โดย สถาปนา เชิงจอหอ
Q : สวัสดีครับคุณสิริฉัตร ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของคุณสิริฉัตรแล้ว ผมชอบมาก เพราะผมไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับฟิลิปปินส์นัก ผมบอกได้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ให้ผมมากทีเดียว ก่อนอื่นผมอยากให้คุณสิริฉัตรช่วยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองสักเล็กน้อย ผมได้ศึกษาประวัติของคุณสิริฉัตรมาจนทราบว่า คุณสิริฉัตรจบการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษามาทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แต่ทำไมถึงสนใจทำวิทยานิพนธ์และงานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์นิพนธ์ครับ?
A : อย่างที่คุณสถาปนาพูดนะคะว่า ดิฉันจบการศึกษาด้านปริญญาตรีด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเรียนต่อปริญญาโทในสาขาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นหลักสูตรแบบสหวิทยาการทั้งคู่ การเรียนในหลักสูตรนี้ บางคนก็มองว่า มันทำให้เราไม่มีความหนักแน่นในทางวิธีวิทยา ซึ่งหากมองในมุมของโลกวิชาการที่ขับเน้นการแบ่งแยกศาสตร์หรือสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะ มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ส่วนตัวดิฉันเองกลับมองว่า มันดีมากเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่เราได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางข้ามขอบเขตของสิ่งที่เรียกว่าสาขาวิชา ซึ่งเปิดโอกาสให้เรามองโลก หรือว่ามองเหตุการณ์ต่างๆ ในมุมมองและทิศทางที่หลากหลาย แทนที่จะมองผ่านมุมใดมุมหนึ่ง หรือจากกรอบคิดของสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง
ตัวดิฉันมองว่า การเรียนในหลักสูตรนี้มันทำให้เราสามารถที่จะเลือกและมองเห็นความถนัดของเราได้ง่ายนะคะ พวกเรามีโอกาศในการศึกษาหลาย ๆ ด้าน ไม่เฉพาะวิชาด้านประวัติศาสตร์ แต่ยังมีด้านรัฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ มานุษยวิทยา วัฒนธรรมศึกษา เช่น ศึกษาบทบาทของมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ เช่น สิงค์โปร์ กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย การศึกษาด้านชาติพันธุ์วิทยาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาคพื้นทวีป ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาคพื้นสมุทร ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน การได้ศึกษาในหลายๆ ด้านนี่เองที่มันทำให้เรารู้ว่า ตัวเราเองมีความชอบทางด้านไหน เมื่อเรารู้ว่าเราชอบอะไร ถึงแม้จะไม่ถนัดมากนัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความสนใจและความต้องการที่จะเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นตามมาเองในภายหลัง ดิฉันเชื่ออย่างนั้นนะคะ
ในส่วนของคำถามที่ว่า ทำไมตัวดิฉันจึงสนใจด้านประวัติศาสตร์นิพนธ์ก็มาจากการเรียนในชั้นเรียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาอีกเหมือนเดิม ความสนใจด้านประวัติศาสตร์นิพนธ์มีพื้นฐานมาจากความรู้ที่ได้รับมาจากอาจารย์หลายท่านในรั้วมหาวิทยาลัย ที่สอนให้รู้จักตั้งคำถามต่อความรู้ ไม่เฉพาะความรู้ทางประวัติศาสตร์นะคะ แต่เป็นความรู้ด้านอื่นๆ ด้วย ตอนนั้นรู้สึกตัวเองโชคดีมาก รู้สึกว่าการเรียนในชั้นเรียนที่เปิดโอกาสให้เราตั้งคำถามนี่มันเจ๋งสุดๆ มันเหมือนเป็นการปฎิวัติทางความคิดเราเลยก็ว่าได้นะคะ ทำให้เรามีนิสัยในการตั้งคำถามและท้าทายต่อความรู้ไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพียงรับเอาความรู้ที่เราอ่าน หรือที่เราได้ยินได้ฟังมาดื้อๆ แบบเชื่องๆ โดยไม่มีสำนึกในการวิจารณ์

หนังสือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์กับชะตากรรมของชาติ อาการตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคม
Q : เมื่อสักครู่นี้คุณสิริฉัตรได้พูดถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาว่าคือ การเรียนการสอนเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผมเข้าใจว่ามันครอบคลุมหลายประเทศมากใช่ไหมครับ ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ ผมอยากรู้ว่า ทำไมคุณสิริฉัตรถึงเลือกเจาะจงที่จะทำวิจัยในพื้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ ทำไมถึงไม่เป็นประเทศลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคครับ?
A : เป็นคำถามที่ตัวดิฉันเองมักจะถูกถามบ่อย ๆ ว่าทำไมจึงสนใจทำงานวิจัยเกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งดูห่างไกลจากเรามาก ทำไมถึงไม่ไปศึกษาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงรั้วติดกันอย่างพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หรือกระทั่งเวียดนามเองซึ่งเป็นประเทศที่ถือว่า การพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจกำลังก้าวกระโดดและมาแรงมากๆ ประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช่ไหมค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกก่อนว่า ความสนใจฟิลิปปินส์ในฐานะที่เป็นพื้นที่ของการศึกษาค้นคว้านี่มันเกิดขึ้นมาจากแผลในใจ หรือจะพูดว่ามันคือความน้อยเนื้อต่ำใจของดิฉันเองในฐานะที่เป็นนักเรียนด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาก็ว่าได้ค่ะ
ก่อนหน้านี้ดิฉันเองเคยสงสัยว่า พวกเรารับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย เราพร่ำศึกษาและผลิตความรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านกันมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียน มันกำลังเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจในวงวิชาการและสังคมไทยโดยทั่วไป แต่เอ๊ะ! ดิฉันก็เอะใจถึงปัญหา ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาในตัวดิฉันนะคะว่า เราเองในฐานะที่เป็นนักเรียนด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ทำไมเรากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ งานวิชาการไทยที่ศึกษาเกี่ยวกับฟิลิปปินส์เองก็มีไม่มากนัก
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยถามเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับภาพการรับรู้เกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ของพวกเขาคืออะไร บ้างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก บ้างก็นึกถึงคาราบาว การประกวดนางงาม หรือมากไปกว่านั้นคือ คนส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์นับถือศาสนาคริสต์ซึ่งมีความแตกต่างจากเรา นึกถึงสลัมและความเหลื่อมล้ำ กระทั่งเป็นประเทศที่มีอาชญากรรมและความรุนแรงสูงมาก แต่กลับไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของปัญหาที่ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น นี่เป็นปัญหาหลัก ๆ เลยที่ทำให้ดิฉันเองเริ่มสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ค่ะ เอาแบบนี้ดีกว่าดิฉันลองถามคุณสถาปนากลับว่า เมื่อคุณสถาปนานึกถึงฟิลิปปินส์คุณสถาปนานึกถึงอะไรค่ะ
สถาปนา : ผมเห็นด้วยนะครับคุณสิริฉัตร โดยเฉพาะในเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับฟิลิปปินส์ของผมนี่น้อยมาก สำหรับผมนะ ถ้าผมยังไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ของคุณสิริฉัตรมาก่อน ผมนึกถึงอะไรเกี่ยวกับฟิลิปปินส์เหรอ เอ่อ ผมจะนึกถึงประธานาธิบดีมาคาปากัลป์ อาโรโยนะครับ
สิริฉัตร : จริงเหรอค่ะ ทำไมต้องเป็นคนอย่างมาคาปากัลป์ค่ะ
สถาปนา : นี่ผมพูดจริงนะ อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมชอบดูรายการทีวี จำพวกข่าวต่างประเทศอะไรแบบนี้ครับ ภาพเธอฝังติดตาผม ผมว่าเธอตัวเล็กดี ไม่มีสาระสำคัญอย่างอื่นเลยนะครับ
Q : คุณสิริฉัตรบอกว่า สิ่งที่ทำให้คุณสิริฉัตรหันมาสนใจศึกษาเกี่ยวกับฟิลิปปินส์คือความใคร่ที่มีอยู่ในตัวเองของคุณสิริฉัตรเองในฐานะนักเรียนด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่รู้สึกน้อยใจว่าในวงวิชาการและสังคมไทยเรานี่ขาดแคลนความรู้เกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก คำถามต่อมาคือ คุณสิริฉัตรได้เริ่มหันมาสนใจทำวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์อย่างจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่ และมีแรงบันดาลใจอย่างไร ช่วยเล่าให้เราฟังสักเล็กๆ น้อยๆ ได้ไหมครับ
A : จุดเปลี่ยนสำคัญของการหันมาศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ของดิฉันก็เกิดขึ้นตอนเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท ทำให้ได้รู้จักกับอาจารย์ทวีศักดิ์ เผือกสม ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้พูดคุยกับอาจารย์เกี่ยวกับความสนใจของเรา ช่วงแรกๆ เลย อาจารย์เองก็แนะนำหนังสือหลายเล่มมาให้ลองอ่าน อย่างน้อยๆ ก็เพื่อปรับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ให้กับเรา หนังสือที่อาจารย์ให้มามีหลายแนวมากๆ จนวันหนึ่งอาจารย์ก็โยนนิยายหนึ่งเล่มมาวางตรงหน้าเรา แล้วก็บอกว่า “ผมว่าคุณควรอ่าน” เชื่อไหมค่ะว่า หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นจุดเปลี่ยนความคิดและชีวิตทางวิชาการด้านฟิลิปปินส์ศึกษาของเราเลยก็ว่าได้
Q : โอโห ผมตื่นเต้นมากๆ ครับ ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจงานวรรณกรรม นิยายเล่มนั้นคือเรื่องอะไรครับ แล้วมันส่งผลทางความคิดและชีวิตทางวิชาการด้านฟิลิปปินส์ศึกษาของคุณสิริฉัตรยังไงครับ

Noli me Tangere หรือ อันล่วงละเมิดมิได้ โดยโฮเซ ริซัล
A : นิยายเล่มที่ว่าก็คือ Noli me Tangere ค่ะ คุณสถาปนาอาจเคยได้ยินคุ้นหูในชื่อที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยว่า อันล่วงละเมิดมิได้ นิยายเรื่องนี้ได้รับการแปลจากต้นฉบับภาษาสเปนเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์จิตราภรณ์ ตันรัตนกุล ซึ่งเราสามารถหาอ่านกันได้ง่ายๆ เลยค่ะ เป็นนิยายต่อต้านอาณานิคมที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกมานับตั้งแต่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
เอาอย่างนี้ดีกว่า ก่อนที่จะพูดว่านิยายเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจอย่างไรในการก้าวเข้าสู่การทำงานด้านฟิลิปปินส์ศึกษา ดิฉันขออนุญาติท้าวความถึงตัวนวนิยายและผู้ประพันธ์เล็กน้อยนะคะ Noli me Tangere ประพันธ์ขึ้นโดยวีรบุรุษซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นบิดาแห่งชาติฟิลิปปินส์อย่างโฮเซ รีซาล (Jose Rizal) ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จัก เขาเป็นหนึ่งในปัญญาชนฟีลีปีโนหัวก้าวหน้าในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการศึกษาในสเปน หรือรู้จักในนามกลุ่ม Propagandist ที่ลุกขึ้นเคลื่อนไหวเรียกร้องอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนอย่างหนังสือพิมพ์ ลา โซลีดารีแดด (La Solidaridad) ให้ระบอบอาณานิคมสเปนปฎิรูปเสรีนิยมในระบอบอาณานิคมในหมู่เกาะฟิลิปปินส์
การได้รับการศึกษาในยุโรป มันทำให้รีซาลได้ลิ้มรสเสรีภาพและความก้าวหน้าที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ในสเปนและทั่วทั้งยุโรปในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพด้านสื่อ เสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการแสดงความเห็น สิ่งเหล่านั้นมันทำให้เขารู้สึกว่า ทำไมมันช่างแตกต่างอย่างฟ้ากับเหวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนอาณานิคม ซึ่งมันเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าอาณานิคมและชาวพื้นเมือง ความล้าหลัง ป่าเถื่อน โหดร้ายและไร้อารยะของชาวสเปน ความทนทุกข์อย่างหนักหนาสาหัสของชาวพื้นเมืองจากการถูกขูดรีดในโลกอาณานิคม บริบททางสังคมการเมืองที่เกิดขึ้น มันก็ได้เป็นเชื้อไฟทำให้รีซาลเองคิดว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกอาณานิคม สิ่งที่เขาทำคืออะไร เขาก็ลุกขึ้นเขียนบทความทางประวัติศาสตร์บ้าง การเมืองบ้าง เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ระบอบอาณานิคมสเปนลงในหน้าหนังสือพิมพ์ลา โซลีดารีแดด และเรียกร้องให้มีการปฎิรูปเสรีนิยมขึ้นในดินแดนอาณานิคม ในช่วงเวลานั้นเองเขาก็ได้เริ่มเขียนนวนิยายเพื่อเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบอันกดขี่ขูดรีดและไร้มนุษยธรรมของระบอบอาณานิคมและศาสนจักรสเปน โดยได้ฤกษ์ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในนาม Noli me Tangere เมื่อปี 1887 ที่เบอร์ลินค่ะ
ความจริงต้องขอบคุณคนอย่างโฮเซ รีซาลนะคะที่เขียนนวนิยายที่ได้สะท้อนให้เห็นภาพของสังคมการเมืองในโลกอาณานิคมออกมาได้อย่างลึกซึ้งเหลือเกิน ซึ่งไม่เฉพาะภาพสะท้อนสังคมการเมืองอย่างตรงไปตรงมาในนวนิยายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังเห็นสิ่งที่ตัวบทนวนิยายของรีซาลกระทำต่อสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นอีกด้วย เราจะเห็นความพยายามของผู้แต่งในการเสียดสี เย้ยหยัน และตอบโต้อย่างห้าวหาญต่ออำนาจวาทกรรมทางศีลธรรมแบบกระแสหลักของสังคมอาณานิคมในช่วงเวลานั้นได้อย่างลุ่มลึกและทะลุทะลวง โดยเฉพาะการเปิดเผยให้เห็นด้านมืดของระบอบอาณานิคมสเปน ความป่าเถื่อนไร้อารยะอย่างหาที่สุดไม่ได้ของพระผู้ซึ่งวางตนเป็นผู้ผดุงศีลธรรมและเป็นผู้นำความก้าวหน้าและเป็นผู้พิทักษ์รักษาหมู่เกาะฟิลิปปินส์ให้กับระบอบอาณานิคม นวนิยายเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก่อรูปสำนึกเรื่องเสรีภาพและความเป็นตัวตนหมู่ชาวพื้นเมือง ให้อารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวด มอบกลิ่นอายของความหวงแหนและรักบ้านเกิดเมืองนอนอย่างลึกซึ้งให้แก่ตัวผู้อ่าน แม้กระทั่งผู้อ่านภายนอกสังคมฟิลิปปินส์อย่างตัวดิฉันเอง
ภาพสะท้อนสังคมและการเป็นผู้กระทำการของตัวบทนวนิยายเรื่อง Noli me Tangere ที่กระทบต่อสังคมการเมืองฟิลิปปินส์ในยุคระบอบอาณานิคมสเปน ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบทกับบริบทในด้านหนึ่งมันทำให้เรามองเห็นถึงบทบาทของงานวรรณกรรมในฐานะที่เป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนความเป็นจริงทางสังคมการเมืองในรูปแบบหนึ่งที่ไม่น้อยและมากไปกว่างานประวัติศาสตร์เชิงวิชาการแบบอื่นๆ นวนิยายเรื่องนี้ของรีซาลได้เปิดโลกเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ให้กับตัวดิฉันเอง มันได้แต่งแต้มโลกเกี่ยวกับชาวฟีลีปีโนขึ้นใหม่ทั้งหมด โลกที่มีทั้งความเหมือนและความต่างจากเราในแบบที่บางครั้งรู้สึกว่ามันยากจะเข้าถึง จนกระทั่งทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เราอยากพาตัวเองเข้าไปค้นหาและทำความเข้าใจมันอย่างไม่รู้จบ ตัวดิฉันเองเริ่มสนุกกับมัน ตรงนี้นี่เองที่มันสร้างแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นความสนใจในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์อย่างเป็นจริงเป็นจังค่ะ
Q : ฟังที่คุณสิริฉัตรพูดถึงโฮเซ รีซาลและนวนิยายต่อต้านอาณานิคมของเขา ทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่คุณสิริฉัตรได้พูดถึงเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการสร้างโฮเซ รีซาลขึ้นเป็นวีรบุรุษแห่งชาติ อยากให้คุณสิริฉัตรช่วยพูดถึงประเด็นนี้หน่อยครับว่า มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไรครับ
A : การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ระบอบอาณานิคมสเปนปฎิรูปเสรีนิยมของรีซาลมีอิทธิพลในการสร้างสำนึกชาตินิยมในหมู่ชาวพื้นเมืองในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ หนึ่งในนั้นก็คือ การต่อสู้เพื่อการปฎิวัติปลดแอกหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี 1896 ของสมาคมคาตีปูนัน (Katipunan) ซึ่งตัวรีซาลเองก็ได้ถูกพิจารณาจากระบอบอาณานิคมสเปนว่าเป็นเหตุชนวนที่นำไปสู่การต่อต้านระบอบอาณานิคมสเปนในหมู่ชาวพื้นเมือง จนกระทั่งทำให้เขาถูกจับกุมเนรเทศไปอยู่ที่ดาปีตัน (Dapitan) และท้ายที่สุด รีซาลถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าโดยระบอบอาณานิคมสเปนที่ลานประหารบากุมบายัน (Bagumbayan) ในวันที่ 30 ธันวาคม 1896
หลังจากการตายของรีซาลเพียงไม่นานนะคะ ระบอบอาณานิคมสเปนก็สิ้นสุดลงจากการเข้ารุกคืบเข้ามาช่วยเหลือของกองกำลังอเมริกัน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่หนึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นโดยมีรัฐบาลปกครองตนเองของชาวพื้นเมือง แต่ก็ถูกริบรอนอำนาจภายในพริบตาเดียวโดยกองกำลังอเมริกันที่ชิงก่อตั้งรัฐบาลอาณานิคมขึ้นปกครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ รัฐบาลบริหารอาณานิคมอเมริกันได้สถาปนาโฮเซ รีซาล ขึ้นเป็นวีรบุรษแห่งชาติ มีการจัดการแข่งขันประกวดโมเดลเพื่อสร้างอนุสาวรีย์เชิดชูรีซาล วันตายของเขาถูกกำหนดให้เป็นวันชาติ โดยจะมีการจัดการเฉลิมฉลองโดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ขึ้นในทุกๆ ปีที่ลูเนต้า (Luneta) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์รีซาล รีซาลได้ถูกเชิดชูขึ้นในฐานะชาวฟีลีปีโนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการขูดรีดของนักบวชและข้าราชการในระบอบอาณานิคมสเปน โดยภาพลักษณ์แบบนี้มันได้ถูกบรรจุอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคชาตินิยมของประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์กระแสหลัก และเผยแพร่อยู่ในระบบการศึกษาสาธารณะของรัฐบาลบริหารอาณานิคมอเมริกัน

อนุสาวรีย์โฮเซ รีซาล
การเชิดชูให้รีซาลขึ้นเป็นวีรบุรุษแห่งชาติโดยอเมริกัน มันก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาต่อมานะคะว่า เป็นเพราะรัฐบาลอเมริกันเองได้เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะได้รับจากการสร้างรีซาลขึ้นเป็นวีรบุรุษแห่งชาติ โดยเฉพาะการทำให้รีซาลเป็นภาพแทนของระบอบอาณานิคมอเมริกันเอง เช่น การพยายามชี้ให้เห็นว่า แนวคิดเรื่องเสรีภาพและความก้าวหน้าของรีซาล ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ในการต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลสเปนทำการปฏิรูปเสรีนิยมในระบอบอาณานิคม มีความสอดคล้องกับอุดมการณ์ที่รัฐบาลบริหารอาณานิคมอเมริกันเองต้องการวางรากฐานขึ้นในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในส่วนของกระบวนการในการทำให้รีซาลเป็นวีรบุรุษแห่งชาติฟิลิปปินส์เป็นอย่างไรนั้นก็สามารถติดตามอ่านต่อได้ในหนังสือเล่มนี้ได้ค่ะ
Q : ผมเข้าใจว่าภาพลักษณ์ของโฮเซ รีซาล ได้ถูกบรรจุอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคชาตินิยมของประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์กระแสหลักโดยรัฐบาลอเมริกันนั้น มันทำให้เกิดข้อถกเถียงในทางอุดมการณ์แบบชาตินิยมฟีลีปีโนขึ้นอย่างเป็นวงกว้างในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในช่วงหลังได้รับเอกราชอีกด้วย ผมอยากให้คุณสิริฉัตรช่วยลองเล่าให้ฟังแบบคร่าว ๆ ตรงนี้ได้ไหมครับ
A : ความทรงจำเกี่ยวกับโฮเซ รีซาลในฐานะวีรบุรุษแห่งชาติของรัฐบาลบริหารอาณานิคมอเมริกันได้เข้าไปมีอิทธิพลอย่างมากนะคะในการเขียนประวัติศาสตร์ยุคชาตินิยมฟิลิปปินส์ของประวัติศาสตร์ชาติกระแสหลักในช่วงหลังได้รับเอกราช ซึ่งก็จะผลิตซ้ำเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ในยุคชาตินิยมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เหตุการณ์การเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปและต่อต้านระบอบอาณานิคมสเปนของกลุ่มชนชั้นนำปัญญาชนฟีลีปีโนหัวก้าวหน้าในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งนำโดยคนอย่างโฮเซ รีซาล วนๆ ไปแบบนี้ ปัญหาสำคัญก็คือ เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่มชนชั้นนำปัญญาชนฟีลีปีโนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มันก็ได้รับกระแสวิพากษ์จากนักประวัติศาสตร์ฟีลีปีโนในยุคหลังอาณานิคมว่า เป็นประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์แบบชนชั้นนำนิยมที่ได้รับอิทธิพลมาจากวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของเจ้าอาณานิคม ซึ่งถูกผลิตขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับกลุ่มชนชั้นนำของรัฐ

กลุ่มปัญญาชนฟีลีปีโนหัวก้าวหน้าในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือกลุ่มผู้ตาสว่าง
ที่เคลื่อนไหวในสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนเพื่อเรียกร้องให้สเปนปฎิรูปเสรีนิยมในดินแดนอาณานิคม
ประเด็นที่เกิดขึ้นตามมาคือ ในขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ทุกยุคทุกสมัยได้พยายามผลิตซ้ำความทรงจำเกี่ยวกับโฮเซ รีซาล ขึ้นมาอย่างขนานใหญ่ มันกลับมีการผลิตความทรงจำเกี่ยวกับวีรีบุรุษแห่งชาติขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง โดยกลุ่มมวลชนชาวนาคนชั้นล่าง ซึ่งคนกลุ่มนี้เขามองไปอีกทางหนึ่งว่า พวกกลุ่มชนชั้นนำเหล่านั้นไม่ได้ต้องการปลดปล่อยหมู่เกาะฟิลิปปินส์ออกจากการเป็นอาณานิคมสเปนอย่างแท้จริงหรอก พวกเขาต้องการให้สเปนปฏิรูปสังคมอาณานิคมในฟิลิปปินส์ให้เสรีนิยมเหมือนที่เกิดขึ้นในสเปนเท่านั้น คนที่เป็นวีรบุรุษที่แท้จริงของชาวนาก็คือ ผู้นำมวลชนคนชั้นล่างผู้ไม่ได้รับการศึกษาที่หยิบอาวุธก่อการปฎิวัติปลดปล่อยหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี 1896 อย่างอันเดรส โบนิฟาซีโอต่างหาก
จากที่พูดมาจะเห็นได้ว่า ความทรงจำร่วมเกี่ยวกับรีซาลที่ผลิตขึ้นโดยรัฐบาล มันไม่เพียงแต่ส่งผลให้ความทรงจำเกี่ยวกับโฮเซ รีซาลเองเป็นตัวสร้างสำนึกแบบชาตินิยมให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ความรู้แบบนี้แหละค่ะมันได้กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้มวลชนฟีลีปีโนเริ่มที่จะหันมาสนใจต่อเรื่องราวของวีรบุรุษและการปฏิวัติด้วยสำนึกของตัวพวกเขาเอง จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามวิวาทะระหว่างชนชั้นในประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์ระหว่างประวัติศาสตร์แบบชนชั้นนำและประวัติศาสตร์จากคนชั้นล่าง ตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงปัจจุบัน มันจะมีการตอบโต้ในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบนี้อยู่ตลอดประวัติศาสตร์การเมืองฟิลิปปินส์ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นต้องติดตามในหนังสือเล่มนี้ค่ะ

Q : ในฐานะที่ฟิลิปปินส์เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบอาณานิคมสเปนซึ่งมีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่ศาสนาจักรสเปน และศาสนาคริสต์ถือเป็นมรดกตกทอดที่ระบอบอาณานิคมสเปนทิ้งไว้ให้กับชาวฟีลีปีโนอย่างชัดเจนที่สุด โดยมองเห็นได้จากการที่ฟิลิปปินส์มีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ผมอยากทราบต่อไปว่า ศาสนจักรได้เข้ามีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนต่อการเขียนประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ครับ
A : เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ อิทธิพลของศาสนาจักรที่มีต่อประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์ ในด้านหนึ่งก็จะเป็นเรื่องของแนวคิดการเขียนประวัติศาสตร์ โดยกรอบคิดการเขียนประวัติศาสตร์แบบคริสต์ศาสนาในประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์นี่ถือได้ว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการเขียนประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ของข้าราชการและพระสเปน ซึ่งเป็นจารีตของการเขียนประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่โลกคริสตจักรที่วางอยู่บนแนวคิดเรื่องพระเจ้าสร้างโลกหรือพระเจ้าเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้ควบคุมชะตากรรมทางประวัติศาสตร์นั่นเอง การเขียนประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ภายใต้กรอบคิดแบบนี้มักจะยึดถือเรื่องของเวลาภายหลังการเกิดขึ้นของพระเยซูคริสต์เป็นหลัก โดยมีโครงเรื่องการพัฒนาประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง มีการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์แยกออกเป็นช่วงก่อนและหลังการเข้ารีต หรือยุคมืด-ยุคสว่าง (darkness-lightness) ซึ่งตรงนี้มันมีนัยยะที่เปิดเผยให้เห็นว่า การเข้ามาของระบอบอาณานิคมสเปนและการเผยแพร่ศาสนาของมิชชั่นนารีเป็นการนำเอาแสงสว่างในทางภูมิปัญญามามอบให้กับชาวพื้นเมืองในหมู่เกาะฟิลิปปินส์
ประเด็นสำคัญในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์คือ โครงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์การพัฒนาแบบเส้นตรงของคริสต์ศาสนามันยังคงเป็นกระแสหลักทางความคิดของการเขียนงานประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ในเวลาต่อมา สะท้อนอย่างชัดเจนในเรื่องเล่าประวัติศาสตร์การพัฒนาของชนชั้นนำภายหลังได้รับเอกราชที่ขับเน้นให้เห็นถึงบทบาทของกลุ่มปัญญาชนอันเป็นกลุ่มชนชั้นนำทางสังคมการเมืองให้เดินอยู่แถวหน้าของกระบวนการพัฒนาประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์ วิธีคิดการเขียนประวัติศาสตร์การพัฒนาแบบนี้มันก่อรูปและได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดเรื่องความสัมพันธ์ของโลกที่มีแกนกลางอยู่ที่คริสตจักรนั่นเองค่ะ
อิทธิพลของศาสนจักรที่มีต่อประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์ นอกจากจะเป็นเรื่องของแนวคิดการเขียนประวัติศาสตร์แล้วนะคะ ในอีกทางหนึ่ง โลกคริสตจักรฟิลิปปินส์เองก็ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการคานอำนาจและต่อรองในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์ เช่น การที่กลุ่มองค์กรศาสนาในชื่อ อัศวินแห่งโคลัมบัส (The Knight of Columbus) ได้ออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์หนังสือชีวประวัติของโฮเซ รีซาลเรื่อง The Pride of the Malay Race ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษของราฟาเอล ปาลมา (Rafael palma) ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนรัฐบาลว่า เป็นหนังสือที่มีข้อความที่ตั้งใจกล่าวโจมตีศาสนา จนกระทั่งมีการเรียกร้องให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ขจัดออกไปจากหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย เราก็จะเห็นบทบาทของศาสนจักรในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์แบบนี้มาโดยตลอดค่ะ
Q : ขอออกนอกเรื่องหน่อยครับ คุณสิริฉัตรได้พูดถึงอิทธิพลความคิดในการเขียนประวัติศาสตร์แบบเจ้าอาณานิคมในการเขียนประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ในยุคหลังอาณานิคม มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า มีสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ของชาวพื้นเมืองในยุคก่อนการเข้ามาของเจ้าอาณานิคมหรือไม่ อย่างไรครับ
A : พัฒนาการการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์มันยึดโยงอยู่กับบริบทสภาพแวดล้อมและเวลา ดังนั้น เวลาเรากล่าวถึง ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของชาวพื้นเมืองก่อนการเข้ามาของเจ้าอาณานิคม นักประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์บางกลุ่มมองว่า มันได้เริ่มขึ้นในบริบทชุมชนโบราณ (ancient community) ซึ่งปรากฎขึ้นในหลักฐานประเภทวัฒนธรรมในเชิงวัตถุ (material culture) และคำบอกเล่าหรือมุขปาฐะ (oral tradition) ที่สัมพันธ์และมีความหมายต่อวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ จะขอยกตัวอย่าง เช่น ไหใส่ศพ (burial jar) ที่พบบริเวณถ้ำมานุงกัว (Manunggul) ในปาลาวัน (Palawan) มีอายุระหว่าง 895-775 ก่อนคริสต์กลาล หลักฐานะชิ้นนี้ก็สะท้อนให้เห็นการพัฒนาระบบความเชื่อของมนุษย์ที่มีอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนในหมู่เกาะฟิลิปปินส์และดินแดนส่วนอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร อันเป็นระบบความเชื่อที่สัมพันธ์อยู่กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวในวิถีการดำรงชีวิต (natural religion) โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องวิญญานที่มีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติและชีวิตหลังความตาย

งานสำรวจทางชาติพันธุ์ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ของระบอบอาณานิคมอเมริกัน
อีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันอยากพูดถึงสักหน่อยก็คือ บันทึกบนแผ่นทองแดง (the Laguna copper-plate inscription) ซึ่งค้นพบที่ลากูนา มีอายุใน ค.ศ. 900 ตัวบันทึกบนแผ่นทองแดงชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ชาวพื้นเมืองในยุคชุมชนโบราณมีการพัฒนาระบบการเขียนและการอ่านเฉพาะตนขึ้น โดยภาษาที่ถูกบันทึกบนแผ่นทองแดงเป็นภาษามาลายูโบราณ ซึ่งเป็นภาษากลางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางด้านการค้า ในเครือข่ายการค้าโบราณของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร ที่สำคัญคือ มันยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนภายในหมู่เกาะต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทรผ่านระบบภาษาและวัฒนธรรม การทำความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ในยุคชุมชนโบราณที่ยากจะหาร่องรอยของงานวรรณกรรม ซึ่งถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่นักประวัติศาสตร์จะสามารถนำมาใช้ในการตีความ วิเคราะห์ และให้ความหมายทางประวัติศาสตร์นั้น มันก็ทำให้นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งได้หันมาใช้วิธีการวิเคราะห์ในเชิงตีความวัฒนธรรมวัตถุในยุคชุมชนโบราณที่ค้นพบในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ค่ะ
Q : สุดท้าย ผมอยากให้คุณสิริฉัตรฝากหนังถือเล่มนี้ต่อนักอ่านในที่นี่เล็กน้อยครับ
A : อยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะคะ หนังสือเล่มนี้จะทำให้มองเห็นข้อถกเถียงของเหล่านักประวัติศาสตร์ฟีลีปีโนที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันในการผลิตสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ชาติให้กับพลเมืองฟิลิปปินส์ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของการพยายามในการหาทางออกให้กับอิทธิพลกรอบคิดแบบอาณานิคมในการเขียนประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์ ดิฉันเองหวังว่า หนังสือเล่มนี้อาจจะพอช่วยในการสร้างความเข้าใจต่อการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพวกเราต่างก็มีประสบการณ์ประวัติศาสตร์แบบอาณานิคมร่วมกัน หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจทำให้เรากลับมาตั้งคำถามต่อการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่มากก็น้อยค่ะ