โดย นิธิ นิธิวีรกุล
หมายเหตุ: บทความต่อไปนี้ไม่ได้ต้องการบอกโดยการเปรียบเทียบว่าตูน บอดี้สแลม หรือโตโน่ ภาคินเทียบเท่ากษัตริย์ แต่ต้องการอธิบายโดยอาศัยกรอบทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์ว่าทำงานเช่นไรกับบริบทสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับการให้ทานจนละเลยแง่มุมอื่นของปัญหาที่ถูกซุกไว้ใต้พรม
“การเห็นรอยยิ้มของทุกคนในพื้นที่ และการเห็นผู้คนออกมาต้อนรับและบริจาคเงิน เด็กออกมามีส่วนร่วมในกิจกรรม เป็นภาพที่สวยงามมากเกินกว่าที่จินตนาการไว้” ตูน บอดี้สแลม กล่าวไว้เมื่อผ่านไป 4 วันของการวิ่ง มียอดเงินบริจาคทะลุ 70 ล้านบาท – ส่วนหนึ่งของเนื้อข่าว “ตูน บอดี้สแลม ก้าวจนจบปลายทางเหนือสุดแดนสยาม จบภารกิจ 55 วัน” PPTV เผยแพร่เมื่อ 25 ธ.ค.2560
ภาพจาก MV ชีวิตยังคงสวยงาม วง bodyslam Ver.ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล
“แล้วการว่ายของผมมันไม่ใช่แค่การช่วยเครื่องมือแพทย์ มันมีเรื่องของสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือเรื่องของแม่น้ำโขง ระบบนิเวศในแม่น้ำโขง ถ้าเราช่วยกันอยู่ฝั่งเดียวแต่เราไม่สามารถชวนเพื่อน ๆ จากชาติอื่นมาร่วมกันช่วยแม่น้ำสายนี้ได้ แม่น้ำโขงก็กลายเป็นแม่น้ำที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดหนึ่งในสิบของโลกอยู่ดีครับ” , “การที่ผมมาว่ายน้ำในครั้งนี้เนี่ยไม่ได้หมายความว่าผมดีกว่าใครเลย ผมแค่อยากจะช่วยคุณหมอกับคุณพยาบาลเขา กับคนที่เขาลำบาก” , “อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึง พี่อุ๋ยครับ คำว่าเสียสละเนี่ย มันสำคัญนะพี่ เมื่อไหร่ที่เราเริ่มมองทุกอย่างเป็นธุรกิจไปหมด ทำเพราะอยากได้แบบนี้ใช่ไหม …ไม่เป็นไรต่อให้คุณเกลียดผม ผมก็พยายามรักคุณน่ะ ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่พิมพ์ด่าผมวันนึงเขาอาจจะต้องมาใช้บริการโรงพยาบาลนครพนม หรือโรงพยาบาลท่าแขกก็ได้ ผมไม่ได้คิดเลยว่าการว่ายครั้งนี้มันจะช่วยคนกลุ่มไหน …คือถ้าเราชนะ ถ้าเราทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม หรือการปลุกจิตสำนึกคน การร่วมด้วยช่วยกัน ความสามัคคี ถ้าเราชนะเราชนะหมดฮะ ทุกคนใช้อากาศเดียวกันหายใจ ทุกคนใช้ทรัพยากรบนโลกนี้ด้วยกัน ทุกคนใช้โรงพยาบาลเหมือนกันหมดฮะ” โตโน่ ภาคิน ให้สัมภาษณ์ในรายการ “คุยกับอุ๋ย” เผยแพร่ผ่าน youtube
ภาพจากรายการ “คุยกับอุ๋ย” เผยแพร่ทาง youtube
ไม่มากก็น้อย เราล้วนต้องมาถึงจุดว่าเราจะเลือกให้หรือเมินเฉย ไม่ว่าจะเป็นการพบเห็นขอทานตามสะพานลอย การนั่งรับประทานในร้านอาหารริมทางแล้วมีเด็กเดินมาเร่ขายขนม, ปากกา สินค้าสารพัดที่เราไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อแล้วจะทำยังไงกับมัน แต่ไม่ว่าจะขอทานหรือเด็กเดินเร่ขายของ เมื่อตัดสินใจที่จะให้แล้ว ล้วนไม่ได้มองเลยไปกว่าคำว่าสงสารหรือคิดเสียว่าทำบุญเลยสักครั้ง น้อยถึงน้อยที่คุณจะให้เพื่อตัดรำคาญ และจากประสบการณ์ก็ยังไม่เคยเจอ
การให้(ทาน)นั้นกลายเป็นสิ่งที่เราจะสามารถทำได้เมื่อเราอยู่ในสถานะที่มีบางสิ่งบางอย่างที่อีกฝ่ายต้องการหรือขาด และในฐานะพลเมืองของรัฐ(พุทธ)ไทยปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการให้ทานนั้นล้วนพ่วงมากับคำว่า “ทำบุญ” มากกว่าการให้โดยไม่วาดหวังให้เป็นการต่อบุญไปถึงสรวงสวรรค์หรือเกิดมาชาติหน้าสุขสบายร่ำรวยเงินทอง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ต่างประเทศมีไหมการบริจาค, แน่นอนว่ามี แต่พวกเขานิยามว่าเป็นการทำบุญไหม? เขาคิดรึเปล่าเมื่อบริจาคหรือให้เงินใครสักคนนั่นคือการทำให้เขาได้ไปอยู่บนสรวงสวรรค์ หรือเกิดมาชาติหน้ามีชีวิตร่ำรวยกว่าชาตินี้
ในหนังสือของแพทริค โจรี เรื่อง ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์ฯ หรือชื่อภาษาอังกฤษ Thailand's Theory of Monarchy : The Vessantara Jataka and the idea of the Perfect Man ขยายขอบเขตของคำถามเพื่อหาคำตอบภายใต้ปรัมปราเรื่องเล่าจากนิทานชาดกเรื่อง “พระเวสสันดรชาดก” ที่มีแก่นกลางอยู่ที่การให้ทานถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่นำพาให้พระเวสสันดรได้กลับมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นทำงานเช่นไรภายใต้กรอบของรัฐไทสมัยโบราณตั้งแต่ทวารวดี, สุโขทัย, อยุธยา จนมาถึงรัตนโกสินทร์
จากบทนำที่โจรีได้เขียนไว้ว่า “...เวสสันดรชาดกดำเนินเรื่องไปโดยแกนหลักคือ การพลัดพรากและการแตกสลายทีละเล็กทีละน้อยของครอบครัวของพระเวสสันดร ทั้งหมดกลับมาพร้อมหน้ากันใหม่อย่างมีความสุขในตอนจบ โครงสร้างเรื่องเล่าเช่นนี้ของมหาชาติได้กลายเป็นแม่แบบมาตรฐานของครอบครัวไทย ประกอบด้วยแม่ผู้เอาใจใส่ ภรรยาที่ดีพร้อมและซื่อสัตย์ ลูกที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท และพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นผู้ที่สูงส่งกว่าทั้งในทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ พระนางมัทรี พระกัณหา พระชาลี ล้วนแต่เป็นสมบัติของพระเวสสันดร ฉะนั้นพระเวสสันดรจึงสามารถบริจาคเป็นทานได้ มหาชาติระบุหลักเกณฑ์ที่เป็นปิตาธิปไตยอย่างชัดเจนในลำดับชั้นความสัมพันธ์ภายในครอบครัว แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าหลักเกณฑ์นี้นำไปผลิตซ้ำในครอบครัวไทยมากน้อยเพียงใด อำนาจปกครองในสังคมไทยเริ่มต้นที่ระดับครอบครัว...” นั้น ไม่เพียงให้ภาพพจน์ของความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ขาดระหว่างสถาบันครอบครัวในระดับประชาชนกับสถาบันครอบครัวในระดับรัฐผ่านรูปที่มีทุกบ้านซี่งเป็นเหมือนตัวแทนของสถาบันกษัตริย์ และยังเป็นตัวแทนที่เหมาะเจาะสมบูรณ์ต่อ “ภาพสะท้อน” ที่แพทริคใส่ไว้ในชื่อภาษาอังกฤษ ในความหมาย …and the idea of the Perfect Man อีกด้วย
หนังสือ ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์ฯ พาเราย้อนไปสำรวจขอบเขตของ “ภาพสะท้อน” ของ idea ที่เริ่มฉายชัดให้เห็นถึงรากความเป็นไทยครั้งแรก ๆ ในสมัยพระยาลิไทผ่านจารึกภาษาบาลีที่ทรงเชี่ยวชาญ โดยแพริค โจรีอธิบายเรื่องนี้ไว้ในบท เวสสันดรชาดกกับการก่อตั้งรัฐแรกเริ่ม เอาไว้อย่างน่าสนใจว่าพระยาลิไทหยิบเอาชื่อของตัวละครในชาดกสี่เรื่องด้วยกันมาประกอบเข้ากับคุณลักษณะของพระองค์เองเพื่อให้พระองค์มีความ “ความสมบูรณ์พร้อม” เฉกเช่นพระพุทธเจ้าที่เป็น “สัตว์” ประเสริฐเหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง ซึ่งในยุคที่ “ลายสือ” ยังไม่ได้กลายเป็นตัวอักษรที่สามารถอ่านกันได้ทั่วทุกคนนั้น (และแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ใช่คนไทยทุกคนสามารถอ่านจารึกสมัยสุโขทัยได้) การเข้าถึงชาดกต่าง ๆ ที่มีโครงสร้างเหมาะแก่การเผยแพร่แบบมุขปาฐะนั้นยิ่งส่งเสริมสถานะกษัตริย์ให้ยิ่งใกล้เคียงความเป็นเจ้าเพราะทรงรอบรู้ และทรงให้ทานด้วยการเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ให้สรรพสัตว์อื่น ๆ ได้รับรู้และนำไปเป็นหลักคิดสอนใจในการดำรงชีวิตของตนเอง
ทานและอำนาจภายใต้ความเป็นสัตว์สมบูรณ์
ธรรมเนียมที่แทบจะเป็นประจำในทุก ๆ ปีเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคมก่อนมาถึงรัชกาลปัจจุบัน คือ การพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วประเทศ เมื่อครั้งยังเด็กไม่เคยติดใจสงสัยว่าทำไม คิดแต่เพียงเป็นเพราะพระเมตตาขององค์กษัตริย์ จนเมื่อเติบโตจึงได้เริ่มคิดว่าบางนักโทษไม่สมควรได้รับพระราชทานอภัยโทษก็กลับได้เป็นอิสระเพราะการอภัยโทษ แม้นักโทษผู้นั้นจะเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพคนรัก หรือผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ขณะที่บางนักโทษเป็นเพียงชายชราที่ต้องติดคุกจนตายเพียงเพราะส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือโดยไม่มีแม้แต่พระเมตตาใด ๆ เพียงเพราะนักโทษผู้นั้นต้องโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
การพระราชทานเพื่อมอบอิสระให้ผู้ต้องขังถูกทวนถามขึ้นครั้งแรก ไม่ใช่แค่เพียงนักโทษคนไหนสมควรหรือไม่สมควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษ แต่ตั้งคำถามว่าทำไมระบบการคุมขัง ถึงจำเป็นต้องผูกโยงกับการพระราชทานอภัยที่จะทรงสิทธิ์ในการมอบให้หรือไม่ให้เท่านั้นล่ะหรือ?
มีเหตุผลอื่นมากกว่านั้นไหมในการที่รัฐจำเป็นต้องนำระบบสมัยใหม่ไปผูกโยงกับค่านิยมทางจารีตประเพณีของระบบสังคมสมัยเก่า ค่อนไปโบราณด้วยซ้ำ
คำตอบหนึ่งที่แพทริค โจรีมอบให้ คือ “...ความสัมพันธ์ระหว่างการให้ทานและการเป็นผู้มีอำนาจแสดงถึงเส้นแบ่งที่คลุมเครือระหว่างขอบเขตของศาสนา ศีลธรรม และศิลปะการปกครอง การให้ทานนั้นถือเป็นคุณธรรมสูงสุด ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ให้เหตุผลรองรับการสั่งสงความมั่งคั่งและอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วย...” จริงอยู่ว่าการให้พระราชทานอภัยโทษอาจไม่นับเป็นทานในลักษณะที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเหมือนการให้ทานประเภทอื่น ๆ แต่ถามว่าสำหรับคนที่สูญสิ้นอิสรภาพเขาจะต้องการสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต?
การพระราชทานอภัยโทษจึงกลายเป็นสิ่งค้ำจุนสถาบันกษัตริย์ให้มั่นคงด้วยแม้ว่าคุณจะเป็นคนเช่นไร แต่คุณล้วนอยู่ “ภายใต้” อำนาจของการชี้เป็นชี้ตายผ่านกลไกของรัฐที่เปรียบเสมือนข้าราชบริพารอีกทีโดยมิอาจเลี่ยง จริงอยู่ องค์กษัตริย์ไม่ได้เป็นผู้สั่งให้ชายชราคนนั้นติดคุกจนตัวตาย อีกทั้งพระองค์อาจไม่เห็นหรือรับรู้ด้วยซ้ำว่ามีชายชราคนหนึ่งติดคุกอยู่และกำลังป่วยสิ้นใจในเรือนจำ แต่ผู้คุม อัยการ ตำรวจ ที่เปรียบดั่งแขนขาของพระองค์นั้นรู้ และรู้ดีด้วย แต่กลับไม่ทำอะไรในนามของรัฐที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่ก็ได้ชื่อ(อีกนั่นแหละ)ว่าเป็นศาสนาที่มีเมตตา เปี่ยมไปด้วยสันติมากที่สุดศาสนาหนึ่งจริง ๆ ล่ะหรือ?
ไม่แต่เพียงการพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น “การพระราชทาน” ยังปรากฏในบริบทอื่น ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับองคาพยพของรัฐตั้งแต่การขอตำแหน่งทางวิชาการ เช่น รองศาสตราจารย์, ศาสตราจารย์, ผู้พิพากษา ไปจนถึงตำแหน่งทางศาสนาที่ไม่น่าจะข้องเกี่ยวกันเพราะการพระราชทานเป็นอำนาจของกษัตริย์ฝ่ายโลก แต่เพราะการให้ทานตามข้อเขียนของโจรีมองว่า “ทาน” และ “อำนาจ” สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกเพื่อให้กษัตริย์มีสถานะ “สมบูรณ์พร้อม” ใกล้เคียงที่สุดสำหรับเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อจะได้นิพพานต่อไป
และความสัมพันธ์ระหว่างทานกับอำนาจนี้ยังปรากฏทั้งในอาณาจักรอยุธยาต่อมาจนถึงอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง กรุงธนบุรี มาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ในบท ทฤษฎีกษัตริย์แบบพุทธศาสนาเถรวาท แพทริค โจรีเขียนไว้ในหัวข้อย่อย ผู้ปกครองในฐานะพระโพธิสัตว์ ผ่านการตั้งข้อสังเกตหลังอาณาจักรอยุธยาล่มสลายลง มีกรุงธนบุรีปรากฏขึ้นต่อเนื่องด้วยกรุงรัตนโกสินทร์ รัฐไทยหรือสยามในยุคนั้นแผ่ขยายอิทธิพลอย่างยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าอาณาจักรอยุธยาและรัฐไทยในปัจจุบันด้วยซ้ำ ด้วยความที่ชนชั้นสยามในยุคเริ่มต้นของกรุงรัตนโกสินทร์กวาดต้อนทั้งพลเมืองของรัฐชายขอบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงอาณาจักรล้านนาและล้านช้างด้วยเข้ามาอยู่ภายใต้ขอบขัณฑสีมา การที่รัฐต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนตั้งตนในสถานะของรัฐที่ผูกโยงตนเองเข้ากับศาสนาพุทธเถรวาท การฟื้นฟูและส่งเสริมนิทานชาดกจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นไม่ใช่แค่เพียงให้รัฐต่าง ๆ เหล่านั้นยอมรับในอำนาจของเจ้ากรุงรัตนโกสินทร์ แต่ยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับกษัตริย์ใหม่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำตะวันออกของบางกอกในฐานะ “ผู้มีบุญบารมี” ถึงพร้อมมากกว่าเจ้าองค์เดิมอีกด้วย และการสั่งสมบุญบารมีใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการให้ทาน ดังนั้น ชนชั้นสยามในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีความพยายามที่จะขยายขอบเขตอำนาจรัฐให้แผ่ขยายไปกว่าครั้งกรุงศรีอยุธยา ไม่ใช่แค่เพียงเสริมสร้างภาพลักษณ์ในฐานะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น การขยายขอบเขตอาณาจักรออกไปให้ไพศาลกว่าเดิมยังนำมาซึ่งการค้าการขาย นำมาซึ่งเงินทองเพื่อให้พระคลังข้างที่สามารถสั่งสมทรัพย์มากพอที่จะบริจาคในนามของทานได้
หนังสือ พระโพธิสัตว์เจ้า เรื่องเล่าจากพระอริยสงฆ์ : กษัตริย์ผู้ทรงมีแต่ให้และหวังให้ผู้อื่นมีความสุข มากกว่าการคิดถึงพระองค์เอง
“...ความสัมพันธ์ระหว่างแก่นของพระเวสสันดรชาดกเรื่องการให้ทานในฐานะบารมีอย่างหนึ่งที่พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงการตรัสรู้ กับการดำเนินการควบคุมการค้าพาณิชย์โดยพระมหากษัตริย์ ซึ่งนำความมั่งคั่งและอำนาจมาให้ผู้ปกครองและนำความรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักร อุดมคติจากเวสสันดรชาดกที่ยกผู้ปกครองเป็นผู้ให้ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรกลายเป็นเหตุผลทางอุดมการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการได้มาซึ่งความมั่งคั่ง สำหรับพระมหากษัตริย์ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น การค้าสำเภาเป็นช่องทางในการสั่งสมพระราชทรัพย์เพื่อที่จะได้เป็นกษัตริย์ในอุดมคติที่เวสสันดรชาดกวาดภาพไว้...”
ความสัมพันธ์ระหว่างการให้ทานและอำนาจนี้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงเมื่อลัทธิล่าอาณานิคมมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้ต้องปรับตัว ซึ่งรวมไปถึงมโนทัศน์ที่มีต่อพระเวสสันดรชาดกในฐานะพระคัมภีร์ที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ากลายเปลี่ยนสถานะไปเป็นเพียงนิทานพื้นบ้านสอนใจในสมัยรัชกาลที่ 5 แทน ซึ่งการวิจารณ์สถานะของชาดกให้กลายเป็นเพียงนิทานนั้นเชื่อมโยงกับความคิดในการพยายามสร้างการรับรู้ต่อพระพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่ในฐานะ “มนุษย์” มากขึ้นกว่าแต่ก่อนในฐานะ “หลักธรรม” เวสสันดรชาดกซึ่งเป็นเรื่องในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าจึงถูกลดสถานะลง และรวมไปถึงความสำคัญของการบำเพ็ญเพียรผ่านการให้ทานเพื่อตรัสรู้ กระนั้น นิทานชาดกก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นชาติไทยผ่านรูปแบบวรรณกรรมในฐานะ “หลักฐาน” เก่าแก่ของภาษาเพื่อบ่งบอกว่าไทยไม่ได้เป็นประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน สามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้ผ่านนิทานชาดกต่าง ๆ ในลักษณะของวรรณกรรมจารึก แต่นอกจากนั้น การลดทอนความสำคัญของเวสสันดรชาดกในฐานะส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธยังมีนัยยะเกี่ยวข้องกับกบฏผู้มีบุญ ซึ่งแพร่หลายในภาคอีสานเพื่อจะลดทอนฐานะของอดีตเจ้าครองเมืองเหล่านั้นที่พยายามจะต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลางกรุงเทพฯ อีกด้วย
กบฏผู้มีบุญ หรือ กบฏผีบุญ ที่ถูกทหารควบคุมตัวไว้ที่ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี พ.ศ.2444 ในมณฑลอีสาน
จากตูนถึงโตโน่ การเปลี่ยนสถานะจากนักร้องไปสู่นักบุญ
คร่าว ๆ ของทฤษฎีที่ยกมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนพยายามจะเชื่อมโยงงานเขียนของแพทริค โจรีมาสู่การเมืองสังคมไทยสมัยใหม่เพื่อหาคำตอบว่าเหตุใด ความพยายามที่จะช่วยผู้อื่นจึงฝังรากแน่นลึกในสังคมไทย แต่กลับไม่เคยตั้งคำถามว่าทำไมถึงยังมีผู้คนที่แตกต่างจากเรา ทั้งที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ทั้งที่หายใจเอาอากาศเดียวกัน แต่ทำไมยังมีคนที่ลำบากกว่า ต้องการการช่วยเหลือมากกว่า
จากคำให้สัมภาษณ์ของทั้งตูน บอดี้แสลม และโตโน่ ภาคินที่ยกมา ภาพสองภาพที่เห็นร่วมกัน คือ ทั้งสองคนต่างรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ทำได้ด้วยทุนทรัพย์ของ “ชื่อเสียง” ไม่ใช่ “เงินทอง” เหมือนอย่างกษัตริย์โบราณในอดีต และแม้ไม่อาจรู้ได้ถึงจิตใจจริง ๆ ของทั้งสองว่าต่างมีพระเวสสันดรชาดกเป็นคัมภีร์ในการปฏิบัติตนหรือไม่ก็ตาม แต่เชื่อได้แน่ ๆ ว่าทั้งสองต่างมี “ตัวแทน” ของพระโพธิสัตว์ให้เอาเยี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อเขียนจากนี้ ขอให้ถือเป็นข้อสังเกตต่อปรากฏการณ์ทางสังคมมากกว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลของผู้เขียนบทความฝ่ายเดียว
แม้เราไม่อาจรู้ได้ชัดเจนว่าดารานักร้องทั้งสองคนมีพระเวสสันดรเป็น “ไอค่อน” แน่ ๆ หรือไม่? แต่สิ่งที่รัฐไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาพยายามทำโดยการลดทอนความสำคัญของเวสสันดรชาดกให้มีสถานะเป็นเพียงนิทานเรื่องแต่งนั้นได้ฝังรากลึกลงในสังคมไทยในฐานะวรรณกรรมของการสั่งสอน และเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธในฐานะที่เป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้า จนการทำทานและการให้=การทำบุญอย่างสูงที่สุดไปโดยปริยาย
การฝังรากลึกทางความเชื่อนี้ทำให้ผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อย อย่างน้อยก็ในจำนวนญาติพี่น้องของผู้เขียนบทความที่มีความเชื่อการทำบุญ ไม่ว่าผู้รับที่สุดแล้วเขาอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งขอทานที่ไม่ได้ลำบากจริง ๆ หรือการบริจาคอาจไม่ได้ไปถึงมือผู้รับจริง ๆ แต่หากตั้งต้นที่เจตนาการให้แล้ว ปลายทางจะเป็นเช่นไรย่อมเป็นสิ่งดี
ความคิดนี้กลายเป็นสิ่งที่เมื่อนำมาใคร่ครวญต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมนั้นล้วนสามารถเชื่อมโยง หรืออ้างอิงถึงนัยยะระหว่างสถาบันกษัตริย์และศาสนาพุทธอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ตั้งแต่วาทกรรม “การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” “ทหารของพระราชา” “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” และ “การถวายคืนพระราชทานอำนาจ” ไปจนถึง “ทำดีเพื่อในหลวง”
หนังสือการ์ตูน พระเวสสันดรชาดก และ พระมหาชนก ในเวอร์ชั่นต่าง ๆ
โดยแพทริค โจรีอธิบายแง่มุมนี้ไว้ในบท พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระเวสสันดรแห่งยุคสมัยใหม่ และผู้เขียนขอใช้เป็นข้อสรุปปิดท้ายไปพร้อมกันว่า “...การพื้นฟูอุดมคติกษัตริย์โพธิสัตว์มาพร้อมกับทฤษฎีลำดับชนชั้นทางศีลธรรมแบบโบราณ ซึ่งมองว่าอำนาจอันชอบธรรมบุคคลเป็นบทบาทจากตำแหน่งแห่งที่ของคน ๆ นั้นในลำดับชั้นดังกล่าว ลำดับชนชั้นเป็นผลมาจากการทำบุญสะสมในชาติก่อน ๆ โดยในชาติปัจจุบันมีพระโพธิสัตว์หรือองค์พระมหากษัตริย์อยู่จุดสูงสุด รองลงมาคือผู้ทำบุญรายใหญ่ ได้แก่ ชนชั้นสูง ข้าราชการทั้งพลเรือนและทหาร นักธุรกิจ และชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ ชั้นล่างสุดคือเหล่าชาวไร่ชาวนาในชนบทและคนงานในเมืองหลวงที่เสียเปรียบเพราะไม่อาจทำบุญได้มาก ระบบชนชั้นทางศีลธรรมเช่นนี้จึงมองว่าแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เพราะในระบอบประชาธิปไตย เห็นว่าสามัญชนนั้นเท่าเทียมกับกษัตริย์โพธิสัตว์หรืออาจจะเหนือกว่าหากสามัญชนรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองและชนะการเลือกตั้งจนได้มาซึ่งอำนาจ นี่เป็นแนวคิดที่ขบถในมุมมองของทฤษฎีการเมืองแบบพุทธศาสนาเถรวาทอย่างยิ่ง เนื่องจากสื่อนัยว่าผู้ที่อยู่ชั้นล่างสุดของพีระมิดบุญหรือผู้ที่ต่ำกว่าในทางศีลธรรมนั้นมีสิทธิในอำนาจที่ชอบธรรมกว่าพระโพธิสัตว์ซึ่งมีศีลธรรมสมบูรณ์พร้อม และหมายความว่าฝ่ายอธรรม (ผู้มีบุญต่ำ) จะมีชัยเหนือฝ่ายธรรมะ (ผู้มีบุญสูง)...”
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |