โดย เสฏฐนันท์ ธนกิจโกเศรษฐ์
“อยากเกิดเป็นแมวจัง ถ้าเป็นแมวน่าจะมีความสุขกว่าตอนนี้เยอะ”
เพื่อนบัณฑิตจบใหม่จากคณะสายสังคมคณะหนึ่งปรารภให้ผมฟัง ขณะที่เราได้คุยกันเรื่องแมวของเธอหลังจากเธอเพิ่งระบายความทุกข์ในฐานะบัณฑิตจบใหม่ที่ถูกไล่ต้อนเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานจบไปหมาด ๆ ผมเชื่อว่าทาสแมวหลายคนที่เฝ้าดูแมวของตนเอง ก็คงจะเคยคิดเล่น ๆ เช่นนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าเพื่อนคนนี้จะหมายความตามตัวอักษรจริง ๆ หรืออาจแค่รำพึงรำพันไปตามอารมณ์ความรู้สึก เนื้อความดังกล่าวก็สะท้อนถึงข้อสันนิษฐานข้อใหญ่ข้อหนึ่งคือ แมวอาจจะมีความสุขกว่ามนุษย์ (หรืออย่างน้อยก็มีความสุขกว่ามนุษย์สายสังคมที่เรียนจบใหม่และกำลังหางานทำอยู่) คำถามที่ตามมาจากข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็คือเรารู้ได้อย่างไรว่าแมวมีความสุข? และถ้าแมวมีความสุขจริง เราจะเรียนรู้การใช้ชีวิตจากแมวได้หรือไม่?
รูปที่ 1 แมวกำลังมีความสุข?
วิธีคิดเช่นนี้สอดคล้องกับแนวคิดหลังมนุษยนิยม (Posthumanism) หรือก็คือการมุ่งรื้อถอนกรอบคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเทรนด์ทางวิชาการใหม่ที่นับวันยิ่งเป็นที่พูดถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ แต่การจะบอกว่าแนวคิดนี้เป็นมุมมองใหม่ก็คงไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะข้อเสนอคล้ายคลึงกันนี้เคยถูกพูดถึงมาแล้วมากกว่าสองพันกว่าปีมาโดยนักปรัชญาจีนในสำนักเต๋าอย่าง “จวงจื่อ”
ใน จวงจื่อ บทที่ 17 ระบุว่า เมื่อเจ้าแคว้นฉู่ส่งเจ้าพนักงานมาเชิญจวงจื่อไปรับตำแหน่งเสนาบดี จวงจื่อได้ตอบปฏิเสธ และให้เหตุผลว่าตนพอใจจะใช้ชีวิตอย่างเต่าที่กระดิกหางเล่นในโคลนตมมากกว่า คำตอบของจวงจื่อ ที่มองว่าการเป็นเต่าที่นอนเล่นในโคลนมีความสุขกว่าการรับราชการนั้น คล้ายคลึงกับข้อความรำพึงเกี่ยวกับแมวในตอนต้น โดยซ่อนนัยว่าความเป็นสัตว์ไม่ได้สภาวะต่ำต้อยกว่ามนุษย์ ความเป็นสัตว์อาจมีสภาวะที่น่าอภิรมย์ลักษณะอยู่ และมนุษย์ก็สามารถเรียนรู้จากวิถีของสัตว์ได้ กล่าวคือ เป็นการพร่าเลือนเส้นแบ่งเชิงคุณค่าระหว่างมนุษย์กับสัตว์ นัยดังกล่าวนี้ไม่ได้ปรากฏเพียงแค่ในบทที่ 17 เท่านั้น แต่ยังพบได้ในเรื่องเล่าบทอื่น ๆ ของคัมภีร์อีกด้วย ด้วยเหตุนี้คัมภีร์ จวงจื่อ จึงถือเป็นตัวบทหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการศึกษาค้นคว้า
รูปที่ 2 ภาพวาดจวงจื่อกับเต่า
สำนักคิดทางปรัชญาจีนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุคชุนชิวจั๋นกั๋ว (770-221 B.C.) ซึ่งเป็นช่วงที่แว่นแคว้นต่าง ๆ ทำสงครามรบพุ่งเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ส่งผลให้ชีวิตของประชาราษฎร์ต้องทนทุกข์จากภัยสงคราม สำนักคิดเหล่านี้จึงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดเพื่อเสนอทางออกจากยุคเข็ญดังกล่าว โจทย์ทางปรัชญาจึงเป็นการตอบคำถามว่าวิถีแบบใดที่จะทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข? ต่างจากโจทย์ของปรัชญาตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกันอย่างโสกราตีส เพลโต อริสโตเติล ซึ่งมุ่งเน้นการตอบคำถามว่าความจริงคืออะไร? ในบรรดาสำนักคิดมากมายนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสำนักขงจื่อ (สำนักหรู) และสำนักเต๋าเป็นสองสำนักที่โดดเด่นในแวดวงการศึกษาปรัชญาจีน ทั้งสำนักเต๋าและสำนักขงจื่อต่างเห็นตรงกันว่าความกลมกลืนกับโลกธรรมชาติเป็นทางออกจากความวุ่นวายแห่งยุคสมัย เพียงแต่ทั้งสองสำนักเห็นต่างกันในเรื่องมรรควิธีที่จะบรรลุความกลมกลืนนั้น สำนักขงจื่อเล็งเห็นถึงความสำคัญของทั้งความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับธรรมชาติ โดยเสนอว่าการปฏิบัติตามจารีตเพื่อบ่มเพาะมนุษยธรรมเป็นทางออกที่จะช่วยให้ผู้คนที่หลากหลายอยู่กันได้อย่างกลมกลืน ขณะเดียวกันก็ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนกลมกลืนไปกับธรรมชาติด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักเต๋ากลับมองในทางตรงข้าม โดยวิจารณ์ว่าแนวทางของสำนักขงจื่อมีลักษณะของการยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความกลมกลืนกับธรรมชาติ จารีตและวัฒนธรรมซึ่งเป็นประดิษฐกรรมของมนุษย์นี้มีแต่จะสร้างความแปลกแยกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ดังนั้น จึงเสนอว่าเราควรลดการใช้จารีตและวัฒนธรรม รวมถึงประดิษฐกรรมอื่น ๆ ของมนุษย์ เพื่อจะได้หวนกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด การถอดถอนแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (de-anthropocentrism) จึงเป็นวิธีหนึ่งที่สำนักเต๋ามองว่าน่าจะช่วยให้มนุษย์กลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
รูปที่ 3 คัมภีร์ จวงจื่อ ฉบับสมบูรณ์ (พิมพ์ครั้งที่สอง ปกแข็ง 2556)
แปลโดย คุณสุรัติ ปรีชาธรรม (สำนักพิมพ์: openbook)
เมื่อพูดถึงสำนักเต๋า นอกจากคัมภีร์ เต้าเต๋อจิง ซึ่งประพันธ์โดยเหลาจื่อแล้ว จวงจื่อ เป็นอีกคัมภีร์หนึ่งที่มักถูกหยิบยกมาใช้ศึกษาแนวคิดแบบเต๋า จากบันทึกของซือหม่าเชียนทำให้เราพอทราบจวงจื่อเกิดหลังขงจื่อร่วมร้อยกว่าปี โดยเป็นนักคิดร่วมสมัยกับเมิ่งจื่อซึ่งเป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญในสำนักขงจื่อ และฮุ่ยจื่อซึ่งเป็นนักตรรกวิทยา นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จวงจื่อจะเป็นชาวซ่ง โดยจากบริบทในขณะนั้น แคว้นซ่งถูกแคว้นข้างเคียงซึ่งสืบเชื้อสายจากราชวงศ์โจวรุกราน กล่าวคือ ชาวซ่งถูกพวกที่ยึดถือจารีตแบบราชวงศ์โจวกดขี่ข่มเหง ด้วยบริบทเช่นนี้ทำให้จวงจื่อตั้งคำถามและวิพากษ์สำนักขงจื่อที่อวดอ้างความดีงามของจารีตวัฒนธรรมแบบราชวงศ์โจว
ประการแรก มนุษย์และสรรพชีวิตต่างมีธรรมชาติเดิมแท้และอิสรภาพในการดำเนินชีวิตตามวิถีธรรมชาติ ใน จวงจื่อ บทที่ 17 เล่าถึงเหมาเฉียงและลี่สาวงามที่มนุษย์ต่างยกย่องในรูปโฉม แต่หากสัตว์อย่างปลา นก หรือกวางได้พบเห็นพวกนาง ก็คงแตกตื่นเตลิดหนีไป จวงจื่อ บทนี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วใครกันที่เป็นผู้รู้มาตรฐานความงามของโลก มนุษย์มักใช้กฎเกณฑ์และกรอบคิดจากมุมมองของตนในกำหนดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ดังเช่นที่สำนักขงจื่อใช้จารีตเป็นบรรทัดฐาน แต่แท้จริงแล้วมนุษย์ไม่มีฐานทางญาณวิทยาเพียงพอจะทำเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ จวงจื่อไม่ได้บอกว่าเราต้องหยุดใช้มุมมองของมนุษย์ในการตัดสินโลก เพียงแต่ต้องการถอดถอนความยึดมั่นในสมมติบัญญัติแบบมนุษย์ เพื่อปรับเปลี่ยนท่าทีและทัศนคติในการปฏิสัมพันธ์กับสรรพชีวิตอื่น โดยเสนอให้เรียนรู้ธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะได้ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างกลมกลืน และไม่ทำลายธรรมชาติเดิมแท้ของสรรพชีวิต
ประการที่สอง จารีตและวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นสิ่งทำลายและแทรกแซงวิถีธรรมชาติของสรรพชีวิต ใน จวงจื่อ บทที่ 18 กล่าวว่าเมื่อนกได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีก็จะบินหนีไป มีเพียงแต่ผู้คนเท่านั้นที่จะหลั่งไหลเข้ามาฟัง เราจะเห็นว่าดนตรีนี้เปรียบได้กับจารีตวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์สร้างที่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ และสำนักขงจื่อก็มองว่าเป็นสิ่งที่ใช้ขัดเกลามนุษย์ได้ด้วย โดยอ้างว่า จารีต ภาษา และวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือที่สร้างความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับสัตว์ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข แต่จวงจื่อกลับมองว่าจารีตและวัฒนธรรมนี้ทำลายวิถีแห่งธรรมชาติ เพราะแต่ละชีวิตต่างมีวิถีชีวิตของตนที่แตกต่างกันไป ดังเช่นที่ดนตรีที่ดูจะขัดเกลามนุษย์ได้กลับทำให้นกบินหนีไป
รูปที่ 4 บทสนทนาระหว่างขงจื่อกับเหลาจื่อ
ประการที่สาม สรรพชีวิตต่างมีคุณค่าเท่าเทียมและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตให้มนุษย์ได้ ใน จวงจื่อ บทที่ 18 เล่าถึงบทสนทนาระหว่างขงจื่อ (ขงจื่อในฐานะตัวละครที่จวงจื่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เสนอแนวคิดทางปรัชญา ไม่ใช่ขงจื่อตัวจริงที่เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์) และเหลาจื่อ เหลาจื่อชี้ให้ขงจื่อเห็นว่าจารีตและวัฒนธรรมของบรรพชนซึ่งเป็นเรื่องในอดีต ไม่ใช่หลักการหรือวิถีทางที่ควรยึดในการก้าวย่าง แต่เป็นเพียงรอยเท้าที่มีคนเคยเหยียบไว้แล้วเท่านั้น นอกจากนี้ ยังชี้ให้ขงจื่อเห็นเต๋า ซึ่งเป็นการแปรเปลี่ยนอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของสรรพชีวิตต่าง ๆ ในธรรมชาติ อันเป็นความจริง เป็นวิถีทางซึ่งควรเรียนรู้เพื่อให้ก้าวย่างได้อย่างถูกต้อง ในท้ายที่สุด ขงจื่อก็สามารถเข้าใจเต๋าได้ผ่านการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ และกระบวนการแปรเปลี่ยนในโลกธรรมชาติ
ประการที่สี่ มนุษย์สามารถสัมพันธ์กับสรรพชีวิตได้อย่างรื่นรมย์และกลมกลืน ใน จวงจื่อ บทที่ 19 เล่าถึงคนถ่อเรือที่ถ่อเรือได้อย่างชำนิชำนาญ ชายค่อมที่ใช้ไม้ทางยางเหนียวสอยจับจักจั่นได้อย่างง่ายดาย ชายผู้แหวกว่ายในสายน้ำได้ราวกับภูตผี และช่างไม้ที่แกะสลักไม้เป็นที่แขวนระฆังได้ดังงานเนรมิตของเทพยดา แม้แต่ละคนจะมีบริบทชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างปฏิสัมพันธ์กับโลกอย่างหลอมรวมกลมกลืนผ่านการฝึกฝน “อู๋เหวย” (การไม่กระทำ) จนกลายเป็นทักษะหรือความเชี่ยวชาญ ด้วยวิธีนี้จะสร้างความรื่นรมย์และกลมกลืนให้เกิดขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามธรรมชาติเดิมแท้ของแต่ละบุคคล และโชคชะตาที่แต่ละคนต้องเผชิญ ไม่ต้องอาศัยแบบแผนที่ประดิษฐ์สร้างเหมือนเช่นจารีตของขงจื่อ ปัจเจกบุคคลที่ปฏิบัติเช่นนี้ก็จะบรรลุถึงความกลมกลืนอย่างแท้จริงได้
รูปที่ 5 ภาพวาด คนถ่อเรือผู้ฝึกฝน “อู๋เหวย” (การไม่กระทำ)
สำหรับแง่มุมที่สองนี้ ยังเป็นแง่มุมที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนักในการศึกษา จวงจื่อ เมื่อพูดถึงข้อเสนอทางการเมืองในทัศนะของสำนักเต๋า เรามักจะนึกถึงคัมภีร์ที่โดดเด่นอีกเล่มอย่าง เต้าเต๋อจิง มากกว่า อย่างไรก็ตาม คุณูปการพิเศษที่หนังสือเล่มมีต่อผู้ศึกษาปรัชญาจีนก็คือการเผยให้เห็นด้านดังกล่าวของ จวงจื่อ ผ่านอุปลักษณ์งานช่างและการประดิษฐ์สร้างซึ่งจัดประเภทคร่าว ๆ ได้เป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ “ผู้ล่า” “ผู้เลี้ยง” และ “ผู้แล่เนื้อ” ซึ่งเป็นอุปลักษณ์ที่มีนัยเสนอแนวทางว่าจะปกครองอย่างไรไม่ให้เป็นพันธนาการที่ขัดขวางการผดุงชีวิตของทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
รูปที่ 6 ภาพ ผู้เฒ่านั่งตกปลาโดยไม่ใช้ตะขอเบ็ด
ส่วนอุปลักษณ์ผู้เลี้ยงนั้นปรากฏชัดใน จวงจื่อ บทที่ 2 ที่เล่าว่าผู้ฝึกลิงเอาผลโอ๊กมาให้ฝูงลิง โดยบอกว่า “พวกเจ้าจะได้กินตอนเช้าสามลูก และตอนเย็นสี่ลูก” ฝูงลิงต่างส่งเสียงร้องไม่พอใจ ผู้ฝึกลิงจึงบอกใหม่ว่า “เอาละ พวกเจ้าจะได้กินตอนเช้าสี่ลูก และตอนเย็นสามลูก” ฝูงลิงก็ต่างพากันกระโดดโลดเต้นดีใจ นัยที่ซ่อนอยู่คือผู้ปกครองก็เป็นดั่งผู้เลี้ยงลิง หากผู้ปกครองกำหนดกฎเกณฑ์จากมุมมองของตนและยึดติดกับข้อกำหนดนั้นโดยไม่สนใจประชาราษฎร์ ย่อมทำให้ผู้ใต้ปกครองไม่พอใจและต่อต้าน แต่หากผู้ปกครองใส่ใจข้อเรียกร้องของประชาราษฎร์ โดยตระหนักว่ากฎระเบียบนี้เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้น การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองย่อมเป็นไปได้ ดังเช่นผู้ฝึกลิงที่ยอมปรับเปลี่ยนเพราะรู้ว่าความจริงเบื้องหลังกฎเกณฑ์นั้นไม่ได้ต่างกัน นอกจากนี้ ใน จวงจื่อ บทที่ 19 ยังได้กล่าวถึงจี้เสิงจื่อที่ทำหน้าที่ฝึกไก่ชนให้กษัตริย์ แต่แทนที่จะฝึกไก่ชนให้ดุร้ายพร้อมต่อสู้ กลับฝึกให้ไก่ชนลดความดุดัน ไม่อยากเอาชนะ และนิ่งสงบไม่ไหวติง เรื่องนี้สะท้อนว่าผู้ปกครองที่คิดแต่จะรบเพื่อเอาชนะแคว้นอื่น ก็จะคอยฝึกฝนและกวดขันกำลังพลให้พร้อมรบอยู่เสมอ ขณะที่ผู้ปกครองที่ไม่คิดจะรบพุ่งตั้งแต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกประชาราษฎร์ให้พร้อมสู้รบ
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |