คำถาม “ทำไม? พุทธศาสนาจึงหายไปจากอินเดีย” เป็นคำถามที่นักประวัติศาสตร์ โบราณคดี ต่างตั้งคำถามและสืบหาคำตอบกันมานานไม่น้อยกว่าร้อยปี เมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปูเณ่ รัฐมหาราษฏร์ รํฐที่มีชาวพุทธมากที่สุดในประเทศอินเดีย ก็ได้ถูกถามและถกเถียงกับสมณะและนักวิชาการจากหลากหลายประเทศ จึงจัดเป็นคำถามยอดนิยมตราบเท่าถึงปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พบงานเขียนหลายเล่มที่นำเสนอคำตอบในประเด็นนี้ เช่น
คำตอบหนึ่งที่ได้รับเสมอคือ “พุทธศาสนาล่มสลายจากอินเดีย เพราะการรุกรานของกองทัพมุสลิม” ที่นำเหตุการณ์การรุกรานของกองทัพมุสลิมเตอร์กและเผาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาโดย มูฮัมหมัด บิน บัขติยาร์ ขาลจี (Muhammad bin Bakhtiyar Khalji) ในปี 1193 (พ.ศ. 1736) มาใช้เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของพุทธศาสนาในอินเดีย ดังที่เราจะพบข้อความในลักษณะนี้บ่อยครั้งในงานเขียนที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว อย่างเช่น Ahir, Buddhism Declined in India: How and Why (Maha Bodhi Society of India, 1978) 48–61; Berkwitz, South Asian Buddhism: A Survey (New York: Routledge, 2010) 140–1; Cathy Cantwell, Buddhism: The Basics (New York: Routledge, 2010), 3 and 143; Harvey, Introduction to Buddhism (Jodhpur: Kusumanjali Book World, 2003), 194– 96.
งาน Buddhism Declined in India: How and Why ของ D.C. Ahir (1978) ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อว่า “สาเหตุความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในอินเดีย” และตีพิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2542 แสดงให้เห็นว่าประเด็นปัญหานี้เป็นที่สนใจใคร่รู้ของนักวิชาการชาวพุทธไทยเช่นกัน Ahir แสดงทัศนะไว้ว่า “การตายของพระพุทธศาสนามิใช่การตายตามธรรมชาติ เหตุผลสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาจากดินแดนมาตุภูมิเกิดจากสาเหตุร้ายแรงภายนอกมากกว่าสาเหตุภายใน” และแสดงสาเหตุความเสื่อมสูญไว้หลายประการ ก่อนที่จะสรุปว่า การทำลายล้างผลาญพระพุทธศาสนาจากกษัตริย์ต่างศาสนาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาหายไปจากอินเดีย
คำตอบนี้ดูจะเป็นที่ถูกใจและปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยม พุทธนิยมได้ดี จนอาจก่อให้เกิดกระแสความเกลียดชังระหว่างศาสนาโดยปริยาย Audrey Truschke ในบทความเรื่อง ‘The power of the Islamic sword in narrating the death of Indian Buddhism’ ได้สรุปว่า เรื่องเล่าเหตุการณ์กองทัพมุสลิมการบุกทำลายและฆ่าฟันชาวพุทธนั้นมีลักษณะเป็นเรื่องเล่าที่เน้นอคติมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นถึงการผลิตซ้ำความคิดในแง่ที่จะโทษปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสลายของพุทธศาสนาในอินเดีย
ลาร์ส โฟเคลิน (2566: 359-363) ท้าทายคำตอบนี้ด้วยการอ้างงานศึกษาของ ริชาร์ด เอ็ม. อีตัน (Richard M. Eaton) ที่ศึกษาประวัติศาสตร์การกระทำย่ำยีต่อศาสนสถานในอินเดียแล้วพบว่า มีศาสนสถานเพียง 80 แห่งเท่านั้นที่ถูกทำลายในช่วงกองทัพมุสลิมรุกรานอินเดียคือ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13-18 และเป็นการทำลายเพื่อเหตุผลทางการเมืองคือลดทอนสิทธิอำนาจของฝ่ายตรงข้าม มากกว่าแรงจูงใจทางศาสนา อีกประการหนึ่งการทำลายศาสนสถานโดยผู้มีชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์อินเดีย แม้ผู้มีชัยจะนับถือศาสนาเดียวกัน ก็มีการทำลายศาสนสถานของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ดังที่ กษัตริย์ราชวงศ์ปัลลวะได้ยึดเอาเทวรูปพระคเณศจากเทวลัยของฝ่ายราชวงศ์จาลุกยะ ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 หรือ การที่กองทัพจากแคว้นเบงกอลบุกเข้าทำลายเทวรูปพระวิษณุของแคชเมียร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 8
หนังสือของ ริชาร์ด เอ็ม. อีตัน ซึ่งท้าทายข้อเสนอเดิมที่ว่า “พุทธศาสนาล่มสลายจากอินเดีย เพราะการรุกรานของกองทัพมุสลิม”
โฟเคลิน วิเคราะห์ว่า การทำลายศาสนาโดยกองทัพมุสลิมเป็นชุดความคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์สำนักอาณานิคมอังกฤษที่ขับภาพเป็นทรราชย์ของฝ่ายผู้ปกครองเดิมคือ จักรวรรดิโมกุลที่เป็นมุสลิม และสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายอังกฤษที่เข้ามาช่วยปลดปล่อยให้อิสระแก่ชาวฮินดูที่มีอยู่มากกว่า
ชุดความคิดที่ตอกย้ำความเป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายศาสนาอิสลามและศาสนาฮินดูได้ถูกสืบทอดและพัฒนาต่อโดยนักประวัติศาสตร์ชาตินิยมยุคหลังอาณานิคมบางกลุ่มที่ต้องการทำอินเดียให้เป็นรัฐฮินดูมากขึ้น ชุดความคิดนี้นี้ยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกกระแสชาตินิยมเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2566) ดังเห็นได้ในกรณีของพรรค BJP (Bharatiya Janata Party) ของนายกนเรทร โมดี ที่ดำเนินนโยบายแบบชาตินิยมฮินดู โดยออกกฎหมายบางฉบับที่มีลักษณะกีดกันชาวมุสลิม เช่น รัฐบัญญัติแก้ไขกฎหมายสัญชาติ (Citizenship Amendment Act--CAA) ที่จะให้สัญชาติอินเดียแก่ผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม และได้เข้ามาในอินเดียก่อนปี ค.ศ. 2014 ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงและจลาจลในหลายพื้นที่ในปี พ.ศ. 2563
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) (2552:93-94) ได้ให้ภาพของศังกราจารย์ ปราชญ์ฮินดูนิกายไศวะ ผู้ตั้งลัทธิอทไวตเวทานตะ ในฐานะผู้มุ่งมั่นกำจัดพระพุทธศาสนา ว่า โดยพื้นฐานเดิมเป็นที่ยอมรับกันว่าอาจารย์ของอาจารย์ของเขาได้หลักความคิดไปจากพุทธศาสนามหายาน และตัวเขาเองก็ถูกปราชญ์ฝ่ายฮินดูด้วยกันเรียกว่าเป็น “ปรัจฉันนเพาทธะ” คือ เป็นคนพุทธแอบแฝง วิธีการของศังกราจารย์ ในการกำจัดพระพุทธศาสนาที่สำคัญ คือ เขาเที่ยวถกเถียงโต้วาทะไปทั่วทุกถิ่นเฉพาะนอกเมือง โดยไม่ยอมสอนคนในเมืองเลย เพราะเวลานั้นพุทธศาสนาแม้จะกำลังเสื่อม แต่ยังเข้มแข็งในเมือง พร้อมนั้นก็ตีวงล้อมเมืองด้วยการจัดคณะนักบวชฮินดูขึ้น ทำนองเลียนแบบสังฆะในพระพุทธศาสนา โดยตั้งวัดใหญ่ขึ้นมาใน ๔ ทิศ เรียกว่า “มัฐ” ตามอย่างวัดในพุทธศาสนาที่เรียกว่า “วิหาร” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษา ศาสนาพราหมณ์แต่เดิมมา ไม่มีคณะนักบวชเพราะพราหมณ์เป็นคนวรรณะสูงอยู่บ้านมีครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ดังที่ชาวบ้านรู้จักชูชก เป็นตัวอย่าง แม้ว่าในพระเวทจะมีคำว่าสังฆะบ้าง ก็หมายถึงการมาประชุมพบปะแต่ละครั้ง มิใช่เป็นการมีชีวิตชุมชนอย่างที่ศังกราจารย์ตั้งขึ้นแบบวัดที่ว่านี้
หนังสือของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ที่อธิบายว่าศังกราจารย์ ปราชญ์ฮินดูนิกายไศวะ เป็นผู้มุ่งมั่นกำจัดพระพุทธศาสนา
K. T. S. Sarao (2014) ได้ตั้งข้อสังเกตคำตอบนี้ และเรียบเรียงเป็นบทความเรื่อง “Did Brahmanas and Brahmanical-Hinduism Cause the Decline of Indian Buddhism?” สรุปประเด็นโต้แย้งได้ว่า อินเดียมีประเพณีโต้วาทีสาธารณะมายาวนานนับแต่อดีต การชนะในการโต้วาทีสาธารณะไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งถึงกับล่มสลายได้ และการรับเอาแนวคิดทางปรัชญามาพัฒนาศาสนาฮินดูก็เป็นหนึ่งในพัฒนาการทางศาสนาที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยคุปตะ
โฟเคลิน (2566: 305-307) ได้กล่าวถึงกระบวนการกลมกลืนระหว่างศาสนาพุทธ ฮินดู และเชน ที่แม้จะมีความแตกต่างกันในหลักเทววิทยาและแนวคิดทางปรัชญา แต่ลักษณะทางนามธรรมเหล่านี้กลับส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อแนวทางปฏิบัติและขนบธรรมเนียมพิธีกรรมของสาวกทั่วไป ดังเห็นได้จากกลุ่มถ้ำเอลโลร่า ที่มีกลุ่มถ้ำของทั้ง 3 ศาสนา และได้แสดงถึงพุทธศาสนาแบบตันตระ ที่ผสมผสานรับเอาพิธีกรรมที่หลากหลายมาปรับใช้ อีกทั้งยังหยิบยืมรูปแบบจากลัทธิอื่นๆ มาใช้อย่างเสรี จนเป็นเนื้อเดียวกัน อย่างที่ D.S.J. Lopez (2001:214) กล่าวว่า “ไม่มีข้อบ่งชี้ที่ทำให้นิกายตันตระแตกต่างจากลัทธิอื่นๆ ได้”
โฟเคลินมิได้เสนอคำตอบแค่เพียง “หลอมรวม/ล่มสลาย” เหมือนดั่งชื่อหนังสือที่กองบรรณาธิการใช้ หากแต่โฟเคลินนำเสนอหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ ทั้งหลักฐานการขุดค้น โบราณวัตถุ โบราณสถาน จารึก ประกอบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ทั้งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและอื่นๆ เพื่อที่จะฉายภาพไทม์ไลน์ที่ครอบคลุมเรื่องราวทั้งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไปของพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย
จุดเด่นที่เราไม่พบในหนังสือเล่มอื่นๆ คือการตีความสถาปัตยกรรมของโบราณสถานในที่ต่างๆ โดยใช้กระบวนการทางมานุษยวิทยา ทำให้ผู้อ่านเห็นถึงผู้คนทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาใช้สถานที่เหล่านั้นในช่วงระยะเวลาที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น การอธิบายถึงรูปลักษณ์ของสถูปที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัยว่าสนองต่อความต้องการของคณะสงฆ์อย่างไร? (โฟเคลิน, 2566: 230-231,279) หรือแผนผังของอารามสะท้อนการใช้งานของพระสงฆ์และฆราวาสอย่างไร? (โฟเคลิน, 2566:259-273,309)
ภาพที่ 5.2 (ในหนังสือ หลอมรวมฯ) : ภาพตัวอย่างของกลุ่มวิหารผังสี่เหลี่ยมในอินเดีย (ไม่ระบุขนาด) จากทางซ้ายตามเข็มนาฬิกา นาคารชุณโกณฑะ (ราวคริสตศตวรรษที่ 3 ถึง 5) ถ้ำอชันตาหมายเลข 17 (ราวคริสตศตวรรษที่ 5 ถึง 6) พระอารามหมายเลขที่ 45 ที่สาญจี (ราวคริสตศตวรรษที่ 10) และ พระอารามที่ตัขต์-อิ-บาไฮ (ราวศตวรรษแรกก่อนคริสตกาลไปจนถึงคริสตศตวรรษที่ 7)
การตีความเช่นนี้ทำให้เห็นถึงปัจจัยภายใน โดยอาจมีจุดเริ่มจากสิ่งที่โฟเคลินเรียกว่า การโดดเดี่ยวตัวเองของคณะสงฆ์ฝ่ายอาราม (โฟเคลิน, 2566: 267-274) ที่เป็นอีกคำตอบหนึ่งของคำถามข้างต้น นอกจากนี้โฟเคลินยังชี้ความให้คิดพิจารณาถึงปฏิสัมพันธ์ของคณะสงฆ์กับกลุ่มสังคมที่ผันเปลี่ยนไปแต่ละยุคสมัย
คำตอบทั้งหลายของโฟเคลินเกี่ยวกับคำถามข้างต้น แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ที่จะให้เกิดการสนทนาขบคิดในแง่มุมต่างๆ และท้าท้ายให้นักวิชาการพุทธศาสนศึกษาโต้แย้ง แต่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่พอใจของเขามากนัก ดังที่เขาได้เขียนแสดงความรู้สึกไว้ในบทที่ 8 ที่เป็นบทสุดท้ายที่เขาสรุปปฏิกิริยาของวงวิชาการในระยะยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา และเขายังชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่น่าทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
โฟเคลิน, ลาร์ส. (2566). หลอมรวม/ล่มสลาย: ประวัติศาสตร์เชิงโบราณคดีของพระพุทธศาสนาในอินเดีย. วรรณพรรธน์ เฟรนซ์ แปล. กรุงเทพฯ : ILLUMINATIONS EDITIONS.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2552). กาลานุกรม: พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
Falk, N. A. (1980). The case of the vanishing nuns: The fruits of ambivalence in ancient Indian Buddhism. Unspoken Worlds: Women's Religious Lives, 207-224.
Hazra, K. L. (1998). The Rise and Decline of Buddhism in India.New Delhi: Munshirm Manoharlal Pub Pvt Ltd.
Ling, T., & Ling, T. (1980). “Buddhist Declines in India”.Buddhist Revival in India: Aspects of the sociology of Buddhism, 24-46.
Lopez, D.S.J. (2001). The Story of Buddhism: A Concise Guide to Its Hostory and Teachings. San Francisco: Harper San Francisco.
Sarao, K. T. (2012). The Decline of Buddhism in India: A fresh perspective. New Delhi: Munshirm Manoharlal Publishers.
Sarao, K. T. S. (2014). “Did Brahmanas and Brahmanical-Hinduism Cause the Decline of Indian Buddhism?”. วารสาร มนุษยศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏ สุราษฎร์ธานี (Journal of Humanities and Social Sciences, SRU), 3(1), 155-172.
Truschke, A. (2018). “The power of the Islamic sword in narrating the death of Indian Buddhism”. History of Religions, 57(4), 406-435.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |