาณิกา ตัวอย่างของสันติอโศกคือ แม้เขาจะขายของในราคาถูก ใช้ชีวิตติดดิน แต่ยังต้องใช้เงินทุนขนาดใหญ่ในการเลี้ยงคนหลายพัน จ่ายค่าเผยเเพร่คำสอนผ่านบุญนิยมทีวีและสถานีวิทยุตามจังหวัดต่างๆ ฯลฯ นั่นหมายถึงการอยู่ได้ด้วยเงินทุนจำนวนมาก

สมณะโพธิรักษ์
ผมได้เขียนเรื่อง “ไม่ขายพระเครื่อง แต่ขายพระป่า” เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่พระธรรมยุตวิจารณ์การขายพระเครื่องของพระมหานิกาย ในขณะที่พวกเขาเองนิมนต์พระวัดป่าที่มีชื่อเสียงมาเทศน์สอนวิปัสสนา ด้วยเหตุผลว่าต้องให้คนพึ่งตนเองได้ รู้จักพุทธศาสนาที่ไม่งมงาย แต่ผลที่ได้คือ ยอดบริจาคจำนวนมหาศาลจากผู้ศรัทธาวิถีแบบพระป่าและอัตลักษณ์ของการฝึกสมาธิ ซึ่งน่าจะมากกว่าการขายพระเครื่องทั้งปี
ฆราวาสผู้ศรัทธาวิถีพุทธแบบพระป่า
เราเเค่ลืมไปว่าการสอนธรรมะที่เชื่อว่าเป็นพุทธเเท้หรือการทำวิปัสสนาก็เป็น product อันหนึ่งที่นำเงินมาให้ และลืมเรียกมันว่า พุทธพาณิชย์ (เจษฎา บัวบาล, 2567) นั่นเพราะถูกวิธีคิดเรื่องพุทธเเท้/พุทธปลอมครอบงำอีกที
การเลือกศึกษากรณีเเม่นากกับหลวงพ่อโต เพราะจัสตินเห็นว่าเป็นพุทธในวิถีชีวิตของคนจริงๆ (popular Buddhism) แม้หลายคนจะไม่รู้จักพุทธทาส ธรรมชโย โพธิรักษ์ ฯลฯ แต่พวกเขารู้จักพระสมเด็จ เเม่นาก และบทสวดชินบัญชร
หุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าคนจริงของสมเด็จโตที่วัดอินทรวิหาร (กรุงเทพฯ)
จริงๆ แล้ว ท.เลียงพิบูลย์ก็ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้าน ผมเองบวชอยู่ในวัดตั้งเเต่ปี 2543 ก็ไม่เคยอ่านเรื่องกฎแห่งกรรมของเขามาก่อน เมื่อได้ยินนักวิชาการอ้างว่าหนังสือนี้เป็นพุทธแบบชาวบ้าน จึงไปหาในห้องสมุดของวัดและพบจริงๆ แต่มันเป็นชุดหนังสือที่ไม่เเพร่หลาย ซึ่งคิดว่าชาวบ้านทั่วไปก็เข้าไม่ถึง
เสียงบรรยายของอาจารย์ยอด (เรื่องเล่าชาวบ้านโดย ปรีชา เรืองเดช) น่าจะดังกว่า ท.เลียงพิบูลย์ด้วย แต่ก็จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่คนดูยูทูปและฟังคลื่นวิทยุขายยา
ขณะที่ผ้ายันต์สมเด็จโตและบทชินบัญชรพบได้ทั่วไปในคนทุกรุ่น มีแม้ในรูปแบบเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ (น. 169) ดังนั้นหากอยากตอบคำถามว่าพุทธแบบไทยมีลักษณะอย่างไร คนไทยศรัทธาพุทธศาสนา คัมภีร์ บทสวด หรือวัตถุประเภทไหนและมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร สำหรับจัสตินเเล้ว สมเด็จโตกับแม่นากจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

พุทธเเท้/พุทธปลอม พุทธกระเเสหลัก/พุทธกระเเสรอง
แม้ ส.ศิวรักษ์จะยอมรับว่าท่านเองก็เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ เช่น เชื่อว่าพระสมเด็จอาจช่วยให้รอดจากอุบัติเหตุรถคว่ำ และยกตัวอย่างบท “เขมาเขมสรณทีปิกคาถา” มาสรุปว่า ชาวพุทธควรทราบว่า พระเครื่องของขลังก็เป็นที่พึ่งได้ “ชั่วคราว” เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นต้องเกาะลูกมะพร้าว แต่ควรฝึกพึ่งตนเองให้ได้ด้วยการมาเรียนรู้/เข้าใจอริยสัจสี่ คือแม้ท่านจะยอมรับว่าวัตถุมงคลมีประโยชน์ แต่คำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนาประเสริฐกว่า วัตถุมงคลเป็นแค่ของสำรอง
ส.ศิวรักษ์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกว่าพุทธธรรมสูงส่งกว่าความเชื่อเรื่องศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธพาณิชย์ จัสตินชี้ให้เห็นว่า นักวิชาการเช่น Peter Jackson, Stanley Tambiah, J.L.Taylor เป็นต้น (น. 217-223) มักแบ่งพื้นที่โลกุตตระออกจากโลกิยะอย่างชัดเจนและยังสื่อเป็นนัยว่า พระที่ดีคือพระที่สนใจโลกุตตรธรรม
ศิลป์ พีระศรี ก็ยกย่องศิลปะที่ได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณพุทธศาสนาและวิจารณ์โลกทุนนิยมว่า “ในยุคของเรา การสร้างพระพุทธรูปได้กลายเป็นเรื่องธุรกิจ .. ในกรณีนี้ คำว่า ศิลปะ ก็ไร้ความหมาย” (น. 309)
โดยสรุปคือ เมื่อมองทุนนิยม/วัตถุนิยมว่าเลวร้าย มองพิธีกรรมว่าเป็นส่วนเสริมหรือเป็นเปลือก จึงทำให้ตกอยู่ในการแบ่งขั้วและไม่สนใจศึกษาหรือทำความเข้าใจพิธีกรรม วัตถุและศิลปะนั้นๆ อย่างละเอียดในมิติที่ยึดโยงกับชีวิตคน
จัสตินเสนอว่า นักวิชาการไทยมักโยงความเป็นพุทธเถรวาทกับคัมภีร์หรือศรีลังกา แล้วระบุว่าพุทธที่ไทยเป็นอยู่คือพุทธแบบท้องถิ่น ไม่บริสุทธิ์ เท่ากับเชื่อว่า พุทธดั้งเดิมนั้นบริสุทธิ์ (น. 51) ทั้งที่ในพระไตรปิฎกเองก็มีเรื่องพระพุทธเจ้าเดินได้ 7 ก้าว พรหมมาเชิญพระพุทธเจ้าให้แสดงธรรม พญานาคมานั่งปรกไม่ให้พระพุทธเจ้าเปียกฝน หรือให้สวดคาถาโพชฌงค์แล้วพระหายป่วย เป็นต้น

พญานาคชื่อมุจลินทร์ขึ้นจากสระน้ำเข้าไปวงขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัดและสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย
พุทธที่ไทยเป็นอยู่จึงไม่ได้ต่างมากจากพุทธในคัมภีร์แบบที่พวกเราจินตนาการ และที่สำคัญคือเราควรศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาโดยยึดโยงกับความเชื่อท้องถิ่นที่เป็นประวัติศาสตร์ของเรา เช่น พระเครื่องหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิใช่จะพุ่งไปที่พุทธจากศรีลังกาเป็นต้น
คนไทยไม่จำเป็นต้องภักดีต่อพุทธเเบบเดียว
การเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสายตาของชาวพุทธไทยแล้ว ไม่ขัดเเย้งกันเลย พวกเขาบูชารูปเคารพที่หลากหลายได้ เช่น พุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม พระพรหม แม่นาก ผีท้องถิ่น รวมถึงเชื่อโหราศาสตร์ ฯลฯ โดยไม่รู้สึกว่าต้องเป็นชาวพุทธที่จงรักภักดีต่อพระรัตนตรัยเท่านั้น และหากต้องอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างก็มักอิงเรื่องอุเบกขา (การวางเฉย) บ้าง อนิจจัง (ความไม่เเน่นอน) บ้าง (น.44) ที่สำคัญคือ คนไทยไม่ได้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างมืดบอด พวกเขาวิจารณ์ทั้งประวัติที่เเตกต่างกันของสมเด็จโต รวมทั้งเเชร์เรื่องลับๆ ของราชวงศ์ด้วย (น. 65) คนไทยจึงไม่ได้เป็นเหยื่อทุนนิยม พุทธพาณิชย์ หรือการมอมเมาที่งมงายแบบที่นักวิชาการเชื่อ
อนึ่ง การทำพระเครื่องก็ไม่ควรถูกมองว่าเป็นการหาเงินอย่างเดียว พระหลายรุ่นทำแจกฟรีเป็นที่ระลึก ผู้คนได้ประโยชน์ในวงกว้าง มีการนิมนต์พระจากหลายที่ มีการจัดร้านค้า ชาวบ้านมาขายของ เช่าเครื่องเสียง มีหมอดู คนขายธูปเทียน โรงเเรมที่พัก รถประจำทาง คณะนางรำ ฯลฯ (น. 382) ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน และคนไม่ได้งมงายแบบที่เราเชื่อ หลายคน (รวมทั้งจัสติน) เช่าพระไปเหมือนซื้อของฝากเพื่อนตามต่างจังหวัดแบบเดียวกับซื้อผ้าขาวม้า
ตลาดพระเครื่อง
เราจึงไม่ควรมองว่า วัตถุมงคลหรือพุทธพาณิชย์คือการมอมเมาให้คนหลงงมงายอย่างเดียว คล้ายกับที่ Brooke Schedneck (2024) เสนอว่า คนไทยไม่ได้เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา พวกเขามักมองว่า หากการขอพร/บนบานแล้วไม่สำเร็จ แสดงว่าเขามีบุญไม่มากพอ และหากอยากประสบความสำเร็จ เช่นอยากได้งานหรือสอบผ่าน พวกเขาก็ลงมือทำด้วย และจัสตินยังเสนอว่าให้เรามองไสยศาสตร์หรือพิธีกรรมว่าเป็นตัวปลูกฝังความกรุณาได้ไหม (น. 229)
ส่วนแม่นาก ซึ่งถูกกล่าวถึงไม่มากในเล่มนี้ พอจะอธิบายได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่คนไทยเคารพและฝากความหวังแม้เธอจะไม่ใช่พระ อาจสื่อว่าพระและผีในไทยไม่ได้ขัดเเย้งกัน แม่นากมีชื่อเสียงเรื่องการช่วยให้ผู้บนบานรอดพ้นจากการเกณฑ์ทหาร เพราะผัวของเธอเองต้องจากไปเพราะเกณฑ์ทหาร ตรงข้ามกับย่าโมที่ส่งเสริมให้คนเป็นนักรบเพื่อชาติ แม่นากยังมีชื่อเรื่องความสำเร็จด้านความรัก (น. 191) กรณีแม่นากอาจสอนเรื่องการยึดติดและปล่อยวางไปในเวลาเดียวกัน และนั่นคือพุทธไทย ที่ไม่ได้มองว่าทั้งสองขัดเเย้งกัน แต่ดำเนินไปด้วยกันได้หรือไหลลื่นอยู่เสมอ
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร
สำหรับผู้สนใจครูบาอาจารย์คนสำคัญ เล่มนี้จะเล่าประวัติสมเด็จโตที่หลากหลาย ตั้งแต่พ่อคือใคร จนกระทั่งตายยังไง ความหลากหลายนี้ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีหนังสือชีวประวัติฉบับมาตรฐาน และดูจะเป็นความตั้งใจให้คลุมเครือ เพื่อที่จะตอบสนองคนได้หลายฝ่าย ตั้งเเต่คนรักเจ้าจนไปถึงคนที่วิจารณ์เจ้า โจรที่กลับใจเพราะท่านไปช่วยผลักเรือให้รีบหนีไปได้ หรือเรื่องที่ดูเป็นมนุษย์ธรรมดาเอามากๆ เช่น เณรกลัวผี ท่านก็ปลอบโยนอย่างทะนุถนอมด้วยการบอกให้เณรมานอนข้างๆ (น. 101) ที่สำคัญคือ เราแทบไม่พบหนังสือที่เป็นหลักคำสอน เพราะในสังคมอดีต หลักพุทธศาสนาหรือหลักศีลธรรมจะอยู่ในรูปของเรื่องเล่าชีวประวัติเช่นการช่วยเหลือคน คือดูที่การกระทำมากกว่าจะเเยกออกมาเป็นการบันทึกคำเทศน์เป็นเรื่องๆ ซึ่งแยกขาดจากบริบท (น. 128)
คนที่เก่งภาษาบาลี จะเห็นตัวอย่างการวิเคราะห์ของจัสตินเพื่อเสนอว่า ในบริบทที่ต้องการสร้างความศักดิ์สิทธิ์หรือการป้องกัน จะมีการเลือกใช้ศัพท์และแปลคำศัพท์ที่ต่างออกไป เช่นในหน้า 159 ข้อ “ชินานานาวารสํยุตฺตา … อเสสา วินยํ ยนฺตุ” พระพุทธเจ้าในที่นี้ใช้ศัพท์ว่า “ชิน” หรือ พระชินเจ้า ซึ่งไม่ได้แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่มีนัยของผู้ชนะ (ศัตรู) เพื่อตอบสนองคนในทางโลก และคำว่า “วินยํ” ก็ไม่ได้แปลว่า วินัยหรือข้อปฏิบัติเพื่อฝึกตนไปสู่ความเจริญ แต่หมายถึง ให้สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย “ถูกทำลาย” ไป ไม่ใช่ความหมายของการพ้นทุกข์ด้วยอริยสัจ แต่พ้นทุกข์ภัยทางโลกด้วยการป้องกัน มีเกราะ (บัญชร) และการต่อสู้ปราบปรามจนได้ชัยชนะ
สำหรับนักวิชาการ การใช้ตัวอย่างที่หลากหลาย ตั้งเเต่เรื่องเล่า บทสัมภาษณ์ วัตถุมงคล นิตยสารพระเครื่อง ภาพยนตร์ พิธีกรรม ศิลปะ การจัดวางวัตถุ ฯลฯ ซึ่งเรียกว่า “คลังวัฒนธรรม” (repertoire) ผ่านระเบียบวิธีวิจัยที่หลากหลายทั้งประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ศาสนศึกษา (การวิเคราะห์คัมภีร์/ภาษา) ฯลฯ ทำให้งานนี้เป็นงานตัวอย่างที่ละเอียด
จัสตินยังมองเห็นในสิ่งที่เรามักไม่สนใจแล้วเอามานำเสนออย่างชวนให้ติดตาม งานของเขาเต็มไปด้วยข้อถกเถียงกับงานอื่นๆ และการใช้เเนวคิดทฤษฎี รวมทั้งการอธิบายถึงข้อจำกัดในการใช้เเนวคิดทฤษฎีนั้นๆ
---------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
- Brooke Schedneck. (2024). Karma and Wish-making in Buddhist Thailand. Accessed from https://tricycle.org/article/thai-wish-making.
- Sulak Sivaraksa. (2567). ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์ฯ. ข้อความที่โพสต์ใน Facebook วันที่ 8 เมษายน. เข้าถึงจาก https://t.ly/rW5Bv.
-จัสติน โธมัส แมคดาเนียล (2567). ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่, กรุงเทพฯ, อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์
- เจษฎา บัวบาล. (2567). พุทธแบบไทยในอินโดนีเซีย. เข้าถึงจาก https://dukuntee.blogspot.com/2024/03/blog-post.html.