หากจะกล่าวถึง “วิทยาศาสตร์” หรือ “Science” ก็ไม่แคล้วต้องหันกลับมาคุยถึงรากศัพท์ของคำว่า “Science” อันมาจากคำว่า “scientia” ในภาษาละติน แปลว่า “ความรู้” (knowledge) ซึ่งมีรากมาจากคำว่า “secāre” แปลว่า “แบ่ง, ตัด” (to cut) นักวิทยาศาสตร์ในอดีตหาได้ถูกเรียกว่านักวิทยาศาสตร์ไม่ เหล่าผู้ศึกษาธรรมชาตินั้นถูกขนานนามว่า “นักปรัชญาธรรมชาติ” (natural philosopher) คำว่า philosopher ก็หมายถึง ผู้ที่รักในปัญญา ครั้นต่อมาราวปี 1834 พหูสูตชาวอังกฤษ วิลเลียม วีเวลล์ (William Whewell) ได้บัญญัติคำว่า “scientist” เพื่อเรียกเหล่าผู้แสวงหาความรู้หรือผู้รักในปัญญา คำว่า science จึงแทนที่คำว่า natural philosophy เป็นต้นมา ความหมายของวิทยาศาสตร์นั้นเปลี่ยนแปลงและมีพลวัฒในตัว กิจกรรมใดที่เรียกได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ยังคงเป็นคำถามที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ทั้งในวงนักวิทยาศาสตร์และคนนอกอย่างเราๆ
วิลเลียม วีเวลล์ (William Whewell)
อ้างอิง https://en.m.wikipedia.org/wiki/William_Whewell
ในความคิดของเราทุกคนคงมองว่า “วิทยาศาสตร์” หรือ “Science” คือศาสตร์ที่ศึกษาธรรมชาติ หาแต่ในความเป็นจริง “Science” นั้นหมายรวมความรู้หลากหลายสาขาเข้าไว้ด้วยกัน “Science” ถูกใช้เรียกความรู้ที่ศึกษามนุษย์ สังคม การเมืองตลอดจนจิตวิญญาณ พรมแดนของวิทยาศาสตร์จึงมีความกว้างขวางและหลากหลาย หากแต่การสร้างวินัยในวิชาทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นกรอบความรู้ที่มีความเฉพาะเจาะจง ศึกษาในประเด็นที่ละเอียดและลงลึกถึงความรู้ชุดหนึ่งๆ วิทยาศาสตร์ในความเข้าใจของเราจึงกลายเป็นเหมือนห้องแลปที่แบ่งแยกจำแนกขอบเขต ปักพรมแดนอย่างชัดเจน ซึ่งต่างออกไปจากวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 15 จนถึง 19 ตอนปลายที่ความรู้วิทยาศาสตร์เชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆ เช่น ศิลปะ ดนตรีและวรรณกรรม
โลกของวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีเพียงโลกของทฤษฎีความรู้ แต่ยังกอปรขึ้นจากบรรทัดฐาน วิธีวิทยา ประชาคมนักวิทยาศาสตร์ นโยบาย รัฐบาล สังคมและเทคโนโลยี การศึกษาวิทยาศาสตร์ในฐานะของระบบของข้อมูลและความรู้ที่ปราศจากความเชื่อมโยงคงไม่พอที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์ในแง่มุมที่หลากหลาย ในมิติที่สัมพันธ์กับศาสตร์อื่น วิทยาศาสตร์ในฐานะทฤษฎีเพียงอย่างเดียวจึงแห้งแล้ง วิทยาศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์อาจหมายถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่ท่ามกลางสังคมและความเป็นมนุษย์ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงและถักทอร่างแหความรู้ แนวทางที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับองค์ความรู้แตกต่างมากมายถูกขนานชื่อว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา หรือ Science and Technology Studies (STS) หรือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม (Science, Technology and Society)
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม นับว่าเป็นศึกษาเชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary) กล่าวคือ การศึกษาองค์ความรู้ที่ไม่จำกัดขอบเขตเพียงแต่สาขาวิชาของตน วินัยแห่งวิชาถูกจับโยนสู่สนามแห่งใหม่ที่ศาสตร์ต่างๆ ร้อยเรียงและสร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กระนั้นก็ยังไม่ถึงกับทำลายความเป็นวิชาทิ้งเสีย เพียงแต่ทำลายวินัยแห่งวิชาแบบเดิมที่คับแคบและแห้งแล้ง อันเป็นการศึกษาที่เดินทางใครทางมันและขาดการสื่อสารระหว่างกัน แม้แต่ในสาขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์ก็ตาม คงเป็นการยากที่นักสมุทรวิทยาจะเกิดบทสนทนากับนักวิจัยโรคพืช หรือการที่นักเคมีอินทรีย์จะหันมาจิบกาแฟคุยกับนักบรรพชีวินวิทยา แนวทางของ STS ไม่เพียงสร้างวงน้ำชายามบ่ายให้เหล่านักสมุทรวิทยา นักวิจัยโรคพืช เคมีอินทรีย์หรือบรรพชีวินวิทยา แต่ยังทำให้นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยาหรือนักปรัชญา เข้ามาปฏิสังสรรค์ร่วมกัน
ห้องปฏิบัติการคณะกรรมการทรัพยากรทางอากาศแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ปี 1973
ความสนใจของเหล่าผู้สมาทาน STS ครอบคลุมตั้งแต่ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรัชญาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมวิทยาในวิทยาศาสตร์ การเมืองและนโยบายศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ รวมถึงบทบาทที่วิทยาศาสตร์มีต่อสังคมและสังคมต่อวิทยาศาสตร์ อาจกล่าวว่า STS ในแง่หนึ่งคือการศึกษาตัววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมิติที่แตกต่าง ในอีกแง่ก็คือการพิจารณาปฏิบัติการทางสังคมของวิทยาศาสตร์ แต่หากเราพิจารณาวิทยาศาสตร์ในช่วงก่อนที่จะเกิดการแบ่งแยกเป็นสาขาวิชาแยกย่อย วิทยาศาสตร์และสังคมไม่เคยถูกแยกจากกัน วิทยาศาสตร์ไม่ได้หมายถึงเพียงวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แต่ครอบคลุมวิทยาศาสตร์ทางสังคมและมนุษย์ สังเกตได้จากชื่อเรียกวิชาในภาษาอังกฤษ เช่น social science, political science เป็นต้น วิทยาศาสตร์ในตัวเองจึงหมายถึงความรู้โดยภาพรวม
ในเมื่อเรารู้จักกับ STS แล้ว เราจะเริ่มต้นศึกษา STS อย่างไรดี เราปฏิเสธได้ยากว่าการศึกษาตามแนวทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษาในสังคมไทยนั้นยังคับแคบและแห้งแล้ง แม้จะมีผู้มาก่อนกาลที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ข้ามศาสตร์หากแต่ก็ยังไม่สามารถลงหลักปักฐานวิทยาศาสตร์พันธุ์ผสมนี้ ให้งอกงามในสังคมไทยได้ หนังสือ An Introduction to Science and Technology Studies หรือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา: ความรู้ฉบับเบื้องต้นโดยเซร์ฆิโอ ซิสมอนโด (Sergio Sismondo) จึงเป็นเหมือนการสำรวจแนวคิดที่สำคัญของ STS อันเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้น ดังนั้น ผู้อ่านมือใหม่จึงอาจไม่คุ้นชินกับศัพท์แสงหรือแนวคิดที่ STS สนใจ การอ่านงาน STS จึงเต็มไปด้วยความซับซ้อนเพราะต้องข้ามศาสตร์ไปมา ผู้อ่านจากฝั่งวิทยาศาสตร์อาจคุ้นเคยกับศัพท์แสง วิธีวิทยาและการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ หากแต่อาจไม่เข้ามุมมองทางสังคมวิทยาหรือปรัชญาได้เท่าสายสังคมศาสตร์ แต่นี่คือจุดประสงค์สำคัญของ STS กล่าวคือ การสร้างสะพานเชื่อมให้ศาสตร์ต่างๆ ได้มีบทสนทนากันและกัน ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันเข้าใจ เพราะการสื่อสารเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย แต่ STS พยายามลดข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการสร้างพื้นที่ที่เหมือนสนามศาสตร์เล่น การอ่าน An Introduction to Science and Technology Studies ผ่านสำนวนการแปลของปกรณ์ เลิศเสถียรชัยจึงต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะพอสมควร
ปกหน้าหนังสือ An Introduction to Science and Technology Studies
ด้วยเนื้อหาที่มากโขและประเด็นยิบย่อยมากมาย จึงขอชวนอ่านชวนคิดปัญหาใน ‘วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา: ความรู้ฉบับเบื้องต้น’ ในบางหัวข้อที่จะทำให้เรามองวิทยาศาสตร์แตกต่างไปจากเดิม และอย่างน้อยที่สุดก็อาจเริ่มเห็นเค้าลางแนวคิดของ STS ไม่มากก็น้อย โดยจะเริ่มตั้งแต่ปรัชญาวิทยาศาสตร์จึงถึงสังคมศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และจบท้ายด้วยทฤษฎีเครือข่ายผู้กระทำการอันโด่งดังของ มิเชล กัลลง (Michel Callon) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้ล่วงลับ บรูโน ลาตูร์ (Bruno Latour) และจอห์น ลอว์ (John Law)
บรูโน ลาตูร์
อ้างอิง https://www.theguardian.com/world/2022/oct/09/bruno-latour-french-philosopher-anthropologist-dies
จอห์น ลอว์
อ้างอิง http://tesa.org.tw/newmsgr1/staff/
เมื่อวิทยาศาสตร์ไม่เป็นอย่างที่คิด มองวิทยาศาสตร์ผ่านกรอบคิดปรัชญา
เหล่านักเลงตรรกะคงทราบกันดีว่า การให้เหตุผลนั้นมีหลายรูปแบบ เหตุผลหรือทฤษฎีอาจนำมาใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ได้ตามแนวทางของการนิรนัย (inductive reasoning) ในขณะที่การสังเกตก็อาจนำมาซึ่งความรู้ได้ตามแนวทางการอุปนัย (inductive reasoning) การอุปนัยเป็นเครื่ิองมือสำคัญของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในการสร้างสมมติฐาน ข้อคาดการณ์ จนถึงการสรุปทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ต่างยึดถือแนวทางดังกล่าวเป็นสรณะ หากแต่เมื่อเราเอาเหตุผลเช่นนี้ไปถามนักปรัชญาอย่างเดวิด ฮุม (David Hume) เข้าก็คงไม่เชื่อเช่นนั้น
เดวิด ฮุม (David Hume) และฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon)
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
แต่หลายครั้ง ทฤษฎีเหล่านี้กลับเกิดปัญหาในตัวเมื่อเรามองว่าแว่นตาแบบเดิม เฉกเช่นที่ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตันไม่สามารถอธิบายวิถีที่เบี่ยงเบนไปของดาวพุธซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ใกล้ที่สุดกับดวงอาทิตย์ หรือกฎของเมนเดลไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมลักษณะทางพันธุกรรมบางประการถึงไม่เป็นไปตามการรวมกลุ่มกันอย่างอิสระ (Law of independent assortment) ถึงคราวนี้ วงการวิทยาศาสตร์ก็ถึงคราวต้องกลับมาพิจารณากรอบคิดหรือกระบวนทัศน์ของตนที่สร้างทฤษฎี กระบวนทัศน์ที่เริ่มไม่สามารถใช้การได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Paradigm shift คำคำนี้เสนอโดยนักปรัชญาวิทยาศาสตร์อย่างโทมัส คูห์น (Thomas Kuhn) ผู้วิเคราะห์วิพากษ์โครงสร้างวิทยาศาสตร์ไว้อย่างแยบคาย
Paradigm shift
https://www.simplypsychology.org/kuhn-paradigm.html
โดยสรุปแล้ว ความเชื่อมันที่เรามีต่อวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ต้องพึงสังวรไว้ว่า วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งในระดับความรู้จนถึงกรอบคิดแบบวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ในตัวเองต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา กระบวนการเหล่านี้ทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นประวัติศาสตร์ในตัว ประวัติศาสตร์ของความคิด ที่มีทั้งการเดินไปข้างหน้าและถอยกลับมาในบางห้วงเวลาเพื่อกลับมาพิจารณาความรู้หรือการอบคิดที่อาจถูกหลงลืม วิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่การะบวนการที่มุ่งแต่ความก้าวหน้า หากแต่มีลักษณะของการเปลี่ยนแปลงอันเปี่ยมด้วยพลวัตที่ไหลไปมาเช่นกระแสน้ำ
วิทยาศาสตร์คือความจริงหรือถูกประกอบสร้างเป็นความจริง?
หลายคนคงเชื่อว่าวิทยาศาสตร์คือการค้นพบหรือเผยความจริงของโลกธรรมชาติ เปรียบประดุจการดึงผ้าที่คลุมความเป็นไปของจักรวาลไว้ ญาณวิทยาที่เชื่อว่ามีความจริงดำรงอยู่และวิทยาศาสตร์คือการแสวงหาความจริงถูกเรียกชื่ออย่างสวยหรูว่า สัจนิยม (Realism) ซึ่งสัจนิยมก็หาได้แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่รวมถึงคณิตศาสตร์ด้วย สัจนิยมคณิตศาสตร์มองว่า กฎ สมการ ตัวเลขในจักรวาลของเราดำรงอยู่ในตัวของมันเอง นักคณิตศาสตร์เป็นเพียงผู้ไขความลับหรือความจริงนั้น ทว่านอกจากแนวคิดสัจนิยมแล้วก็ยังมีแนวคิดที่น่าสนใจอีกประการเรียกว่า การประกอบสร้างทางสังคม (social construction) กล่าวคือ ทัศนะที่สร้างความตระหนักว่า แท้จริงแล้วความจริงคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านเงื่อนไขมากมาย วิทยาศาสตร์มีลักษณะของการประกอบสร้างทางสังคม มีลักษณะของการเป็นผู้กระทำและมิได้กำเนิดเกิดขึ้นมาเองแบบที่สัจนิยมเชื่อ
การประกอบสร้างทางสังคมอาจเป็นคำที่คนจากฝั่งสังคมศาสตร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี การประกอบสร้างทางสังคมสร้างทั้งความรู้ ความดี ความงาม ความจริง การประกอบสร้างทางสังคมจึงเหมือนการปฏิเสธความจริงที่ดำรงอยู่แล้วไปโดยปริยาย หากแต่การประกอบสร้างทางสังคมก็มีด้วยกันหลายแนวคิด การเข้าถึงความรู้และความจริงแบบการประกอบสร้างทางสังคมจึงมีความหลากหลายและแตกต่าง แต่ใช่ว่าสัจนิยมจะเหมือนกันทั้งหมดเพราะสัจนิยมก็มีความแตกต่างในทางญาณวิทยา สัจนิยมบางสายมองว่าการเข้าถึงความจริงที่ดำรงอยู่จำต้องอาศัยตัวกลาง แต่โดยที่สุดแล้วสัจนิยมก็มีจุดร่วมกันคือความจริงที่ดำรงอยู่เป็นเอกเทศ การประกอบสร้างทางสังคมย้ำให้เราเห็นวิวัฒนาการของความรู้วิทยาศาสตร์และสังคมภายในและภายนอกวิทยาศาสตร์ที่มีพลวัตและการเปลี่ยนแปลง หากมองจากฐานของการประกอบสร้างทางสังคม ปฏิเสธได้ยากว่าสังคมนักวิทยาศาสตร์และบริบทแวดล้อมไม่มีผลต่อควมมรู้วิทยาศาสตร์ เพราะหลายครั้งเราพบว่าข้อสังเกตทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นจนถึงบทสรุปของทฤษฎีได้รับอิทธิพลจกการเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์ในสังคมไม่มากก็น้อย
อ้างอิง https://www.researchgate.net/figure/Some-key-ontological-and-epistemological-assumptions-of-realism-critical-realism-and_fig1_282442749
เราอาจเห็นตัวอย่างการประกอบสร้างทางสังคมที่นิยมพูดถึงกันทั้งในแวดวงวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์นั่นคือ การประกอบสร้างเพศสภาพ ในโลกวิทยาศาสตร์เองโดยเฉพาะชีววิทยามีวิธีการจัดจำแนกเพศตามลักษณะทางกายภาพ สรีรวิทยา ฮอร์โมนจนถึงโครโมโซม ชีววิทยาในนามของวิทยาศาสตร์สร้างความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของเพศสภาพขึ้นมาชุดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นเพศสภาพแบบทวิลักษณ์ ชาย/หญิง เพศสภาพที่พ้นจากนี้คือความผิดปกติ เหตุนี้นักสตรีนิยมและนักเควียร์ศึกษาจึงวิพากษ์วิจารณ์ทัศนะจำแนกเพศเช่นนี้ ว่าแท้จริงแล้วเพศมิได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติในนามวิทยาศาสตร์ แต่ในนามของสังคมที่ยอมรับการจำแนกแบบวิทยาศาสตร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภววิทยาของวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์จึงเป็นเหมือนถนนที่เต็มไปด้วยจุดตัดมากกว่าทางขนาน วิทยาศาสตร์และสังคมพัวพันกันผ่านการประกอบสร้างความรู้ขึ้นมา
อีกตัวอย่างคือการอนุกรมวิธาน (taxonomy) สิ่งมีชีวิตที่ลงหลักปักฐานวิชาโดยคาร์ล ลินเนียส (Carl Linnaeus) และการจัดจำแนกตารางธาตุ (Periodic table) ของดมีตรี เมนเดเลเยฟ (Dmitri Mendeleev) แม้เราจะเห็นได้ชัดว่าการระบุประเภท จัดจำแนก ตั้งชื่อให้กับสิ่งมีชีวิตและธาตุนั้นดูเป็นการกระทำของมนุษย์ หากแต่เมื่อมองว่าสัจนิยมอาจมองว่า มีความจริงบางประการอยู่เบื้องหลังแต่นี้ก็ฟังดูอ่อนแอด้วยหลักฐานและญาณวิทยา
คาร์ล ลินเนียส และดมีตรี เมนเดเลเยฟ
อ้างอิง https://en.m.wikipedia.org/wiki/Carl Linnaeus#/media/File%3ACarl von Linné%2C 1707-1778%2C_botanist%2C_professor_(Alexander_Roslin) - Nationalmuseum_-_15723.tif และ
ทั้งการอนุกรมวิธานและจัดตารางธาตุต่างชี้ให้เห็นถึงการประกอบสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านสังคม ซึ่งดังที่กล่าวตอนต้น ทั้งสังคมภายในของนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างข้อตกลงร่วมกันและบริบทสังคมภายนอกที่เปี่ยมด้วยพลวัตและตัวแปรอันหลากหลาย
ความจริงในวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นความจริงที่นำมาสู่การตั้งคำถาม วิทยาศาสตร์แสวงหาความจริงหรือสร้างความจริงขึ้นมา? แล้วถ้าวิทยาศาสตร์สร้างความจริงขึ้นมาผ่านการประกอบสร้างทางสังคมไม่ว่าจะจากวงนักวิทยาศาสตร์หรือวงสังคมภายนอก วิทยาศาสตร์จะมีความน่าเชื่อถือเพียงใด? ความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์เป็นเอกเทศจากนักวิทยาศาสตร์หรือไม่? เรายังจะศรัทธาวิทยาศาสตร์ได้ไหมหากวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เครื่องมือแสวงหาความจริง? คำถามเหล่านี้วนเวียนรอยตัวนักวิทยาศาสตร์ ผู้สมาทาน STS และบุคคลทั่วไป
กล่าวจนถึงที่สุด พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าศึกษาโลกธรรมชาติอย่างห้องปฏิบัติการกลับกลายเป็นพื้นที่ที่โลกธรรมชาติถูกเบียดขับออกไปมากที่สุด ปัจจัยแวดล้อมทางธรรมชาติถูกขจัดออกจากห้องทดลองเหลือแต่สถานการณ์ที่เอื้อต่อการศึกษา การศึกษาวิทยาศาสตร์จึงเป็นการศึกษาภาพแทน (representation) ของธรรมชาติมากกว่าตัวธรรมชาติเอง นอกจากนี้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ยังสัมพันธ์กับการยอมรับในแวดวงวิทยาศาสตร์ รัฐ นโยบายและการเมืองอย่างแยกไม่ออก วิทยาศาสตร์จึงหาได้ล่องลอยในมหาสมุทรแห่งความจริงอันเป็นเอกเทศแต่สัมพันธ์กับเครือข่ายที่ซับซ้อนมากมายนอกเหนือจากวิทยาศาสตร์
เครือข่าย-ผู้กระทำการ-วิทยาศาสตร์เทคโน
การปฏิวัติที่สำคัญที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์หาใช่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) แต่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) วิทยาศาสตร์ในฐานะความรู้กลายมาเป็นเทคโนโลยี (technology) เราอาจมองผ่านกรอบของการประกอบสร้างทางสังคมว่าสังคมก่อให้เกิดเทคโนโลยี สภาพสังคมในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและสะดวกสบาย แต่สำหรับนักทฤษฎีเครือผู้กระทำการ (Actor-network theory; ANT) กลับเห็นเทคโนโลยีต่างหากที่ขับเคลื่อนสังคม สภาวะทางสังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทุกวันนี้ถูกผักดันมาจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ดูไปแล้วทฤษฎีเครือผู้กระทำการกำลังวิพากษ์แนวคิดแบบการประกอบสร้างทางสังคม
ทฤษฎีเครือผู้กระทำการมองว่ามนุษย์และสิ่งที่มิใช่มนุษย์ล้วนแล้วแต่สัมพันธ์ในเป็นเครือข่ายที่ส่งอิทธิพลต่อสังคม เพราะทั้งมนุษย์และสิ่งที่มิใช่มนุษย์ต่างมีประโยชน์ที่สนใจร่วมกัน ก่อรูปสมาคมและเชื่อมต่อกัน มนุษย์และสิ่งที่มิใช่มนุษย์จึงเชื่อมโยงกันและกลายเป็นตัวดำเนินการ (actant) ผ่านเครือข่ายที่มีมิติซับซ้อนและไม่หยุดนิ่งเหมือนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อีกทั้งเพราะประกอบจากสิ่งอมนุษย์ด้วยจึงไม่ใช่เครือข่ายแบบเครือข่ายสังคม การเชื่อมโยงผู้กระทำการนั้นเกิดขึ้นผ่านกระบวนการแปล (translating) นั่นเอง อย่างไรก็ตามทฤษฎีเครือผู้กระทำการไม่ได้เดินรอยตามความหมายของชุดคำอธิบายปรากฏการณ์
หากแต่ทฤษฎีในแง่นี้หมายถึงวิธีวิทยาที่จะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่กอปรขึ้นมาเป็นวิทยาศาสตร์เทคโน (technoscience)
Reassembling the Social: An Introduction to Actor-Network-Theory
อ้างอิง https://www.amazon.in/Reassembling-Social-Introduction-Actor-Network-Theory-Management-ebook/dp/B006UF3V2S
เพื่อให้เห็นภาพเราอาจต้องยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นถึงเครือข่ายผู้กระทำการ ทฤษฎีจุลชีพของหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) เป็นตัวอย่างที่ลาตูร์ยกขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์อย่างนักวิทยาศาสตร์ คนไข้ แพทย์ ผู้ช่วยแลป และสิ่งที่มิใช่มนุษย์เช่น กล้องจุลทรรศน์ ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ต่างๆรวมถึงตัวจุลชีพเองด้วย การศึกษาของปาสเตอร์มิอาจสำเร็จได้หากขาดความสัมพันธ์ของสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ผู้กระทำการจึงไม่ใช่ปาสเตอร์ หรือแพทย์คนใดคนหนึ่ง คณะใดคณะหนึ่ง แต่มีเรื่องทางวัตถุทั้งภายนอกและภายในวิทยาศาสตร์
ถึงจุดนี้ ทฤษฎีเครือผู้กระทำการจึงพาเราสำรวจโลกของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงอุปกรณ์และห้องปฏิบัติการในฐานะอุปกรณ์บันทึกผล (inscription device) ที่แปลงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหกลายเป็นเอกสารที่ถูกบันทึก ถึงที่สุดแล้วทฤษฎีเครือผู้กระทำการก็ยังมีช่องให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ ทั้งในแง่ของวัฒนธรรมในกลุ่ม ANT การมุ่งเป้าสนใจที่ผู้กระทำการที่สำคัญและละเลยผู้กระทำการอื่นๆ จนกลายเป็นการศึกษาวีรบุรุษไปได้ไม่ยาก รวมถึงการท่องว่ามนุษย์และอมนุษย์มีความเท่าเทียมกับในการกระทำการ ประเด็นปัญหาเหล่านี้ยังที่ถกเถียงต่อไป
ปัจฉิมบทว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษาคงไม่มีอะไรมากกว่าการชวนอ่าน ชวนคิด ชวนวิพากษ์วิจารณ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งกลายเป็นสิ่งในชีวิตของเรา การหันกลับมามองวิทยาศาสตร์ในกรอบคิดแบบใหม่ทำให้เราเห็นวิทยาศาสตร์ในมิติที่มองไม่เห็น หรืออาจมองเห็นแต่ไม่เคยสนใจจนเมื่อเราตระหนักได้ว่ามีความสำคัญเช่นไร ท้ายที่สุดวิทยาศาสตร์ก็มิอาจตัดขาดตัวเองออกจากมนุษย์เพราะวิทยาศาสตร์อยู่ท่ามกลางมนุษย์และมนุษย์ก็อยู่ท่ามกลางวิทยาศาสตร์ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
อ้างอิง
- อัจนากิตติ ช. ทฤษฎีเครือข่าย-ผู้กระทำ (Actor-Network Theory) [Internet]. ShareThis. [cited 2024 Feb 25]. Available from: https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/236
- ซิสมอนโด, เซร์ฆิโอ. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา: ความรู้ฉบับเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2566
หน้าที่เข้าชม | 199,076 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,347 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |