ในแวดวงวิชาการด้านไทยคดีศึกษา หนึ่งในหัวข้อที่มีการศึกษามาอย่างยาวนานนั่นคือกระบวนการก่อร่างรัฐสมัยใหม่ในสยาม ที่ผ่านมาในการศึกษาประเด็นนี้ มักจะมุ่งเน้นไปที่บทบาทของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลที่ 4 และ 5 (งานในกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปตามประวัติศาสตร์นิพนธ์กระแสหลักของรัฐไทย) ขณะที่งานจำนวนหนึ่งที่ได้อิทธิพลจากแนวคิดในกลุ่มมาร์กซิสม์ให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทุนนิยมโลกที่มีต่อการก่อรูปรัฐชาติสมัยใหม่ โดยเฉพาะในรูปแบบของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์[1]
งานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มากนักให้ความสำคัญกับการศึกษาปัจจัยในเชิงความคิด ที่สำคัญคืองานของอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ที่ศึกษาการก่อกำเนิดของสำนึกทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในหมู่ชนชั้นนำสยาม โดยเฉพาะวิธีคิดทางเวลา รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐและกษัตริย์[2] หรืออีกหนึ่งงานที่ส่งอิทธิพลอย่างมากของธงชัย วินิจจะกูล ที่ได้ศึกษา “ภูมิกายาของชาติสยาม” จากแผนที่ ก็เป็นอีกหนี่งแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนก่อร่างรัฐสมัยใหม่ในสยาม[3] หนังสือ “ยุคสมัยและกษัตริย์อย่างใหม่ในพระราชพิธีสิบสองเดือน” เป็นงานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องการก่อร่างรัฐสมัยใหม่ในสยามได้ โดยมีวัตถุสำคัญในการศึกษาคือ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบวรรณกรรมหรือจิตรกรรมก็ตาม
หนังสือ เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ซึ่งถูกพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 6
หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยเนื้อหาหลัก 4 บท ได้แก่ บทแรก “ยุคสมัยอย่างใหม่และกษัตริย์อย่างใหม่ใน พระราชพิธีสิบสองเดือน” เขียนโดยธงชัย วินิจจะกูล บทที่ 2 “พระราชพิธีสิบสองเดือน: อรรถาธิบายแห่งความศิวิไลซ์และการจัดระเบียบจักรวาลวิทยาแบบสมัยใหม่ในพระราชพิธีของสยาม” โดยอาทิตย์ ศรีจันทร์ บทที่ 3 “โลกการเมืองในพระราชพิธีสิบสองเดือน” โดยวิภัส เลิศรัตนรังสี และบทสุดท้าย “สภาวะเหลียวหลังแลหน้าในจิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือน” โดยพิชญา สุ่มจินดา หากพิจารณาจากองค์ประกอบจะพบว่า ใน 3 บทแรก มีวัตถุในการศึกษาที่มุ่งเน้นไปที่ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ในฐานะวรรณกรรม ที่รัชกาลที่ 5 เป็นผู้นิพนธ์ มีเพียงบทของพิชญาเท่านั้น ที่มีวัตถุในการศึกษาเป็น “จิตรกรรมฝาผนัง” เรื่องราวพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ซึ่งวาดไว้ที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร และวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร อยุธยา
บทแรกของธงชัย ได้เปิดประเด็นเรื่องความแตกต่างระหว่างพระราชนิพนธ์เล่มนี้กับวรรณกรรมก่อนหน้าในหลายแง่มุม เช่น ในแง่ของ “ผู้อ่าน” ที่มุ่งหวังให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ในแง่ของแนวทางการเขียนในแบบร้อยแก้วที่แตกต่างจากเดิมซึ่งมักจะเขียนในแบบร้อยกรอง ในแง่ของกลวิธีการเขียน ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการ “พรรณนา” รายละเอียดของพระราชพิธี หากแต่ให้ความสำคัญกับการ “นำเสนอความคิดเห็น” ที่มีต่อพระราชพิธี และในหลายกรณีได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงนัยสำคัญหลายประการ ที่สำคัญ ได้แก่ การสะท้อนโลกทัศน์วิทยาศาสตร์แบบตะวันตกผ่านการตั้งคำถามเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมแบบพราหมณ์-พุทธดั้งเดิม การสร้างภาพลักษณ์ของกษัตริย์แบบใหม่ที่มีลักษณะของกษัตริย์สาธารณะที่ความชอบธรรมไม่ได้ยึดโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาโดยทั้งหมด หากแต่อิงกับความเชื่อมโยงกับสาธารณชนผ่านองค์กษัตริย์และพิธีกรรม
ผู้เขียนบทความทั้งสี่ท่านในหนังสือ
ในบทต่อมา อาทิตย์ ศรีจันทร์ได้นำเสนอมุมมองที่กว้างกว่าตัวพระราชนิพนธ์ โดยมุ่งเน้นที่บริบทแวดล้อมที่สำคัญนั่นคือกระบวนการสถาปนารัฐชาติสมัยใหม่ และการสร้าง “ความศิวิไลซ์” ให้กับสยามตามแบบตะวันตก สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านระบบการศึกษา การแต่งกาย การบริโภคสินค้า สิ่งปลูกสร้าง ฯลฯ ขณะเดียวกันในตัวพระราชนิพนธ์จะเห็นได้ถึง “การผสมผสาน” จักรวาลวิทยา 2 แบบ ทั้งแบบเดิมที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชพิธีแบบโบราณ และแบบใหม่ที่มองศูนย์กลางของพระราชพิธีในแนวทางที่เชื่อมโยงกับมนุษย์ที่มีศูนย์กลางสำคัญคือพระมหากษัตริย์นั่นเอง ในบทที่ 3 ที่เขียนโดยวิภัส เลิศรัตนรังสี ได้ให้ภาพ “บริบททางการเมืองภายในสยาม” ขณะนั้น ที่รัชกาลที่ 5 ทรงขึ้นครองราชย์ขณะที่ยังทรงพระเยาว์ ท่ามกลางขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานสืบเนื่องจากรัชกาลก่อน หากพิจารณาเช่นนี้ พระราชพิธีสิบสองเดือนจึงไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่ “พระราชนิพนธ์” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนแง่มุมของการ “วิพากษ์วิจารณ์” ระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติแบบเดิม และความต้องการแก้ปัญหาผ่านการนำเสนอโลกทัศน์แบบใหม่ โดยเฉพาะการรวมศูนย์อำนาจที่พระมหากษัตริย์ แทนที่จะกระจายศูนย์อยู่ที่ขุนนางดังเดิม
ภายในพระอุโบสถของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ที่ฝาผนังทั้งสองด้านมีจิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือน
ในบทสุดท้ายเรื่อง “สภาวะเหลียวหลังแลหน้าในจิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือน” โดยพิชญา สุ่มจินดา ดังที่กล่าวไปแล้วตอนต้น บทนี้มีความพิเศษคือมีวัตถุในการศึกษาที่แตกต่างจากบทอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นที่จิตรกรรมฝาผนัง ประเด็นสำคัญในบทนี้คือการนำเสนอ “สภาวะเหลียวหลังแลหน้า” ในหลายลักษณะ เช่น 1)เรื่องเล่า (พระราชพิธีสิบสองเดือน) อย่างใหม่ ภายใต้รูปแบบการนำเสนอแบบเดิม (ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เช่น ทัศนียมิติ การแบ่งภาพ การจัดแสงเงาและภูมิทัศน์แบบตะวันตก ฯลฯ) 2) การแสดงภาพย้อนอดีต (สมัยรัชกาลที่ 4) ในวัดราชประดิษฐ แต่ในกรณีของวัดเสนาสนกลับแสดงภาพร่วมสมัย ต่อประเด็นที่ 2 พิชญาได้นำเสนอบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจว่า ในกรณีของวัดราชประดิษฐที่แสดงภาพย้อนอดีตนั้น อาจได้รับอิทธิพลจาก “กระแสถวิลหาอดีต” ของศิลปะแบบโรแมนติกในยุโรป (เกิดครึ่งแรกศตวรรษที่ 19) เมื่อมองผ่านกรอบการวิเคราะห์สัญวิทยาของโรลอง บาร์ตส์ (Roland Barthes) การแสดงภาพย้อนอดีตกลับสะท้อนภาพอิทธิพลของแนวคิดสมัยใหม่จากยุโรปในยุคนั้น ในทางกลับกันการสะท้อนภาพร่วมสมัยที่เหมือนจะต้องการนำเสนอภาพ “ความทันสมัย” ของวัดเสนาสน ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการวาดตามขนบของจิตรกรรมไทยที่เน้นนำเสนอฉากที่ร่วมสมัย แม้จะวาดเรื่องราวในพุทธประวัติที่เกิดขึ้นในอดีตก็ตาม
นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว พิชญายังสนับสนุนข้อเสนอของผู้เขียนทั้ง 3 ในหนังสือเล่มนี้ที่ว่า จิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือนมุ่งเน้นนำเสนอภาพลักษณ์ของกษัตริย์ในฐานะองค์ประธานของประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนผ่าน “การนำเสนอเรื่องเล่าของกษัตริย์” มากกว่าพุทธประวัติหรือชาดก ขณะเดียวกันยังนำเสนอภาพลักษณ์ของกษัตริย์สมัยใหม่ สิ่งนี้สะท้อนผ่านภาพวาดรัชกาลที่ 4 ที่กำลังทรงส่องกล้องทอดพระเนตรอุปราคา ที่ปรากฏทั้งสองวัด
ภาพรัชกาลที่ 4 ทอดพระเนตรอุปราคาในจิตรกรรมฝาหนังพระอุโบสถวัดเสนาสนาราม
หนังสือเล่มนี้มีคุณูปการสำคัญต่อแวดวงไทยคดีศึกษาในหลายลักษณะ ได้แก่ ประการแรก หนังสือเล่มนี้ยืนยันและพิสูจน์ข้อเสนอของอรรถจักร์ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นนำไทยในฐานะพลังทางภูมิปัญญาที่ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยและกระบวนการก่อร่างรัฐชาติสมัยใหม่ โดยเฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวเนื่องกับกษัตริย์ในฐานะองค์ประธานทางประวัติศาสตร์ที่มีความชอบธรรมในตัวเอง ไม่ได้สืบทอดความชอบธรรมมาจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นความเชื่อดั้งเดิม สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากทั้งตัวพระราชนิพนธ์และจิตรกรรมฝาผนัง ขณะเดียวกันยังพยายามนำเสนอแนวคิด “ความเป็นสมัยใหม่” ซึ่งสะท้อนจากการวิพากษ์วิจารณ์แง่มุมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของธรรมเนียมประเพณีแบบเดิม และสอดแทรกแนวคิดความทันสมัยแบบตะวันตก เช่นเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังที่พยายามสะท้อนความทันสมัยในลักษณะต่าง ๆ หากพิจารณาในแง่นี้จะเห็นได้ว่า “ปัจจัยในเชิงความคิด” มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัจจัยทางเชิงโครงสร้างของระบบทุนนิยมโลก หรือปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับตัวแสดงของบทบาทรัชกาลที่ 5 และหนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเชิงความคิดดังกล่าวมีปฏิบัติการผ่านงานเขียนร้อยกรอง รวมถึงจิตรกรรมฝาผนัง ที่มีบทบาทเป็นสื่อกลางในการนำพาความคิดดังกล่าวไปสู่สาธารณชน
ประการที่ 2 ในเชิงวิธีวิทยา หนังสือเล่มนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นงานที่ใช้ “พหุวิทยาการ” (multi-disciplinary) ในการศึกษา กล่าวคือ เป็นการประยุกต์ใช้ศาสตร์หลากหลายด้านมาวิเคราะห์ “วัตถุหรือโจทย์หรือประเด็นปัญหาในการศึกษา” เดียวกัน นั่นคือ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” โดยศาสตร์ที่นำมาใช้ในที่นี้คือประวัติศาสตร์ วรรณคดี และประวัติศาสตร์ศิลป์ นอกจากนี้ ในบทความของพิชญา สุ่มจินดา แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วเป็นงานด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ แต่หากวิเคราะห์ลงไปในวิธีวิทยาที่ใช้ อาจจัดได้ว่าเป็นงานในลักษณะ “สหวิทยาการ” (interdisciplinary) ที่ผสมผสานหลายศาสตร์เพื่อช่วยในการวิเคราะห์จิตรกรรมฝาผนัง ทั้งประวัติศาสตร์ผ่านการวิเคราะห์เอกสารประวัติศาสตร์พระราชพิธีสิบสองเดือนอย่างละเอียด ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ผ่านการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์สิ่งก่อสร้างในพระบรมมหาราชวังเทียบกับจิตรกรรมฝาผนังทั้งสองวัด ภาษาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผ่านการวิเคราะห์ผ่านแนวคิดสัญศาสตร์และหลังโครงสร้างนิยมของโรลอง บาร์ตซ์ หากพิจารณาในแง่นี้ จะพบว่าหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอแนวทางของการศึกษาผ่านการผสมผสานทั้งพหุวิทยาการและสหวิทยาการไว้อย่างกลมกลืน
แผนภาพที่ 3 ในบทความของพิชญา สุ่มจินดา
ประการที่ 3 ในแง่ของข้อเสนอ หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการขับเคลื่อนสังคมสยามไปสู่ความทันสมัยไม่ได้เป็นกระบวนการที่มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวที่รับเอาแนวคิดสมัยใหม่แบบตะวันตกโดยปฏิเสธธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิม หากแต่ในกระบวนการดังกล่าวสามารถสะท้อน “การหลอมรวม” หรือ “การผสมผสาน” แนวคิดแบบเดิมและแนวคิดแบบใหม่ แม้ว่าในกระบวนการดังกล่าวอาจมีลักษณะของ “เหลียวหน้า แลหลัง” ก็ตาม นัยสำคัญของข้อค้นพบนี้ก็คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างความเป็นสมัยใหม่และสมัยเก่าไม่จำเป็นต้องเป็นไปในลักษณะของ “คู่ตรงข้าม” ที่การรับเอาแนวคิด วิถีปฏิบัติ หรือโครงสร้างเชิงสถาบันแบบหนึ่ง จะหมายถึง การปฏิเสธแนวทางในอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง และทั้งสองสิ่งสามารถและมักจะอยู่คู่กันไปในกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางสังคม
เชิงอรรถ
1 ดู Kullada Kesbooncho Mead, The Rise and Decline of Thai Absolutism (London: RoutledgeCurzon, 2004); Chaiyan Rajchagool, The Rise and Fall of the Thai Absolute Monarchy: Foundations of the Modern Thai State from Feudalism to Peripheral Capitalism (Bangkok: White Lotus, 1994).
2 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 - พ.ศ. 2475 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538). สำหรับตัวอย่างงานอื่น ๆ ที่ศึกษาความคิดของชนชั้นนำไทยในขณะนั้น ดู Sud Chonchirdsin, “The Ambivalent Attitudes of the Siamese Elite towards the West during the Reign of King Chulalongkorn, 1868-1910,” South East Asia Research 17:3 (2009): 433-456.
3 Thongchai Winichakul, Siam Mapped: A History of a Geo-body of a Nation (Chiang Mai: Silkworm, 2004).
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |