“เวลาจะพิสูจน์คุณค่าของงานเขียนทางปรัชญาเสมอ”
เป็นที่น่าสังเกตว่างานเขียนของเคียร์เคอการ์ดไม่เคยได้รับความสนใจในยุคสมัยของเขา งานเขียนของเคียร์เคอการ์ดเกิดขึ้นในบริบทของปรัชญาสมัยใหม่ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรอเน่ เดส์การ์ตส์ ล้มล้างวิธีคิดทางปรัชญาที่เคยเป็นมาผ่านวางรากฐานวิธีคิดทั้งหมดที่ตัวฉันซึ่งเป็นผู้คิด เดวิด ฮิวม์ โต้แย้งว่าความรู้ทั้งหมดเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เรามีต่อโลก อิมมานูเอล คานท์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำถามเรื่องความรู้ซึ่งเกี่ยวโยงกับโลก และคำถามทางจริยศาสตร์ที่เป็นเรื่องของสิ่งที่เราควรปฏิบัติต่อผู้อื่น นักปรัชญาทั้งสามชี้ให้เห็นศักยภาพของมนุษย์ที่เราไม่ได้ตกอยู่ใต้ความเชื่อทางศาสนา แต่มนุษย์สามารถที่จะคิดใคร่ครวญและมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ โดยอาศัยเหตุผลและประสบการณ์ของตัวเราเอง
งานเขียนของเคียร์เคอการ์ดกลับอยู่ในขนบความคิดที่แตกต่างออกไป เราอาจจัดประเภทของเคียร์เคอการ์ดเป็นนักปรัชญาในกลุ่มเดียวกับคนอย่างมาร์กซ์หรือนิทซ์เช่ ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านปรัชญากระแสหลักของคานท์และเฮเกล แม้การคิดในกรอบของเหตุผลจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์พัฒนาไปสู่ความก้าวหน้า แต่ในขณะเดียวกัน เคียร์เคอการ์ดชี้ให้เห็นคำถามสำคัญเกี่ยวกับตัวตน การเลือก และเสรีภาพของปัจเจก ในมุมมองของเคียร์เคอการ์ด มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศรัทธาและมีเจตจำนงเป็นของตัวเองด้วย
งานเขียนเรื่อง “เคียร์เคอการ์ด ฉบับกระชับ” โดยแพทริก การ์ดิเนอร์ แปลโดยพุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช และภาคิน นิมมานนรวงศ์ เป็นหมุดหมายที่สำคัญต่อการศึกษาแนวคิดของเคียร์เคอการ์ด การ์ดิเนอร์จัดแบ่งงานเขียนในช่วงเวลาต่างๆ ของเคียร์เคอการ์ดไว้อย่างเป็นระบบ เริ่มต้นจากการอธิบายภูมิหลังทางปรัชญาของคานท์และเฮเกล ซึ่งแม้เคียร์เคอการ์ดจะไม่เห็นด้วย แต่ปรัชญาของคานท์และเฮเกลต่างก็เป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเข้าใจจุดยืนของเคียร์เคอการ์ด
การ์ดิเนอร์ชี้ให้เห็นว่าปรัชญาของคานท์เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จของวิทยาศาสตร์ในการสำรวจโลกธรรมชาติ (หน้า 36) นักปรัชญาอย่างคานท์จึงพยายามมองหาว่ามีโจทย์คำถามอะไรหลงเหลือสำหรับนักปรัชญาบ้าง คานท์ได้เสนอคำถามทางปรัชญาที่เชื่อมโยงกันสามประการ คือ อะไรเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ได้ (What can I know?) อะไรเป็นสิ่งที่เราควรประพฤติปฏิบัติ (What ought I to do?) อะไรเป็นสิ่งที่เราจะมีความหวังได้ (What may I hope?)[1]
อิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน
การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์และเหตุผลของคานท์นำไปสู่การวางรากฐานทางจริยศาสตร์ขึ้นใหม่ แม้ในด้านหนึ่ง จริยศาสตร์จะมีสถานะเป็นปรัชญาในเชิงปฏิบัติซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ แต่การกระทำทางศีลธรรมยังจะต้องเกิดขึ้นบนหลักการของเหตุผลด้วย คานท์มองว่าจริยศาสตร์เป็นเรื่องของสิ่งที่เราควรปฏิบัติ ซึ่งเราไม่สามารถอธิบาย “สิ่งที่ควรจะเป็น” โดยอาศัย “สิ่งที่เป็นอยู่” ได้ จริยศาสตร์จึงไม่ได้เป็นเรื่องของการทำตามแรงโน้มภายใน (inclination) แต่จริยศาสตร์เป็นเรื่องของการทำตามกฎ จริยศาสตร์ของคานท์แสดงให้เห็นว่าการกระทำทางศีลธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นจากคำสั่งที่เป็นเงื่อนไข เช่น ถ้าเราช่วยเหลือคนอื่น เราจะได้รับการตอบแทน ถ้าเราเป็นคนดี เราจะได้รับการชื่นชมจากสังคม แต่ศีลธรรมจะเกิดขึ้นได้ต่อก็เมื่อเราปฏิบัติตามคำสั่งเด็ดขาดเท่านั้น (เราไม่ควรโกหก แม้ว่าการโกหกจะนำไปสู่ผลดีกับเราก็ตาม)
แม้จุดยืนทางจริยศาสตร์ของคานท์และเฮเกลจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่การ์ดิเนอร์ชี้ให้ปัญหาสำคัญของคานท์และเฮเกลที่นำมาสู่โจทย์คำถามของเคียร์เคอการ์ด คือทั้งคานท์และเฮเกลต่างสร้างระบบคิดที่จัดระเบียบคุณค่าทางศาสนาให้กลายมาอยู่ภายใต้กรอบของเหตุผล ในกรณีของคานท์ เราได้เห็นแล้วว่าหลักของเหตุผลได้ปฏิเสธคำถามเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ความเชื่อเรื่องพระเจ้ากลายเป็นสิ่งที่มีความหมายได้เฉพาะในมุมมองเชิงปฏิบัติเท่านั้น ในมุมมองของเคียร์เคอการ์ด คำอธิบายของคานท์และเฮเกลต่างเป็นการลดทอนคุณค่าของศาสนา โดยการอธิบายศาสนาผ่านหลักของเหตุผลทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของศาสนาบนพื้นฐานของ “ศรัทธา”
ในกรณีของอับราฮัม เราจะเห็นว่าการตัดสินใจฆ่าลูกตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยง่าย ข้อเรียกร้องของพระเจ้าเป็นทั้งเรื่องที่น่าหวาดผวาและน่าสะพรึง อับราฮัมไม่อาจรู้ได้เลยว่าพระเจ้าวางแผนอะไรไว้ การสังหารอิซักไม่ใช่สิ่งที่อับราฮัมยอมแลกเพื่อให้เขาได้บรรลุเป้าประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า การสังหารอิซักไม่ใช่สิ่งที่อับราฮัมจะสามารถอธิบายให้ใครเข้าใจได้ เคียร์เคอการ์ดชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจเป็นสิ่งที่เผยให้เห็นเจตจำนงของเรา โดยข้อเรียกร้องทางศาสนาเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถตัดสินถูกผิดผ่านหลักการที่มีความเป็นสากลได้ แต่การเลือกในแต่ละครั้งเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเราเอง ในแง่นี้ ศาสนาจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับตัวตนและประสบการณ์ของปัจเจกแต่ละคน
ในด้านหนึ่ง เราจะเห็นว่างานเขียนของเคียร์เคอการ์ดสะท้อนให้เห็นปัญหาของสังคมไทยได้อย่างน่าประหลาด ความเชื่อทางศาสนาในสังคมไทยเป็นสิ่งที่ถอยห่างจากตัวตนของปัจเจกโดยสิ้นเชิง ศาสนากลายเป็นเรื่องของวิถีปฏิบัติที่สืบทอดมาจากอดีต ศาสนากลายเป็นเรื่องของพิธีธรรม ศาสนากลายเป็นคำสอนทางศีลธรรมที่เราต้องปฏิบัติตาม ทั้งที่หากเราย้อนกลับไปมองสภาพสังคมในปัจจุบัน เราจะเห็นปัญหานานับประการที่หลักศีลธรรมแบบศาสนาไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับเราอีกต่อไป เช่น ปัญหาเรื่องความเท่าเทียม ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ ปัญหาความหลากหลายของตัวตนและอัตลักษณ์
ในขณะเดียวกัน ข้อเสนอทางปรัชญาของเคียร์เคอการ์ดก็ทำให้เราย้อนกลับมาทบทวนความหมายของศรัทธาอีกครั้ง โดยศรัทธาในที่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อมั่นอย่างมืดบอด ศรัทธาไม่ใช่ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ผู้คนในสังคมเคารพยอมรับ แต่ศรัทธาเป็นสิ่งที่มีความหมายได้จากการเลือกของเราที่เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ ศรัทธาเป็นการตัดสินใจที่เผยให้เห็นจุดมุ่งหมายของเราแต่ละคน ความศรัทธาไม่ใช่เกราะป้องกันตัวเราจากข้อวิจารณ์ของเหตุผล (เหมือนที่เรามักจะได้ยินว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่) แต่ศรัทธาเป็นสิ่งที่ทำให้เราพร้อมที่จะตัดสินใจและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เหตุผลไม่อาจให้คำตอบอะไรกับเราได้ กล่าวคือ “ความศรัทธากลับเป็นการเรียกร้องการเสี่ยงภัยหรือ ‘การก้าวกระโดด’ แบบสุดโต่ง เป็นการเคลื่อนขยับทางจิตวิญญาณที่เรียกร้องให้เรามีพันธะต่ออะไรบางอย่างที่ไม่แน่นอนอย่างเป็นภววิสัย ทั้งยังขัดแย้งในตัวเองเมื่อวิเคราะห์ไปจนถึงที่สุดด้วย” (หน้า 134)
ใน เคียร์เคอการ์ด ฉบับกระชับ การ์ดิเนอร์ชี้ให้เห็นเส้นทางความคิดของเคียร์เคอการ์ดผ่านการเชื่อมโยงมิติทางสุนทรียศาสตร์ จริยศาสตร์ และศาสนา แม้เคียร์เคอการ์ดจะเป็นนักปรัชญาที่ได้รับความนิยมอยู่บ้างในสังคมไทย แต่ในหลายๆ ครั้ง แนวคิดของเคียร์เคอการ์ดมักถูกอธิบายเป็นเพียงต้นทางของแนวคิดแบบอัตถิภาวนิยม (existentialism) ซึ่งส่งผลให้เรามองไม่เห็นความซับซ้อนและประเด็นถกเถียงของเคียร์เคอการ์ดในรายละเอียด
การอ่านแนวคิดทางปรัชญาของเคียร์เคอการ์ดผ่านงานแปลฉบับนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่องานแปลฉบับนี้ทำให้เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับความศรัทธาและทิศทางของศาสนาในสังคมไทย แม้ว่าในหลายๆ ครั้ง งานแปลทางปรัชญามักจะถูกตั้งคำถามว่า แปลออกมาแล้วจะอ่านรู้เรื่องรึเปล่า แต่จากการเรียบเรียงความคิดและถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน ประกอบกับการเลือกใช้คำอย่างสละสลวยของผู้แปลคือ พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช ภาคิน นิมมานนรวงศ์ และบรรณาธิการโดยมนภัทร จงดีไพศาล งานแปลชิ้นนี้ก็ย่อมสื่อสารกับผู้อ่านชาวไทยได้อย่างไม่ต้องสงสัย และในท้ายที่สุดแล้ว เวลาจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์คุณค่าของงานเขียนทางปรัชญาเอง
[1]Kant’s Critique of Pure Reason (A805/B833)
[2]Kant’s Critique of Pure Reason (A1/B1)
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |