Charles Baudelaire ในวัย 23 ปี
กำเนิดระหว่างสองปฏิวัติ
ชาร์ลส์ โบดแลร์ (Charles Baudelaire, 1821-1867) เกิดและเติบโตระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 และการปฏิวัติในเดือนกรกฎาคม (July Revolution) เมื่อปี ค.ศ. 1830 ซึ่งเป็นอีกอุบัติการณ์สำคัญระหว่างเขามีอายุได้เพียง 9 ขวบเท่านั้น
มองผ่านบริบททางประวัติศาสตร์สังคมและความคิด โบดแลร์ถือได้ว่าเป็นคนในยุครอยต่อระหว่างปลายยุคภูมิธรรม (Enlightenment) กับยุครุ่งเรืองของขบวนการโรแมนติก (Romanticism) ในทางศิลปะ วรรณกรรม และดนตรี นี่เป็นห้วงเวลาที่ความนิยมแพร่หลายในปรัชญาของเฮเกล (Hegel) หรือแม้แต่โชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer) ที่ถูกจัดเป็นคู่ขัดแย้ง ค่อยๆ เข้าก้าวมาแทนที่คานท์ (Kant) นักปรัชญาคนสำคัญแห่งยุคภูมิธรรม โดยยังไม่นับรวมว่า โบดแลร์ได้เติบโตไปพร้อมๆ กับวิวัฒนาการการถ่ายภาพที่แน่นอนว่า ส่งผลกระทบทางตรงต่อทั้งจิตรกร นักเขียน และโลกศิลปะอย่างมีนัยสำคัญ
การที่โบดแลร์เป็นผลิตผลของห้วงเวลาดังกล่าว ทำให้เขาเชื่อในแนวคิดเรื่องอัจฉริยบุคคล (genius) ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ sui generis เขายังให้ความสำคัญกับการแสดงออกทางอารมณ์ และการสื่อความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านลบหรือบวก ผ่านงานสร้างสรรค์ หรือหากเขาเริ่มต้นอาชีพวิจารณ์ผ่านการใช้ทฤษฎีแนวคิดด้านจิตรกรรม วรรณกรรม และการละครของนักคิดนักเขียนอย่างดิดโรต์ (Diderot) ที่เห็นว่า ศิลปะต้องมีหน้าที่สร้างมโนธรรมสำนึกต่อผู้ชม โบดแลร์ก็ได้ปรับเปลี่ยนท่าทีรวมถึงปลดระวางแนวคิดดังกล่าวในภายหลัง ด้วยการแยกเอาหน้าที่ทางมโนธรรมสำนึกออกไป โดยเขาเห็นว่า ศิลปะนั้นไม่จำเป็นต้องสั่งสอนปรัชญา หรือความคิดทางสังคมการเมืองกับใคร ศิลปะมีหน้าที่ทางอารมณ์ และจำเป็นต้องคงความลึกลับไว้ ให้ผู้ชมทำหน้าที่ค้นหาความหมายด้วยตัวเอง [1]
Enfant Terrible
วิศกรและจิตรกรมือสมัครเล่น โฌแซฟ-ฟร็องซัวส์ โบดแลร์ (Joseph-François Baudelaire) คือพ่อแท้ ๆ ของโบดแลร์ ที่แม้จะจากไปตั้งแต่เมื่อเขายังเยาว์ แต่ก็มีอิทธิพลและปลูกฝังให้โบดแลร์หลงใหลในโลกจิตรกรรมและวรรณกรรม จากการที่พ่อของเขามักพาไปพบปะมิตรสหายที่มีภาพวาดและหนังสือเก็บสะสมไว้มากมาย ด้วยความที่ยังคงเป็นเด็ก โบดแลร์จึงไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่แลกเปลี่ยนพูดคุยได้ทั้งหมด แต่หนึ่งในความประทับใจที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเรื่อยมานับจากครั้งนั้น คือผนังชั้นวางสารานุกรม วรรณกรรมกรีกและละติน กวีนิพนธ์จากยุคคลาสสิคจนถึงร่วมสมัย ที่จัดเรียงตามลำดับตัวอักษรของนามสกุลผู้ประพันธ์ ทำให้เขาหลงใหลในวัตถุศิลป์ที่เรียกว่า ‘หนังสือ’
กาโรลีน (Caroline) แม่ของโบดแลร์ได้แต่งงานใหม่กับฌากส์ โอปิก (Jacques Aupick) นายทหารพ่อหม้ายลูกติด ภายหลังจากพ่อของโบดแลร์เสียชีวิตเพียงไม่นาน เหตุเพราะเธอแต่งงานกับพ่อของโบดแลร์เมื่อยังสาว ขณะที่พ่อย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย (ทั้งคู่อายุห่างกัน 35 ปี ตอนโบดแลร์เกิด พ่อของเขาอายุ 62 ปี ส่วนแม่อายุ 27 ปี) เหตุการณ์นี้ก่อเกิดความแค้นฝังจำในใจโบดแลร์ถึงขนาดเคยบ่นระบายให้พี่เลี้ยงและคนใกล้ชิดฟังว่า “คนที่มีลูกอย่างผม ไม่สมควรจะแต่งงานใหม่” [2]
แต่ไม่ว่าโบดแลร์จะตั้งแง่กับแม่และพ่อเลี้ยงอย่างไร ตัวเขาก็ได้รับการอุปถัมภ์ สนับสนุนทุนทรัพย์ให้อย่างเต็มที่ จนเขาสามารถเรียนจบมัธยมปลายจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง ซึ่งปลูกฝังพื้นฐานภาษากรีก ละติน และพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการอ่านเขียนแก่โบดแลร์อย่างแตกฉาน
เพียงแต่วิถีชีวิตที่โบดแลร์เลือกนั้น ต้องกล่าวว่าขัดต่อค่านิยมแบบชนชั้นกระฎุมพีที่เห็นว่า การมีหน้าที่การงานมั่นคงเป็นคุณค่าและความจำเป็นของชีวิต นั่นเป็นเหตุให้โบดแลร์แทบไม่เคยเข้าเรียนวิชากฎหมายตามที่พี่ชาย (ต่างมารดา) เสนอแนะเลย
เขาเลือกจะใช้ชีวิตเตร็ดเตร่เสเพล กินอยู่ ใช้จ่ายไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเช่าคฤหาสน์เพื่อพักอาศัย สะสมงานศิลปะ หนังสือ เสื้อผ้า สุรา นารี หรือการใช้ชีวิตตามวิถีแดนดีที่โบดแลร์ยึดถือปฏิบัติทั้งชีวิต [3]
George Bryan "Beau" Brummell บุคคลอันเปรียบเหมือนศาสดาของเหล่าแดนดี
วิถีแคนดี
ในงาน จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่ หรือ Le Peintre de la vie moderne (1859-1860) โบดแลร์ได้อธิบายถึงแก่นแท้ของแดนดีเอาไว้ว่าเป็น “ชายผู้ร่ำรวยไร้ข้อบังคับเรื่องการประกอบอาชีพ แม้ชินชากับสรรพสิ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งยึดโยงจิตใจอื่นใดนอกจากวิ่งไปบนเส้นทางแห่งความสุข ชายผู้ได้รับการเลี้ยงดูท่ามกลางความหรูหราและคุ้นชินกับการมีคนคอยพินอบพิเทาตั้งแต่ยังน้อย ความถนัดเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวคือความสง่างาม และเขาหาความสำราญจากรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตาได้อยู่เสมอ”[4]
วิถีแดนดีตามทัศนะของโบดแลร์จึงไกลห่างจากวิถีมวลชนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ แต่อาจเข้าใกล้และเทียบเคียงได้กับวิถีชนชั้นสูง ซึ่งนอกเหนือจากคุณลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว แดนดีจะต้องเป็น “ผู้ครอบครองทั้งเวลาและเงินเกินคณานับ” [5] การเป็นแดนดีจึงต้องมีมากกว่ารสนิยมและการแต่งกายที่ดี นั่นคือต้องมี ‘เงิน’ และ ‘เวลา’ ให้พล่าผลาญ
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่ จะถูกเขียนขึ้นราว 14 ปี บาร์บีย์ โดวิลยี (Barbey d’Aurevilly) ได้ตีพิมพ์ผลงานที่ชื่อ Du dandysme et de George Brummell (1845) เพื่ออธิบายถึงวิถีแดนดีและจอร์จ บรุมเมล (George Brummell) บุคคลอันเปรียบเหมือนศาสดาของเหล่าแดนดีทั้งหลาย
ในงานชิ้นนี้เอง โดวิลยีได้อภิปรายเชิงโต้แย้งต่อฐานคติของนักศีลธรรมที่มักเห็นว่า ความทนงในเองตน (Vanity) จัดให้เป็นอารมณ์ที่ต่ำชั้นสุดของมนุษย์เรา [6] โดยโดวิลยีได้ชี้ให้เห็นว่า ความทนงตนคืออารมณ์ที่น่าพิศวง ซึ่งสะท้อนความสูงส่งทางปัญญา มากเสียยิ่งกว่าความรัก หรือมิตรภาพที่เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ “ความรักพูดกับคนที่รักว่า ‘เธอคือจักรวาลของฉัน’ มิตรภาพ ‘เธอทุกข์ยากเพื่อฉัน’ หรือในหลายครั้ง ‘เธอช่วยปลอบประโลมฉัน’ ในขณะที่อหังการ (Pride) นั้นคือความเงียบงัน” [7]
โดวิลยี ได้ใช้ความเปรียบเปรยว่า ‘ความทนงตน’ คือราชินี และคู่ครองของนางก็คือ ‘อหังการ’ ที่ทั้งสองครองรักอยู่ภายในตัวเราแทบทุกคน
สำหรับแดนดีแล้ว ทั้ง ‘อหังการ’ และ ‘ความทนงตน’ เป็นอารมณ์ที่น่าพิศวง และเป็นมากกว่าการหลงในรูปลักษณ์ของตนเอง ดังที่โดวิลยีได้สรุปความเอาไว้ว่า “วิถีแดนดีคือทฤษฎีที่สมบูรณ์แห่งชีวิต...มันคือวิถีแห่งการดำรงอยู่ที่ประกอบขึ้นจากสิ่งละอันพันละน้อย” [8] ที่เกือบทั้งหมดคัดสรรมาจากสังคมที่มีความศิวิไลซ์จากอดีตอันไกลโพ้น
วิถีแดนดีถือกำเนิดขึ้นจากอารมณ์ ‘อหังการ’ และ ‘ความทนงตน’ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่โบดแลร์อธิบายเอาไว้ว่า “ความรักเป็นงานหลักโดยธรรมชาติของผู้สำราญไร้ภาระการงาน แต่แดนดีไม่ได้มองความรักเป็นเป้าหมายพิเศษในชีวิต” [9] เช่นเดียวกับเงินทอง “แดนดีไม่ได้ปรารถนาเงินทอง ในฐานะเป้าหมายสำคัญในชีวิต เพียงความน่าเชื่อถือเพื่อขอกู้ยืมได้อย่างเสรีก็ถือว่าใช้ได้แล้ว” [10]
A Dandy Driving, 19th century, 1930 โดย Constantin Guys
ถึงที่สุดแล้ว การแต่งกายด้วยอาภรณ์สวยงามแปลกตาก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าสัญลักษณ์แสดงความเหนือกว่าทางความคิดและการวางตัวทางสังคมของแดนดี ที่ยอมรับลึกๆ ว่า โลกใบนี้เสื่อมทราม และ โลกอุดมคติคือ ‘ความตาย’ ดังนั้นพวกเขาเลือกจะเผชิญหน้า และหมกมุ่นกับ ‘ความตาย’ ผ่านการแต่งดำ [11] ด้วยเหตุนี้ โบดแลร์จึงเน้นย้ำว่า “แดนดีเป็นทั้งศาสดาและสาวกในเวลาเดียวกัน”
ถ้าในบาปเจ็ดประการ ความโอหัง หรือ Pride จัดเป็นบาปสูงสุด นั่นก็เพราะมันเป็นบาปที่ก่อให้เกิดการขบถต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสำหรับแดนดีแล้ว ความโอหังถือเป็นคุณลักษณะที่ทำให้แดนดีมีความเป็นขบถ ไม่ยอมจำนนต่อระเบียบ และกฎเกณฑ์ทางสังคม
โบดแลร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “วิถีแดนดีปรากฏขึ้นมากเป็นพิเศษในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ณ เวลาที่ประชาธิปไตยยังไม่ทรงพลังสูงสุด และตอนที่อภิชนาธิปไตยบางส่วนเริ่มสั่นคลอนและอ่อนแอ” [12] และเขาเชื่อว่า “วิถีแดนดีคือแสงประกายสุดท้ายของความเป็นวีรบุรุษท่ามกลางยุคสมัยแห่งความเสื่อม” [13]
หากก็เป็นเรื่องยอกย้อนในตัวเองด้วยเช่นกัน ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ดำ [14] กลายเป็นชุดที่เหล่าแดนดีเลือกสวมใส่ราวกับเครื่องแบบ นั่นทำให้แดนดีที่ควรต้องแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็น sui generis กลับดูแทบจะเหมือนกันในสายตาของคนในสังคม หรือที่สุดแล้ว เราสามารถพูดได้หรือไม่ว่า ‘เปลือก’ ที่สะท้อน ‘แก่น’ ของชีวิต ที่ก็คือ ‘ความตาย’ หรือโลกอุดมคติที่เป็นจริงได้สำหรับพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นสูตรสำเร็จและเส้นทางลัดสู่ ‘สัจธรรม’ ที่เรียกว่า แฟชั่นแบบแดนดี
เชิงอรรถ
[1] ดู สดชื่น ชัยประสาธน์, ชาร์ลส์ โบดแลร์: กวีและนักวิจารณ์ศิลปะ (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2566).
[2] อ้างแล้ว, 4.
[3] ชีวิตของโดแลร์ ไม่ถือว่ายืนยาวนัก เขาอำลาจากโลกนี้ไปในวัยเพียง 46 ปีเหมือนหรือคล้ายบุคคลที่เขาถือเป็นแบบอย่าง นั่นก็คือเอ็ดการ์ อลัน โพ (Edgar Allan Poe) ที่ก็เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 40 ปีเท่านั้น
[7] Ibid, 2-3.
[8] Ibid, 5.
[9] ชาร์ลส์ โบดแลร์, จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่, รติพร ชัยปิยะพร แปล (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2566), 69.
[10] อ้างแล้ว, 69.
[11] สดชื่น ชัยประสาธน์, ชาร์ลส์ โบดแลร์: กวีและนักวิจารณ์ศิลปะ (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2566) 10.
[12] อ้างแล้ว, 72.
[13] อ้างแล้ว, 73.
[14] ขณะที่ก็มีแดนดีบางคนเช่น บรุมเมล และแม้แต่โบดแลร์เองจะเลือกใส่ถุงมือสีสันฉูดฉาดตา
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |