‘สยามเขตร’ การทึกทักของนักประวัติศาสตร์และการอุดช่องว่างเขตแดนศึกษาของไทย
นานมาแล้วที่การศึกษา ‘ประวัติศาสตร์ไทย’ ถูกรัฐนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ชาตินิยม กษัตริย์นิยมจนเกิดอาการเฝือเฟ้อล้นเกิน มันคอยตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของชาติไทย การถูกข่มเหงรังแกจากชาติตะวันตก ความสามารถของกษัตริย์ และการเสียดินแดนที่เคยเป็น ‘ของไทย’ ให้แก่ผู้รุกรานซึ่งหมายความว่าสยามมีเขตแดนชัดเจนเช่นที่เราเข้าใจแบบทุกวันนี้มาเนิ่นนาน ในหนังสือ ‘สยามเขตร’ เรียกงานเหล่านี้ว่าเป็นงานกลุ่มที่ 1 ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
สองทศวรรษเป็นอย่างน้อย Siam Mapped: A history of the geo-body of a nation หรือ กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ ของธงชัย วินิจจะกูล ได้ชี้ให้เห็นว่าไทยไม่เคยเสียดินแดนดังที่ประวัติศาสตร์กระแสหลักอธิบาย และอันที่จริงดินแดนที่เรียกว่าสยามหรือประเทศไทยในเวลาต่อมาถือกำเนิดพร้อมกับแผนที่ งานชิ้นนี้ได้สร้างข้อถกเถียงและเกิดการผลิตงานประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากกลุ่มที่ 1 ช่วงชิงความเป็นกระแสหลักในแวดวงวิชาการ เช่นกัน งานกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์โดยฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อบรรเทาอาการชาตินิยม กษัตริย์นิยม และเพิ่มพูนความเป็นเจ้าของประเทศของประชาชน ในหนังสือ ‘สยามเขตร’ เรียกงานเหล่านี้ว่าเป็นงานกลุ่มที่ 2
รูปที่ 1. Siam Mappedฯ ของธงชัย วินิจจะกูล
งานกลุ่มที่ 1 ทำประหนึ่งว่าสยามมีเขตแดนแน่นอนมาตั้งแต่อดีตกาลนานโพ้น ส่วนงานกลุ่มที่ 2 ก็ทำประหนึ่งว่าสยามไม่เคยมีเขตแดนอยู่เลย เป็นสองขั้วความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ ฐนพงศ์ ลือขจรชัย บรรณาธิการหนังสือ ‘สยามเขตร’ และเจ้าของบทความ ‘ระบบเขตแดนรัฐจารีตและปัญหาการเปลี่ยนผ่านในสยาม’ กำลังบอกว่า งานทั้งสองกลุ่ม ‘ทึกทัก’ (assume) ประเด็นเขตแดนทั้งคู่
งานกลุ่มที่ 1 ผิดแน่นอนในประเด็นนี้ แต่งานกลุ่มที่ 2 ก็ผิดเช่นกันที่มองว่าสยามไม่มีเขตแดนอยู่เลย อีกทั้งงานของธงชัยก็ไม่เคยระบุว่า สยามในศตวรรษที่ 19 (หรือก่อนหน้านั้น) ไม่มีเขตแดน ฐนพงศ์กล่าวว่าเขตแดนมีอยู่ หากเป็นเขตแดนแบบรัฐจารีตไม่ใช่แบบรัฐสมัยใหม่ในปัจจุบัน การนำเกณฑ์เขตแดนแบบรัฐสมัยใหม่ไปอธิบายเขตแดนแบบรัฐจารีตของงานกลุ่มที่ 2 จึงเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว เกิดช่องว่างการอธิบายประวัติศาสตร์ และชวนให้งุนงงเมื่อนำประวัติศาสตร์ไทยในช่วงเวลาเดียวกันไปประกบคู่กับประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้าน
บทสัมภาษณ์ขนาดยาวชิ้นนี้จึงว่าด้วยอาการทึกทักของงานประวัติศาสตร์ทั้งสองกลุ่ม เล่ห์เหลี่ยมทางการทูตของสยาม ความทึมเทาของรัชกาลที่ 5 ที่ไม่ขาวผุดผ่องหรือดำสนิท รวมถึงปัญหาเขตแดนที่ยังคงคาราคาซังจวบจนปัจจุบัน
คุณเขียนในหนังสือ ‘สยามเขตร’ ว่างานกลุ่มที่ 1 และงานกลุ่มที่ 2 เป็นการทึกทัก (assume) ที่ผิดจากข้อเท็จจริงและไม่เพียงพอที่จะอธิบายเขตแดน
บทที่พูดถึงประเด็นนี้เป็นส่วนของทฤษฎีในวิทยานิพนธ์เล่มใหญ่ มันเกิดจากการมองกลับด้าน (reverse) เล็กน้อย คือพอดูการเจรจาตั้งแต่งานมลายูหรือแม่น้ำโขง ในแง่การ assume ตอนที่ ร.5คุยกับฝรั่งเศสหรืออังกฤษ เขาไม่ได้คุยบนฐานที่ไม่มีอะไรเลย เราจึงต้องกลับมาดูในเชิงทฤษฎีว่างานกลุ่มที่ 1 ที่อาจารย์ธงชัยหรืองานอื่นจำนวนมากวิจารณ์ถูกต้องแล้วว่าการที่คุณ assume ประหนึ่งว่าสยามมีเขตแดนแบบรัฐสมัยใหม่ตอนคุยกับอังกฤษ ฝรั่งเศส สยามจึงเสียดินแดนไปได้ อันนี้ผิดแน่นอน เห็นด้วยตามงานกลุ่มที่ 2 ทุกอย่าง
เพียงแต่ว่าพอมาถึงจุดนี้ งานกลุ่มที่ 2 มักจะมีแนวโน้มวิพากษ์ว่ามันไม่ใช่รัฐสมัยใหม่ ส่วนใหญ่จะจบตรงนี้และ assume ว่าเขตแดนไม่มีจริงแม้ว่าในงานจะไม่ได้เขียนชัดเจนขนาดนั้น งาน SIAM MAPPED เองไม่เคยระบุว่าสมัยที่เป็นรัฐจารีต สยามไม่มีเขตแดน แต่มันกลับถูกอ้างเป็นแหล่งข้อมูลว่าสยามไม่มีเขตแดนสมัยรัฐจารีต
ปัญหาที่บอกว่ามันไม่พอเพราะว่า SIAM MAPPED แค่บอกว่าเขตแดนของสยามที่มีอยู่ไม่เข้าเกณฑ์เขตแดนรัฐสมัยใหม่ แต่สิ่งที่เราต้องย้อนกลับมาถามตลอดคือเมื่อมันไม่เข้าเกณฑ์เขตแดนรัฐสมัยใหม่ แล้วทำไมต้องใช้เกณฑ์นั้นตั้งแต่ต้น สิ่งที่เราสามารถทำได้คือไปสำรวจทั่วโลกและพบว่าเกณฑ์เขตแดนรัฐสมัยใหม่เพิ่งมีในยุโรปหลังเวสต์ฟาเลียปี 1648 ที่เดียว ที่อื่นบนโลกไม่มีเขตแดนในรูปแบบที่นิยามเช่นนี้ กระทั่งเขตแดนในเวสต์ฟาเลีย 1648 ก็ลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะมีความชัดเจนสมบูรณ์ อย่างที่ assume ว่าเขตแดนชัดเจนกันแบบนี้ก็ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
ในเมื่อแม้แต่ในยุโรปเอง เขตแดนในลักษณะอุดมคติอย่างนี้ต้องรอจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วทำไมเราถึงใช้เกณฑ์นี้ไปตัดสินเฉพาะสยามหรือที่อื่นบนโลกว่าไม่มีเขตแดน เราไปใช้เกณฑ์ผิดยุค งานกลุ่มที่ 1 assume ไปเลยว่าสยามเหมือนตะวันตก งานกลุ่มที่ 2 ก็พยายามตั้งเกณฑ์ของตะวันตกเป็นเกณฑ์แล้วดูสภาพข้อเท็จจริงของสยามว่าตรงกับเกณฑ์นี้หรือไม่ พอไม่ตรงก็ assume กลับมาว่าไม่มีเขตแดน
เราจะพบว่ามันมีการเหลื่อมระหว่าง 2 คำคือคำว่าเขตแดนกับดินแดน ดินแดนที่มีลักษณะเป็นพื้นที่กับเขตแดนที่มีลักษณะแบ่งแยกระหว่าง 2 ฝ่าย ถ้าเราถอยกลับมาดูเขตแดนในความหมายกว้าง เราจะพบว่าเขตแดนไม่ได้เป็นเขตแดนรัฐสมัยใหม่ จีนก็มีกำแพงเมืองจีนที่พอจะนับว่าเป็นจุดแบ่งหรือโรมันก็มีกำแพงตอนเหนือของเกาะอังกฤษที่นับได้ว่าเป็นเขตแดน หรือว่าถ้าจะใจกว้างยิ่งกว่านั้น ชนเผ่าบนเส้นทางสายไหมหรือในตะวันออกกลางเขานับว่าเขตแดนของเขาคือเส้นทางการเดินทาง ชนเผ่าอื่นหรือคนกลุ่มอื่นไม่สามารถเหยียบเส้นทางกันได้ก็นับเป็นเขตแดน
ผมเลยใช้ตรงนี้เป็นเกณฑ์ว่า ‘เขตแดน’ มันหลวมขึ้นและไม่ได้มองในแง่ territory ว่าต้องเป็นพื้นที่ดินแดน ดังนั้น เขตแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็น่าจะมีลักษณะนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้กลับไปดูว่าแล้วมันมีจุดแบ่งดินแดนที่คนเขารู้กันมั้ยก่อนสมัยใหม่ในแง่การแบ่งระหว่างจุด A กับจุด Bเพียงแต่งานกลุ่มที่ 2 ละเลยตรงนี้หมดเลย มันคือช่องว่างที่หายไปซึ่ง SIAM MAPPED ไม่ได้ผิด; SIAM MAPPED ใช้วิธีจัมป์จาก ร.3 มา ร.5 ไม่ได้พูดถึงเขตแดนสมัย ร.4 แต่พูดเรื่องความเป็นสมัยใหม่; SIAM MAPPED จึงมีช่องว่างใหญ่ๆ เกือบร้อยปีจากเฮนรี่ เบอร์นี่ถึง ร.5 สิ่งที่ผมทำก็คือไปเสริมช่องว่างร้อยปีที่หายไปจากจุด A มาจุด B
งานของคุณเป็นงานที่กำลังโต้เถียงหรือเสริม SIAM MAPPED
อันนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ตั้งแต่งานปริญญาโทถึงปริญญาเอก ผมตั้งใจว่าจะเสริม SIAM MAPPED และในเชิง practical หมายถึงว่าผมเอา SIAM MAPPED เป็นจุดตั้งต้นว่ามันกำลังวิจารณ์งานกลุ่มที่ 1 ซึ่งอธิบายผิด สิ่งที่ผมถามต่อคือแล้วสิ่งที่ถูกคืออะไร เพราะหลังจากเราอ่าน SIAM MAPPED จะพบว่ามันไม่ได้พยายามบอกว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร มันแค่ชี้จุดอ่อนของงานที่ผ่านมา แล้วถ้าเราเอาข้อวิจารณ์กลับไปศึกษาหลักฐานใหม่ ลองไปอ่านสิ่งที่ SIAM MAPPED บอก ว่าจะได้ผลยังไง
โดยวาระจริงๆ ผมตั้งใจจะเสริมงาน SIAM MAPPED เพียงแต่ปัญหาที่ทำให้ผมแตกไลน์มาเยอะมากคือคนไทยกลับเข้าใจ SIAM MAPPED อีกแบบหนึ่งว่ามันเสนอว่าเขตแดนไม่มีจริง เรื่องราวการเสียดินแดนทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมไปเสนองานวิชาการหรือสอบวิทยานิพนธ์ ทุกคนจะถามว่างานผมต่างจาก SIAM MAPPED ตรงไหน แต่ผมกำลังจะเสนอว่าในสมัยจารีตมีระบบเขตแดนอยู่ ซึ่ง SIAM MAPPED ก็ยอมรับว่าในสมัยจารีตมีระบบเขตแดน เพียงแต่ไม่ใช่เขตแดนแบบรัฐสมัยใหม่
รูปที่ 2. ปกหน้า Siam in Trade and War: Royal Maps of the Nineteenth Century
ซึ่งแสดง 'เขตแดน' บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ ในสมัยจารีต
ส่วนผมกำลังจะบอกว่าเขตแดนรัฐจารีตที่ SIAM MAPPED พูดถึงเล็กๆ มันเป็นยังไงเพื่อจะบอกว่ามันเปลี่ยนจริงมั้ย จริงๆ ผมต้องการจะเสริม แต่ภาพลักษณ์ที่ออกไปมันกลายเป็น disrupt เพราะ SIAM MAPPED ถูกเข้าใจอีกแบบหนึ่ง มันจึงยากว่าเรากำลังดีเบตกับอะไร แต่ผมคุยกับอาจารย์ธงชัยเป็นการส่วนตัวเยอะ ผมเคยถามว่า SIAM MAPPED สรุปแล้วเขตแดนจารีตมีมั้ย เขาบอกว่ามันมี เขาก็เขียนแล้ว เพียงแต่ไม่ได้โฟกัสว่าเขตแดนจารีตหน้าตาเป็นยังไง เขาสนใจเรื่องการ disrupt ขององค์ความรู้ทางภูมิศาสตร์เฉยๆ
SIAM MAPPED ไม่ได้บอกว่าเขตแดนแบบรัฐจารีตไม่มี แต่ SIAM MAPPED บอกว่าการเสียดินแดนเป็นเรื่องโกหก
ถูกต้อง นี่แหละประเด็นที่น่าสนใจ SIAM MAPPED ไม่ได้กำลังดีลกับข้อเท็จจริงในศตวรรษที่ 19 แต่ดีลกับความทรงจำเรื่องการเสียดินแดนหรือประวัติศาสตร์ชาติ ดีลกับวิทยานิพนธ์ หนังสือประวัติศาสตร์นิพนธ์ ดีลกับองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยเข้าใจ ณ วันนั้น แต่ไม่ได้พยายามเคลมตัวเองย้อนกลับไปในอดีต นี่คือความต่าง แต่ SIAM MAPPED กลับถูกอ้างในฐานะหลักฐานในอดีตซึ่งไม่ใช่เจตนาของอาจารย์ธงชัย งานผมจึงพยายามกลับไปทำในศตวรรษที่ 19 และดีลกับ SIAM MAPPED ไปด้วย ทั้งที่งานผมไม่ได้พยายามดีเบตกับ SIAM MAPPED
แสดงว่างานของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงก็ทึกทักเอาหมดเลยเรื่องที่ว่าสยามไม่เคยมีเขตแดน
ใช่ ผมเขียนบทความอีกชิ้นหนึ่งที่ต้องทำเรื่องนี้โดยเฉพาะคือ '30 ปี SIAM MAPPED จากการรื้อสร้างสู่การสถาปนาวาทกรรม' อาจารย์ธงชัยมีเจตนาแค่รื้อความทรงจำประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ไม่ได้มีเจตนายืนยันข้อเท็จจริงอะไรในอดีต โดยเฉพาะแกใช้เซ้นส์แบบฟูโกต์ (Michel Foucault) ซึ่งฟูโกต์ไม่เคยทำงานเรื่องอดีต ฟูโกต์ทำงานเรื่องปัจจุบัน เพียงแต่บอกว่าปัจจุบันมาจากปัจจัยนู่นนี่นั่น อาจารย์ธงชัยไม่เคยประกาศว่าจริงๆ คืออะไร ในแง่หนึ่งผมก็เข้าใจว่ามันไดรฟ์อุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่างได้ แกก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ก่อนจะไปต่อ ช่วยอธิบายคำว่า ‘เขตแดนรัฐ’ กับ ‘เขตแดนชาติ’ และ ‘เขตแดน’ กับ ‘ดินแดน’ 4 คำนี้คืออะไร
เวลาเราใช้เซ้นส์คำว่าเขตแดน มันแปลว่าจุดแบ่งระหว่างคนสองกลุ่ม เช่น บ้านคน รั้วบ้านก็เป็นเขตแดนระหว่างบ้าน A กับบ้าน B หรือที่นาก็ตาม ศาลพระภูมิของหมู่บ้าน สมัยก่อนเวลาคนจะเดินข้ามหมู่บ้านก็มีเซ้นส์ว่าตรงนี้สุดเขตหมู่บ้านฉันแล้วไปสู่เขตหมู่บ้านหนึ่ง เส้นเขตแดนนี้ไม่ได้รู้สึกถึงการขีดเป็นวงกลมหรือต้องมีวงรอบที่ชัดเจน อาจจะเป็นเส้นที่ไม่ต่อเนื่องก็ได้
แต่ถ้าพูดถึง territory หรือดินแดน เรากำลังพูดถึงก้อนที่เป็นทั้งก้อนเลย เป็นพื้นที่ที่คุณขีดมาได้ทั้งก้อน อย่างน้อยต้องเป็นเขตแดนที่ล้อมรอบถึงเกิดสิ่งที่เป็น territory ขึ้นมาได้ สมมติเราพูดถึงเกาะอังกฤษ เส้นขอบเกาะนี่แหละที่จะบอกดินแดนได้
ส่วนเขตแดนรัฐกับเขตแดนชาติจะต่อกันมา เขตแดนในอดีตมีมาเสมอตั้งแต่ยุคโรมัน เพียงแต่การแบ่งของยุคโรมันไม่ได้แบ่งด้วยชาติ มันอาจจะแบ่งด้วยพวกฉันกับพวก barbarians เลยเขตนี้ไปเป็นพวกอนารยะชน มันไม่มีว่าคุณเป็นคนคนละชาติกัน ความยากคือพอเขตแดนพัฒนาเป็นสิ่งที่เรียกว่าเขตแดนชาติ ในยุคสมัยใหม่ของไทยคือศตวรรษที่ 19 เริ่มมองว่าเขตแดนคือสิ่งที่สร้างพวกเราและพวกอื่น self กับ other พอมีเขตแดนปุ๊บกลายเป็นว่าฝั่งนี้คือพวกเรา ฝั่งนั้นคือพวกอื่น แล้วการสร้างพวกเรา พวกอื่น คือเขตแดนชาติ
รูปที่ 3. “กำแพงฮาดริอานุส” เป็นกำแพงหินบางส่วนและกำแพงหญ้าบางส่วนที่สร้างโดยจักรวรรดิโรมัน
ขวางตลอดแนวตอนเหนือของเกาะอังกฤษ
ความยากคือศตวรรษที่ 19 เขตแดนรัฐกับเขตแดนชาติสำหรับผมมันซ้อนกัน ดังนั้น งานกลุ่มที่ 3 เช่นงานของอาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์หรืองานจำนวนมากในกลุ่มนี้จึงบอกว่าเขตแดนรัฐไม่ใช่เขตแดนชาติอีกต่อไปแล้ว เขตแดนชาติถูกย้ายไปอยู่ในบัตรประชาชนเพราะจุดที่ใช้แบ่งระหว่างพวกเรากับพวกอื่นไม่ใช่เขตแดน แต่เป็นบัตรประชาชนต่างหาก ต่อให้คุณเป็นคนพม่าเดินเข้ามาในเมืองไทย ถือบัตรคนต่างด้าวคุณก็เป็นคนอื่น แต่ถ้าคุณถือบัตรประชาชนไทย คุณก็เป็นคนไทย ในเซ้นส์นี้เขากำลังมองว่าเขตแดนรัฐไม่ฟังก์ชั่นในการแบ่งพวกเรา พวกอื่นแล้ว มันเป็นบัตรประชาชนต่างหาก
รูปที่ 4. "อัตลักษณ์เอกสาร: วงศาวิทยาการควบคุมประชากรของรัฐไทย"
ทีนี้ ตอนผมไปทำงานกระทรวงต่างประเทศมาปีหนึ่งหลังจากจบปริญญาโท ผมกลับพบว่าเขตแดนรัฐมันไม่ได้ถูกทิ้ง แต่มันแยกกัน เขตแดนชาติอาจจะเปลี่ยนไปเป็นบัตรนั่นบัตรนี่ แต่เขตแดนรัฐที่เป็นเขตแดนจริงๆ ที่ทหารยังถือปืนไปอยู่ตามชายแดน มันยังดำรงอยู่ ดังนั้น ในแง่หนึ่งเขตแดนรัฐยังอยู่ที่เดิมแต่เปลี่ยนฟังก์ชั่น มันอาจสูญเสียฟังก์ชั่นในการสร้างพวกเรากับพวกอื่น แต่มันยังเป็นจุดกำหนดนโยบาย กำหนดอำนาจอธิปไตย เป็นขอบเขตการใช้อำนาจทางกฎหมาย อันนี้เป็นจุดที่ถูกละเลยไปซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก เรื่องนี้ยังเป็นความตึงเครียดอยู่ว่าจะตกลงกันยังไง เพราะมันเป็นที่ของการบังคับใช้อำนาจอธิปไตยว่ากองทหารไทยจะวางได้ไกลสุดขนาดไหนหรือผลประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเล เขตน้ำมันเป็นของใคร
ในแง่หนึ่งผมเลยแยกมันออกมา สิ่งที่อาจารย์จำนวนหนึ่งพูดว่าเขตแดนเปลี่ยนไป มันถูกต้อง แต่มันเป็นเรื่องของเขตแดนชาติเสียมากกว่า แต่เขตแดนรัฐยังอยู่ เป็นจุดแบ่งทรัพยากรอยู่ ไม่ได้หายไป แต่มันถูก overcome ไปเลย ถูกทิ้งไปเลย
ในบทความของคุณยังบอกด้วยว่างานกลุ่มที่ 2 มักแสดงออกว่าเจ้าอาณานิคมไม่มีความเข้าใจเรื่องเขตแดนรัฐจารีต แต่คุณบอกว่า ‘ไม่ใช่’ พวกเขารู้เรื่องนี้ดีเช่นเดียวกับสยาม แล้วใช้ความเข้าใจนี้แสวงหาประโยชน์จากความคลุมเครือที่ว่า อยากถามตรงนี้ว่าเขารู้ได้อย่างไร
เวลาพูดถึงสมัยใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะพูดถึงศตวรรษที่ 19 คือยุคล่าอาณานิคม แต่ถามว่าชาวตะวันตกเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาแบบชัดเจนคือศตวรรษที่ 16 ดัชต์เข้ามายึด ใครดูหนังพระนารายณ์ก็จะเห็นฝรั่งเต็มไปหมด ลาลูร์แบร์เข้ามาตั้งแต่บุพเพสันนิวาส มีบันทึกเกี่ยวกับตะวันออกไกลเป็นร้อยเล่ม แล้วมีกลุ่มคนที่ฝังตัวอยู่ตั้งแต่ยุคพระนารายณ์คือพวกมิชชันนารี แล้วส่งรีพอร์ตกลับไปวาติกันตลอดเวลา
ที่เห็นชัดเจนมาก็คือคนที่ยุให้ฝรั่งเศสยึดครองกัมพูชาคือบาทหลวงมิทช์ที่อยู่กัมพูชา มีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ถูกใช้เยอะมาก แต่ตีความกันไปคนละทิศคนละทาง เจ้าพระคุณมิทช์ที่กัมพูชาบอกว่าปกติแล้วกัมพูชาเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าคือขึ้นกับสยามและเวียดนามพอๆ กัน บัดนี้ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเวียดนามแล้ว ฝรั่งเศสก็ควรอ้างสิทธิ์ของเวียดนามต่อกัมพูชาบ้าง การที่บอกว่าเขาไม่เข้าใจเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน จริงๆ เขาอยู่กันมาเป็นร้อยปีแล้ว แถมฝังตัวอยู่ในราชสำนักเต็มไปหมด ดังนั้น เขาเข้าใจแบบที่เจ้าพื้นเมืองเข้าใจ
อันนี้ถูกอ้างในงานกลุ่มที่ 1 ประมาณว่านี่ไง ฝรั่งเศสยอมรับเองว่าเวียดนามไม่มีอิทธิพลเหนือกัมพูชา แต่ถ้าเรามองว่าเขาเข้าใจเขตแดน ก็จะตีความได้อีกแบบ มันจะกลายเป็นว่า เขาเข้าใจดีเลยว่ามันเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้า เมื่อฝรั่งเศสยึดเวียดนาม ฝรั่งเศสก็ควรได้สิทธิเช่นเดียวกับเวียดนามก็คือแชร์อำนาจเหนือกัมพูชากับสยาม
แต่ทั้งงานกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 จะตีความในเซ้นส์แบบฝรั่งงงๆ ขับเรือเข้ามา พองานกลุ่มที่ 2 ไม่สามารถแก้ประเด็นนี้ได้เลยบอกว่าฝรั่งเข้าใจผิด หมายถึงเขาไม่สามารถตอบได้ว่าทำไมบันทึกพวกนั้นจึงเขียนอย่างนั้น เลยตั้งสมมติฐานว่าน่าจะเป็นการเข้าใจทางภูมิศาสตร์ที่ผิดหรือฝรั่งไม่เข้าใจเรื่องประเทศราชเมืองสองฝ่ายฟ้า
ตรงนี้เป็นจุดที่อังกฤษและฝรั่งเศสใช้แสวงหาประโยชน์
เช่นกรณีอังกฤษที่ติดต่อกับสยามแรกๆ ตั้งแต่ยุคเบอร์นีหรือก่อนหน้านั้น อังกฤษเข้าใจดีเลยว่าดินแดนพวกนี้ไม่ใช่ของสยามแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเมืองทั้งหลายสามารถย้ายข้างได้ตลอดเวลา ไม่ชัดเจนว่าเป็นของใคร สมมติอังกฤษต้องการเช่าดินแดน อังกฤษจ่ายค่าเช่าให้สุลต่าน แต่กลายเป็นว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชบอกว่าคุณจ่ายผิด คุณต้องมาจ่ายให้ฉันแทน หรือกรุงเทพบอกไม่ได้ ต้องจ่ายให้กรุงเทพ อังกฤษรู้สึกว่ามันวุ่นวาย จัดการไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเขาต้องดีลกับใครกันแน่ สิ่งที่อังกฤษทำหรือฝรั่งเศสเข้ามาทำกับกัมพูชาต่อไปคือไม่สนแล้ว ปัจจุบัน อดีต มันจะเป็นอะไร แต่ต่อไปนี้ฉันมาขีดให้มันชัด เพื่อฉันจะได้รู้ว่าฉันต้องดีลกับใครกันแน่
รูปที่ 5. บงการอธิปไตย: การแทรกแซงจากจักรวรรดินิยมตะวันตกกับการก่อรูปของรัฐสยาม
ของ จา เอียน ชง
แล้วหลังจากนั้นจะยึดหรือไม่ยึดเป็นของตัวเองค่อยว่ากันอีกที?
ค่อยว่ากัน เขาจะแบ่งของเขาเองว่าต่อไปนี้สยามห้ามเลยเขตนี้ ห้ามส่งกองทัพ ห้ามส่งคนมาเรียกเก็บตังค์ ห้ามส่งเจ้าหน้าที่มาเรียกเก็บภาษีจากประชาชน นี่คือสิ่งที่อังกฤษกับฝรั่งเศสทำในยุคแรกก็เลยเรียกว่าการแบ่งดินแดน แบ่งกันก่อนและภายใต้ดินแดนที่ถูกแบ่งแล้วจะถูกปกครองในระบบอะไร คุณไปจัดการกันเอาเอง เช่นอังกฤษแบ่งมลายูเป็นของตัวเอง ช่วงแรกก็ปกครองแบบไม่มี state settlement ส่งแค่ข้าหลวง ตอนหลังก็เปลี่ยนการปกครอง หรือกรณีกลันตัน ตรังกานู แบ่งให้สยามตั้งแต่ต้น แต่สยามก็ยังคงไว้เป็นประเทศราช ไม่ได้รวมดินแดน แต่ระหว่างอังกฤษกับสยามแบ่งกันเรียบร้อยแล้ว ภายในจะไปจัดการกันยังไงเขาไม่แคร์ นี่คือเหตุผลหลักที่อังกฤษและฝรั่งเศสทำที่กัมพูชาตอนแรกที่คนไทยเรียกว่าเสียเขมรส่วนนอก ฝรั่งเศสบอกว่าตอนแรกจะเอาไว้เอง แล้วฝรั่งเศสบ่นว่าไม่คุ้ม สู้แบ่งตอนนี้แล้วค่อยจัดการกันทีหลังดีกว่า
แล้วสยามแสวงหาประโยชน์จากความคลุมเครือของเขตแดน แสวงหาประโยชน์จากความเข้าใจของเจ้าอาณานิคมอย่างไร
สยามแสวงหาผลประโยชน์อย่างชัดเจน ร.5 เข้าใจดีและนี่ก็เป็นหัวใจของงาน ป.เอก ผม พอถึงยุค ร.5 เขตแดนเดียวที่ยังไม่ถูกตกลงก็คือฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตลอดแนว ก่อนหน้านี้ตกลงในยุค ร.4 ไปแล้ว ปรากฏว่า ร.5 รู้ดีว่าฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไม่ใช่ของสยามและไม่ใช่ของสยามแต่เพียงผู้เดียว กระทั่งยอมรับด้วยซ้ำว่าดินแดนส่วนมากเป็นของเวียดนามมากกว่าของสยาม สยามพอจะยอมรับและคิดว่าดินแดนของตัวเองจริงๆ มีแค่หลวงพระบาง เลยหลวงพระบางไปไม่ใช่ของสยาม อันนี้มีหลักฐานชัดเจน ผมต้องขอชื่นชมชนชั้นนำสยามยุคนั้นว่าเขาไม่ได้มั่ว
พอรู้อย่างนี้ เขาทำยังไง ปรากฏว่าตอนที่ฝรั่งเศสดันไปก่อสงครามกับจีนเรียกว่า สงครามตังเกี๋ย 1884-1885 ชนชั้นนำสยามยุคนั้นเลยถือโอกาสส่งกองกำลังบุกเข้าไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงรวบไว้ก่อน แล้วค่อยปล่อยทีหลัง ในเซ้นส์ที่บอกว่าฉันรู้ว่าไม่ใช่ของไทยและฉันก็ไม่ได้คิดจะเก็บไว้คนเดียว แต่ในการเจรจาฉันเอามาก่อนแล้วค่อยคืนให้ฝรั่งเศส มันเวิร์คกว่า ปรากฏว่าฝรั่งเศสจบสงครามกับจีนได้เร็วกว่าที่สยามคิดมาก แล้วฝรั่งเศสกับอังกฤษก็รู้ว่าสยามกำลังโกหกเลยส่งกองทัพมายันกัน หลังจากยันกันเขาก็ตกลงว่าจะไม่รบกัน แล้วส่งกองเซอร์เวย์ออกไปสำรวจตั้งแต่ 1885 จนถึง 1893 วิกฤตปากน้ำ เขาหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์กันประมาณ 8 ปีเพื่อจะเถียงกันว่าดินแดนเป็นของใคร แต่ทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ของตัวเอง
สยามใช้ความคลุมเครือนี้ สยามบอกเหตุผลว่าดินแดนตรงนี้ไม่มีแนวกั้นธรรมชาติ ถ้าไม่หวงไว้ฝรั่งเศสจะมาเอาแม่น้ำโขงซึ่งสยามไม่อยากให้ฝรั่งเศสใช้เขตแดนแม่น้ำโขงเพราะกลัวว่าจะเข้ามาใกล้ฝั่งเรามากเกินไป สยามอยากให้แบ่งตรงกลางประมาณประเทศลาวปัจจุบัน สยามต้องการหลวงพระบาง จำปาศักดิ์ เมืองใหญ่ที่ติดแม่น้ำโขงทั้งหมดจะเป็นของสยาม ดังนั้น ระหว่างที่สยามคุยกับฝรั่งเศสหลังจากนี้คือการโกหกทั้งหมดหรือใช้คำดีๆ คือเทคนิคทางการทูต เพราะสยามรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ แต่พอส่งจดหมายหาฝรั่งเศสสยามบอกว่าเป็นของสยาม ซึ่งอังกฤษมีหลักฐานว่าหลักฐานทั้งหมดที่สยามอ้างว่าเป็นของสยามก็เพิ่งหาเจอปีนั้นแหละ คนในยุคนั้นเขารู้กันหมดว่าโกหก แม้แต่ ร.5 ที่ส่งไปก็รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เป็นเทคนิคทางการทูตเฉยๆ
แต่งานกลุ่มที่ 1 ดันไปใช้หลักฐานที่ ร.5 ส่งให้ฝรั่งเศสบอกว่าเป็นดินแดนสยาม แต่ถ้าดูบริบทถอยออกมาคุณจะรู้ว่าวาระของชนชั้นนำสยามคือตั้งใจโกหกอยู่แล้ว ร.5 เคลมดินแดนไปถึงเดียน เบียน ฟูห์ ถึงแม่น้ำดำ ซึ่งมันเยอะไป เยอะในแบบที่ทุกคนก็รู้ว่ามันไม่จริง แต่ ร.5 ตั้งใจว่าจะปล่อยและบอกว่างั้นตกลงแบ่งครึ่งแล้วกัน จะยอมสละดินแดนให้เธอจะได้ไม่ต้องเข้ามาเยอะจนเกินไป นี่คือแผนทั้งหมด เขาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่ว่างานสมัยก่อนเวลาดูความสัมพันธ์สยามฝรั่งเศส เขาดูเฉพาะหลักฐานทางการทูต มันก็จะมีแต่เรื่องโกหกเพราะสิ่งที่ต้องดูประกอบคือหลักฐานการคุยภายในของสยามด้วยว่าก่อนที่จะส่งออกไปเตี๊ยมอะไรกันไว้
ตรงนี้ยังเป็นช่องว่างใหญ่ที่ทำให้งานกลุ่มที่ 2 ทั้งหมดใช้หลักฐานนี้บอกว่ามันไม่จริง สยามไม่มีเขตแดน แต่ถ้าเรามองว่าเขาเข้าใจเขตแดน นอกจากมันไม่ใช่จริงหรือไม่จริงแล้ว เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องการโกหกและเทคนิคทางการทูตเฉยๆ คุณจะเห็นว่างานกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 2 มันล้อกัน กลุ่มที่ 1 เคลมว่าจริง กลุ่มที่ 2 บอกว่ามันไม่เมคเซ้นส์ แสดงว่ามันไม่จริง แสดงว่ามันไม่มี แต่ผมมองว่ามันเป็นเทคนิคทางการทูต ร.5 จงใจโกหก เรื่องก็จะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย
ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจว่าเจ้าอาณานิคมเข้าใจเขตแดนรัฐจารีต แต่กลายเป็นว่าเขตแดนรัฐจารีตถูกเอาออกไปจากการศึกษา ประหนึ่งว่าไม่มีอยู่ตั้งแต่ต้นและศึกษาไม่ได้ แต่เจ้าอาณานิคมเขาเข้าใจครับ
รูปที่ 6. อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์: การก่อรูปรัฐไทยสมัยใหม่จากศักดินานิยมสู่ทุนนิยมรอบนอก ของ ไชยันต์ รัชชกูล
คุณเขียนในหนังสือด้วยว่าการเสียประเทศราชเป็นปัญหาทางจิตวิทยามากกว่าข้อเท็จจริง
ใช่ ปัญหาคือเวลาที่เราพูดถึงคำว่า เสีย ทั้งในงานกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 อยู่บนฐานเดียวกันคือจะเสียได้ต้องเป็นเจ้าของก่อน ดังนั้น งานกลุ่มที่ 2 ใช้เกณฑ์อะไรในการบอกว่าเราเป็นเจ้าของ งานกลุ่มที่ 2 ใช้เกณฑ์อำนาจอธิปไตย ทำไมต้องใช้เกณฑ์นั้นตั้งแต่ต้นเพราะเกณฑ์อธิปไตยเป็นเกณฑ์ที่สมัยใหม่มาก
ยกตัวอย่างเช่นสยามส่งกองทัพไปตีเวียงจันท์ในยุค ร.3 เผาจนราบเป็นหน้ากลองเลย เราถือได้ยังไงว่าเวียงจันท์เป็นของสยามหรือเราก็ยังถือไม่ได้ขนาดตีจนยับขนาดนั้นแล้ว หรือคุณบอกว่าที่เราเสียไปคือดินแดนประเทศราชไม่ใช่ดินแดนของสยามโดยแท้ คุณก็ต้องบอกได้อยู่ดีว่าเส้นแบ่งตรงไหนเป็นจุดแบ่งระหว่างสยามแท้กับประเทศราช พูดแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีเขตแดนอยู่ไม่อย่างนั้นพูดแบบนี้ไม่ได้
ถ้าการเสียมลายูคือการเสียประเทศราช แล้วตรงไหนคือจุดที่เริ่มความเป็นมลายู ตรงไหนคือจุดสิ้นสุดของความเป็นสยาม มันเป็น paradox ที่เขาสร้างขึ้นเอง โดยเฉพาะการบอกว่าการเสียดินแดนประเทศราชจะมีคำถามตามมาเยอะแยะคือแล้วทำไมถึงเป็นประเทศราชได้ตั้งแต่ต้น ข้อที่ 2 แล้วทุกเมืองในประเทศไทยเคยเป็นประเทศราชมาก่อนเหรอ แล้วเมืองชั้นเอก ชั้นโท ไม่นับเหรอ ข้อที่ 3 ประเทศราชใช่เมืองสองฝ่ายฟ้าทุกเมืองจริงเหรอ มันมีคำถามตามมาหมดซึ่งทำให้ต้องกลับไปดูเขตแดนสมัยจารีตว่าระบบจารีตจริงๆ จัดการกันยังไง
ซึ่งคุณตอบไปในหนังสือว่ามันใช้เมืองเป็นตัวกำหนดเขต โดยที่เจ้าอภิราชไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขตแดนของตนอยู่ตรงไหน แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้นๆ
ใช่ เป็นหน้าที่ตรงนั้น ลองนึกถึงว่าไม่มีโลกสมัยใหม่ เราไม่มีดาวเทียม เราเป็นคิงที่นั่งอยู่กลางกรุงเทพฯ และแทบไม่เคยออกจากวัง คุณจะคาดหวังให้คิงอย่างนั้นรู้เขตแดนได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้และไม่มีความจำเป็นด้วย สิ่งที่เขารู้ก็แค่เมืองไหนส่งบรรณาการมาบ้าง ดังนั้น งานกลุ่มที่ 2 เซ็ตขึ้นมาว่าการที่ชนชั้นนำสยามไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ตรงไหนจึงไม่มีเขตแดนจึงเป็นเรื่องที่ไม่เมคเซ้นส์ เผลอๆ คิงในยุโรปก็ไม่เคยรู้หรอกว่าเขตแดนตัวเองอยู่ตรงไหน มันไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่อย่างนั้นเราจะมีนายด่านไว้ทำไม
ถ้าการเสียดินแดนเป็นเรื่องทางจิตวิทยาไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วการได้ดินแดนก็เป็นเรื่องทางจิตวิทยาด้วย
ก็ได้ในทางจิตวิทยาเหมือนกันเพราะประเด็นอยู่ที่ว่าพอคุณกระโดดเข้ามาในจุดของการได้และเสีย มันกลายเป็นว่าคุณต้องนิยามเกณฑ์ขึ้นมาหนึ่งเกณฑ์ในการกำหนดว่ามันเคยเป็นหรือไม่เคยเป็นของฉันมาก่อน ถ้าไม่เคยเป็นของฉันมาก่อนก็คือได้ ถ้าเคยเป็นของฉันมาก่อนก็คือเสีย ซึ่งเกณฑ์นี้เวลาเถียงกันในทางวิชาการไม่มีใครเซ็ตเกณฑ์ขึ้นมาชัดเจนเลยว่าคุณใช้เกณฑ์อะไรในการบอกว่าเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ อย่างเกณฑ์อำนาจอธิปไตยก็เป็นเกณฑ์ที่พัฒนาขึ้นในยุโรปล้วนๆ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณใช้เกณฑ์นี้ ทั่วโลกนอกยุโรปก็จะไม่มีการได้เสียดินแดนเลยแม้แต่ที่เดียว และคุณจะทำให้สงครามในอดีตทั้งหมดไม่มีตัวตนเพราะมันไม่คอนเซ็ปต์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้น
ถามว่ามีทางไหนจะทำให้สยามเป็นเจ้าของเมืองเมืองนั้น
อำนาจในการจะสั่งให้เจ้าเมืองทำตามที่สั่ง...
ซึ่งสยามก็สั่งล้านนาให้ทำได้ ถ้าไม่ทำก็เรียกว่าแข็งเมือง ก็ส่งกองทัพไปตี มันจึงเป็นเรื่องทางจิตวิทยาทั้งได้ทั้งเสียว่าคุณจะใช้เกณฑ์อะไรในการขีด
แต่ถ้าจะลงไปถึงการได้และเสียในเชิงจิตวิทยา อันนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งในธีสิสคือว่าถ้ากระโดดมาเรื่องชาติปุ๊บ คุณจะบอกว่ามลายูหรือลาวไม่ใช่ชาติไทย ดังนั้น เราไปได้ดินแดนเขามา อันนี้เป็นอีก narrative หนึ่งคือคุณไปเอาดินแดนของคนอื่นมา ซึ่งคนอื่นก็คือลาว คือมลายู ปัญหาคืองานตรงนี้บอกว่าชาติไทยยังไม่ถูกสร้างขึ้น แต่ชาติไทยไปยึดดินแดนลาวแล้วเปลี่ยนให้คนลาวเป็นคนไทย
คำถามคือแล้วทำไมชาติลาวถึงจริงกว่าชาติไทย มันมีชาติลาวจริงๆ มั้ย หรือกระทั่งเราบอกว่าสยามไปยึดดินแดนลาว คำถามคือแล้วลาวคือตรงไหน ลาวล้านนา ลาวหลวงพระบาง ลาวอีสาน เป็นลาวเดียวกันหรือเปล่า เป็นหน่วยเดียวกันหรือเปล่า มันมีปัญหาทั้งหมดเลย หรือกระทั่งเซ้นส์ของล้านนานเองมันมีขนาดประมาณไหน เจ้าเมืองน่านไม่ได้ยอมขึ้นกับล้านนา จนถึงหลวงพระบางก็ไม่ใช่แล้ว มันเลยกลายเป็นจิตวิทยาทั้งหมดไม่ว่าจะได้หรือเสียที่คนจะไปดีลมันขึ้นมา
รูปที่ 7. Seeing like a stateฯ ของ James C. Scott
ในบทความคุณอ้างหลักฐานว่า ร.4 ใช้การถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเป็นการระบุว่าเมืองนั้นๆ เป็นเมืองของสยาม ถ้าอย่างนั้นการเสียจำปาศักดิ์ซึ่งเป็นเมืองที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาจะถือเป็นการเสียดินแดนได้หรือเปล่า
ถ้าสมมติเราจะใช้เกณฑ์อย่างที่เรา settle กัน สมมติเราใช้เกณฑ์ ร.4 ซึ่งระบุชัดเจนว่าถ้าเป็นเมืองของฉันแท้ๆ ให้ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ถ้าเป็นประเทศราชให้ส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง พอลงรายละเอียดขนาดนี้กลายเป็นว่าต้องดูเป็นรายเมืองว่าเมืองไหนดีลกับสยามแบบไหน ในความเห็นผม ผมถือว่าจำปาศักดิ์เสียได้เพราะต่อมาฟรานซิส การ์นิแยร์ ตอนสำรวจแม่น้ำโขงยังระบุเลยว่าจำปาศักดิ์เป็นของสยามมากกว่า ฝรั่งเศสก็ยอมรับเองแล้วทำให้เห็นว่าการตกลงดินแดน ร.ศ.112 เป็นการตกลงดินแดนโซนหลวงพระบางทั้งหมด จริงๆ ไม่รวมลาวตอนล่าง เพราะลาวตอนล่างเขารับกันไปแล้วว่าเป็นของสยาม เพียงแต่ว่าพอเกิดวิกฤตปากน้ำ ร.ศ.112 เขาก็เลยยื่นคำขาดโดยไม่แคร์ประวัติศาสตร์อีกต่อไป แต่ก่อนหน้านี้เขาแคร์อยู่
แต่จะมีอีกประเด็นที่เพิ่มเข้ามาคือ แม้ว่าฝรั่งเศสจะยอมรับว่าดินแดนพระตะบอง เสียมราช จำปาศักดิ์ เป็นของสยาม แต่ฝรั่งเศสบอกว่าแม้จะเป็นของสยามในทางปฏิบัติคือสยามครอบครองจริง แต่สยามไม่มีความชอบธรรมในการยึดครอง เพราะฝรั่งเศสมองว่าสยามปกครองไม่ดีและทำให้เมืองพวกนี้แย่ลง มันจึงมีอีกเซ้นส์หนึ่งคือมีความชอบธรรมมั้ยที่จะครองดินแดนนี้
รูปที่ 8. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
หมายความว่าถ้าเราดูเป็นรายเมืองแล้วใช้เกณฑ์ของ ร.4 ก็อาจจะบอกได้ว่าดินแดนใดที่เราเสีย
ใช่ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ต่อไปที่ผมว่าจะลองทำเพราะที่อยู่ในหนังสือเป็นบทเชิงทฤษฎี เขียนในเชิงทั่วไป อยากลองดูเหมือนกันว่าถ้าไล่ดูทีละเมืองจะแบ่งได้ประมาณไหน เพราะ ร.4 ก็ยังพูดเป็นเมือง คิดแค่ว่าจำปาศักดิ์เป็นของฉัน แต่จำปาศักดิ์มีอาณาบริเวณประมาณไหนอาจต้องไปถามเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งบางที่ก็รู้ บางที่ก็ไม่รู้ ความซับซ้อนของเรื่องนี้ เช่น พระตะบอง เสียมราช ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แต่พอไปอุดมมีชัยหรือพนมเปญส่งบรรณาการ รายละเอียดของการปกครองมันลงละเอียดขนาดนั้น แต่ที่ผ่านมาพอเราคิดว่าระบบเขตแดนสมัยก่อนไม่มีจริง เราก็เลยข้ามไปเลย ไม่มีใครศึกษาเรื่องนี้
งานกลุ่มที่ 1 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ของรัฐอย่างที่รู้กันดี งานกลุ่มที่ 2 ก็ถูกใช้โต้ตอบกับงานกลุ่มที่ 1 เพื่อทำให้ความคลั่งชาติเบาลง แล้วงานของชิ้นนี้จะทำหน้าที่อะไรในเชิงอุดมการณ์
โดยวาระคือทำให้คนกลับมาสงสัยและเขียนประวัติศาสตร์อีกแบบหนึ่ง เพราะงานกลุ่มที่ 2 ตั้งคำถามต่องานกลุ่มที่ 1 และชี้ว่างานกลุ่มที่ 1 ผิดตรงไหนบ้าง แต่งานกลุ่มที่ 2 ไม่เคยเสนอว่าประวัติศาสตร์ที่ควรจะเป็นคือยังไง งานกลุ่มที่ 2 มักเป็นงานฝ่ายวิพากษ์ว่าเขตแดนเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะอย่างนี้ๆ ประวัติศาสตร์ยุคงานกลุ่มที่ 1 ผิดเพราะอย่างนี้ ไม่ตรงความเป็นจริง เรื่องดินแดนผิด
แต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องอย่างที่เขาวิจารณ์ควรจะเป็นยังไง มันไม่มี เพราะเขาอิงอยู่กับการวิพากษ์เฉยๆ ถ้าจะมูฟออนจากสิ่งนี้สำหรับผม ไอเดียคือเอาข้อวิจารณ์ของงานกลุ่มที่ 2 กลับไปเขียนประวัติศาสตร์ใหม่อีกรอบว่าแล้วที่ควรจะเป็นคืออะไร ผมเคยยกตัวอย่างว่าถ้างานกลุ่มที่ 2 เสมือนค้อนที่ไปทุบพระประธานซึ่งเป็นงานประวัติศาสตร์ชาติไทย งานกลุ่มที่ 2 ทุบแหลกเป็นผงแล้ว ประเด็นคือตอนนี้คนไปบูชาค้อนแทน แล้วพระประธานองค์ใหม่ก็ยังไม่ถูกใครทำขึ้นมาใหม่ นี่คือข้อเรียกร้องและอุดมการณ์จริงๆ ที่พยายามจะทำ กลับไปดูกันใหม่ว่าแล้วจริงๆ มันเป็นอะไร
รูปที่ 9. วิหารที่ว่างเปล่าฯ โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
แต่เวลาพูดว่า ‘จริงๆ’ มันเป็นอะไร หรือมัน ‘ควร’ จะเป็นอะไร มันก็เถียงกันได้ไม่จบ จริงของเรากับจริงของเขาก็ไม่เหมือนกัน
ใช่ๆๆ แต่การทำงานประวัติศาสตร์มันมี 2 อย่าง อันหนึ่งคือความจริงที่เรียกว่า truth มันจะเป็นคุณค่าที่เราใส่เข้าไป เช่น ได้ดินแดนหรือเสียดินแดน ชนะหรือแพ้ แต่สิ่งที่เรายังกลับไปดูได้คือ fact ว่ามันเกิดอะไรขึ้น fact มันไม่ใช่ปัญหาว่ามุมมองใครแล้ว มันเป็นเรื่องว่า ร.5 ต้องการใช้เทคนิคคุยกับฝรั่งเศส ผมไม่ได้กำลังเคลมความเป็นจริง ผมกำลังบอกว่ามันคือ fact ที่มันกำลังเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ fact ถูกทำให้หายไปด้วย ถ้าเราอ่านงานกลุ่มที่ 2 เขาจะทำประหนึ่งว่าวิกฤต ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสเอาเรือรบเข้ามาไม่มีจริง มันสุดไปในเซ้นส์ที่แบบว่าถ้าสยามไม่เคยเสียดินแดนเลย คำถามคือแล้วฝรั่งเศสเอาเรือรบมาขู่อะไรล่ะ มันทำให้ในทางประวัติศาสตร์มันไม่สมเหตุสมผลเต็มไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อวิจารณ์ของงานกลุ่มที่ 2 ทั้งหมดไม่เมคเซ้นส์เมื่อดูประวัติศาสตร์จากประเทศอื่นเลย เช่น เราบอกว่าสยามไม่เคยเสียดินแดนเลย สยามได้ดินแดนมาต่างหาก อันนี้แอนตี้ชาตินิยมไทย แต่สตอรี่นี้คือชาตินิยมลาว คุณไปดูแบบเรียนลาว พูดแบบนี้เป๊ะเลย ในทางกลับกันมีคนเอาเฟรมเวิร์คของ SIAM MAPPED ไปทำประวัติศาสตร์ลาวคือ โซเร็น อิวาร์สสัน (Søren Ivarsson) เขาก็บอกว่าลาวไม่เคยเสียดินแดน เผลอๆ ลาวอาจจะได้ดินแดนมาด้วยซ้ำ แล้วมันกลายเป็น paradox ที่เขาสร้างขึ้นมาเองจากการใช้ approach นี้ กลายเป็นว่าดูประวัติศาสตร์แต่ละประเทศแล้วไม่ตรงกันเลย ขัดแย้งกันไปหมด แล้วแอนตี้ชาตินิยมหนึ่งกลายเป็นส่งเสริมชาตินิยมหนึ่ง มันสร้าง paradox ยี่สิบกว่าปีแล้ว ผมรู้สึกว่ามันมีปัญหา ถ้าจะเดินทางนี้ต่อไปจะไปต่อไม่ได้
ทำไมเราจึงต้องศึกษาเรื่องเขตแดนที่คนเมื่อร้อยกว่าปีตีเส้นไว้ค่อนข้างเรียบร้อยแล้ว ความเข้าใจเรื่องนี้จะมีผลอย่างไรต่อความเข้าใจปัจจุบัน ทำไมเราจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ใหม่
มี 2 ส่วน ส่วนแรกในเชิง practical ทุกวันนี้แม้แต่ในกระทรวงต่างประเทศเอง เราดูสนธิสัญญาเขตแดนเป็น object ที่ตายแล้ว คือดูแค่ว่าเขียนภาษาอะไร สิ่งหนึ่งที่ผมทำคือการไป reconstruction อดีต คือดูตั้งแต่ช่วงเจรจาก่อนจะออกมาเป็นเอกสารที่ตาย มันมีผลประโยชน์อะไร แต่ละฝ่ายมีเหตุผล มีวาระทางการเมืองอะไร ดังนั้น การรื้อฟื้นขึ้นมาในทางหนึ่งจะได้ทำให้เราตีความสนธิสัญญาและตกลงแก้ไขปัญหาเขตแดนที่ยังค้างคาอยู่ได้ดีขึ้น ว่าจริงๆ แล้วคนที่เขียนสนธิสัญญาเมื่อร้อยกว่าปีก่อนคิดอะไรอยู่
วาระที่ 2 คือเรื่องเขตแดนไม่เคยเป็นเรื่องเขตแดน มันถูกโยงกับสถานะของกษัตริย์ในสังคมไทย สรุปว่ากษัตริย์รักษาเอกราชได้จริงมั้ย เป็นวาระหลักในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกโยงกับการได้ดินแดนหรือเสียดินแดน ถูกโยงกับประวัติศาสตร์ชาตินิยม เช่น ถ้ารัฐบาลไปตกลงเขตแดนปุ๊บจะมีใครบอกมั้ยว่าการตกลงนี่เป็นการขายชาติ เรื่องเขตแดนมันผูกโยงกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน
เราเห็นอยู่แล้วว่าอิทธิพลจำนวนมากของการเคลื่อนไหวต้นกำเนิดจริงๆ สำหรับผมคือ SIAM MAPPED นั่นแหละ ก่อนที่มันจะแตกไลน์ออกเป็นงานชิ้นต่างๆ เฟรมเวิร์คที่วางเอาไว้แล้วทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเด็ก SIAM MAPPED เป็นการ upside down ความเชื่อต่อประวัติศาสตร์ไทยจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องเขตแดนในเซ้นส์หนึ่งไม่ใช่เรื่องเขตแดนเองเลย สิ่งที่ผมกำลังทำคือกลับไปทำให้กษัตริย์กลายเป็นคนที่มีการวางแผนถูกและผิดได้ คือกลับไปดูว่าแล้วจริงๆ คุณจะทะลุอุดมการณ์ทางการเมืองที่มันถูกใช้ทั้งสองฝ่ายยังไง โดยกลับไปพยายามดูในแง่ของ fact
คุณกลับไปบูชา ร.5 ได้ แต่อย่างน้อยคุณก็กลับไปบูชา ร.5 ในเซ้นส์ที่ว่าเขตแดนอย่างน้อยฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ร.5 ใช้แทคติก (tactical) เต็มไปหมด คือทำให้ ร.5 กลับไปเป็นคนเก่งที่วางแผนเจ้าเล่ห์หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่สมมติเทพที่เปล่งออร่าแห่งความดีออกมา ต้องกลับไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่ากษัตริย์รักษาเอกราชได้มั้ย ต่อให้คุณบอกว่ารักษาได้ รักษาได้เพราะอะไร แทคติกที่ใช้คืออะไร
ข้อเสียที่ผ่านมาคือเราดูถูกชนชั้นนำมากเกินไป ชนชั้นตั้งแต่ ร.5 ร.6 ถ้าไปดูงานเขียน ร.6 จริงๆ เขาติดตามข่าวต่างประเทศ เขาถูกบังคับให้เทรนบางอย่างที่จริงจังกับการปกครอง ดังนั้น ไม่ใช่คนโง่ การทรีตว่าชนชั้นนำเป็นคนโง่สำหรับผมมีปัญหามาก คุณ look down เขาเกินไป ทำให้คุณประมาทเอง พอผมทำงานกระทรวงต่างประเทศผมเห็นข้างหลังว่าทำไมเราไม่เอาเขาพระวิหารเพราะว่าถ้าเราสู้เขาพระวิหารชนะเราจะเสียบ้านร่มเกล้าแทน บางทีเขารู้ทั้งหมด เขาแค่พูดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น เขาไม่โง่หรอก แต่เขามีเรื่องไม่ดีที่ทำกับเพื่อนบ้านทำให้ไม่สามารถชี้แจงต่อประชาชนตัวเองได้
ระบบเขตแดนสมัยใหม่ที่เข้ามาแทนระบบเขตแดนจารีต มันยังสร้างความปั่นป่วน ความขัดแย้งให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้จวบจนทุกวันนี้
ประเทศไทยเสียงบประมาณปี 150 ล้านในการแก้ปัญหาเขตแดนทุกปี เช่นเขาพระวิหารทุกวันนี้ยังไม่ settle นอกจากเขาพระวิหารยังมีปราสาทตาควาย เขตแดนแม่น้ำโขงยังไม่เคยถูกตกลงเลย ทุกวันนี้แม่น้ำโขงก็ยังไม่เคยมีเขตแดนตกลง ด่านพระเจดีย์สามองค์ก็ไม่เคยมีการตกลง ในทางระหว่างประเทศมีปัญหาว่าอำนาจอธิปไตยไทยสุดตรงไหน ถ้าเป็นประชาชนไปไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใส่ชุดเป็นทางการมีปัญหาว่าจะเข้าไปถึงตรงไหนได้ เช่น ถ้าผมเป็นคนไทย ข้ามแม่น้ำโขง ข้ามได้ แต่ถ้าไปในนามกระทรวงหรือทหารไป ไม่ได้ เขาไม่ให้ข้าม เดี๋ยวมีปัญหาเรื่องอธิปไตยกัน
แล้วสิ่งนี้ส่งผลปัญหาเยอะมากต่อการค้ายาเสพติด เพราะพอไม่รู้ว่าอำนาจอธิปไตยฝั่งไหนเป็นของใครเลยตามจับกันไม่ได้ เวลาไล่กันปุ๊บ กระโดดลงแม่น้ำ มีปัญหาไม่รู้จะจับใคร กลัวกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าจับปุ๊บจะกลายเป็นการเคลมว่าตรงนั้นเป็นอำนาจอธิปไตยของตัวเอง แหล่งพวกนี้จึงเป็นแหล่งค้ายาหรือทำผิดกฎหมายที่สำคัญ
ปัญหาเขตแดนทั้งหมดส่วนมากปัญหาเทคนิคเชิงกฎหมายซึ่งจบไปแล้ว ปัญหาที่ค้างอยู่คือปัญหาความเชื่อทางประวัติศาสตร์ เช่น เขตแดนแม่น้ำโขงทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายลาวไม่ยอมเจรจาเขตแดน ไม่ใช่ตกลงกันไม่ได้ แต่ไม่ยอมคุยกันสักที เพราะทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าตนเองเสียดินแดนไปเยอะแล้วสมัยศตวรรษที่ 19 และไม่ยอมเสียอีก ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงมีท่าทีในการเจรจาว่าฉันจะไม่ยอมลดเขตแดนในปัจจุบันอีกแม้แต่นิดเดียว ส่วนฝ่ายลาวก็เชื่อว่าแม่น้ำโขงทั้งเส้นต้องเป็นของฉันเพราะฉันเสียอีสานไปทั้งก้อนแล้ว
ถ้าเรื่องจริงบอกว่าฉันยอมเสียห้าสิบห้าสิบหรือไทยยอมเสียเจ็ดสิบ ลาวได้สามสิบก็จบไปแล้ว แต่ที่ยังไม่จบเพราะไม่มีใครกล้าไปเซ็น สมมติตกลงกันได้จริงรัฐมนตรีคนไหนจะกล้าเซ็น เซ็นปุ๊บอาจจะโดนประท้วงเผาบ้าน มันเลยติดเป็นปัญหา เรื่องนี้ปลุกระดมง่ายมาก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |