โดย นิธิ นิธิวีรกุล
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสินค้าสำคัญในการขายเพื่อซื้อความเชื่อมั่นกระทั่งเลยไปจนสุดขอบของความเชื่อจนกลายเป็นความงมงาย คือ สินค้าที่มีชื่อว่า “เรามีเอกราชเพราะมีพระมหากษัตริย์”
ความเชื่อนี้ก่อตัวขึ้นมาในระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา หรืออาจกล่าวได้ว่าเพียงชั่วรัชกาลเดียว แต่ก็เป็นความเชื่อที่ปักหลักมั่นคงแข็งแรง และขยายไปยังมิติความเชื่ออื่น ๆ ภายใต้ร่มธงแห่งเศวตฉัตร พร้อม ๆ กันกับความเชื่อในเรื่อง “เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” งานศึกษาหลายชิ้นตลอดหลายสิบปีก็แสดงตัวตนขึ้นมาเพื่อเปล่งเสียงอย่างพร้อมเพรียงว่าอธิปไตยที่รัฐไทยมองว่าไม่เคยสูญเสียให้ชาติใดนั้น แท้ที่จริงมีความหมายที่ลึกซ้อนซ่อนลงไปมากกว่าแค่การอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่า “เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” หรือ “เรามีเอกราชเพราะมีพระมหากษัตริย์” เพราะถ้ากล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ทั้งสองประโยคนี้ในร่มธงของชุดความเชื่อว่าไทยไม่เคยสูญเสียเอกราชไม่ได้ผิดโดยตัวมันเอง แต่ก็ไม่ได้ถูกเสียทั้งหมด
“บงการอธิปไตย: การแทรกแซงจากจักรวรรดินิยมตะวันตกกับการก่อรูปของรัฐสยาม” โดย จา เอียน ชง เป็นอีกงานศึกษาที่พยายามอธิบายถึงบทบาทการแทรกแซงของรัฐชาติจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามามีบทบาทภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสมัยของลัทธิล่าอาณานิคม รวมถึงรัฐสยามตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ กระทั่งการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงที่นำไปสู่การตั้งคำถามว่าโดยแท้แล้วสยามยังคงมีอธิปไตยเป็นของตนเองอยู่ไหมเมื่อจำเป็นต้องมีพื้นที่ภายในรัฐในฐานะสิทธินอกอาณาเขต
ภาพยุทธหัตถีที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
จากรัฐจารีตสู่รัฐสมัยใหม่
ก่อนหน้าจะมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถามว่าสยามมองตัวเองในฐานะรัฐที่มีอธิปไตยหรือไม่?
งานของจา เอียน ชง ให้คำตอบไว้ว่า ก่อนหน้านั้นรัฐสยามยังไม่มีกรอบความคิดเรื่องอธิปไตยของตนเองอย่างแท้จริง การจะนับเขตแดนใดเป็นของสยาม จึงใช้ฐานะของประเทศราช และข้าขอบขัณฑสีมาแทนการลากเส้นกำหนดเขตแดนแผนที่ซึ่งเป็นความรู้ที่มาพร้อมกับลัทธิล่าอาณานิคมของจักรวรรดินิยมตะวันตกเป็นสำคัญ โดยจา เอียน ชงอธิบายว่าการก่อตัวของรัฐสยามใหม่ที่ด้านหนึ่งจำเป็นต้องแสดงตัวต่อโลกว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ มีอารยธรรม ประเพณีมาอย่างยาวนาน มิใช่ชนป่าเถื่อนไร้อารยะ อีกด้านที่ดำเนินควบคู่กันไปอย่างมิอาจปฏิเสธ คือ การเร่งสำรวจภายใต้ขอบขัณฑสีมาของตนเองว่าแท้จริงจุดตัดตรงไหนกันแน่ที่เป็นของสยาม และตรงไหนไม่ใช่
นำมาซึ่งปัญหาเรื่องหลักปักปันเขตแดน และในที่สุดนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่ที่ชนชั้นนำสยามเคยถือเอาว่าเป็นของสยามมาแต่โบราณให้แก่มหาอำนาจจากตะวันตก ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ จนรัฐสยามได้ปรากฏรูปร่างหน้าตาที่กลายมาเป็นประเทศไทยอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
ความเป็นรัฐกันชนและภาพลวงตาของเอกราช
ในยุคของการล่าอาณานิคมอย่างเข้มข้นตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ต่อเนื่องมาถึงยุคสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัฐสยามที่พยายามปรับตัวเพื่อแสดงความเป็นอารยะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจในการปกครองตนเอง ซึ่งน่าคิดและน่าสนใจว่าในความคิดของชนชั้นนำสยามยุคนั้นมีความคิดในเรื่องชาตินิยมขึ้นมาเหมือนในยุคสมัยของจอมพลป.พิบูลสงครามหรือยัง ถ้ามีแล้ว ชาตินิยมในแบบชนชั้นนำสยาม ณ รอยต่อระหว่างความเป็นรัฐจารีตกับรัฐสมัยใหม่มีรูปร่างหน้าตาแบบใด
หากใช้กรอบความคิดของความเป็นเจ้าประเทศราช อาจให้คำตอบได้โดยคร่าว ๆ ว่าชาตินิยมของชนชั้นนำสยามในยุคนั้นเป็นคนละเรื่องกับชาตินิยมอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน พิจารณาได้จากแนวคิดในเรื่องการสูญเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากไว้ เพราะคำถามที่ตามติดมา คือ ถ้าการสูญเสียรัฐกลันตัน ไทรบุรี หลวงพระบาง ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นรัฐสยามแล้ว ยังสามารถนับได้อีกหรือไม่ว่าเรายังไม่สูญเสียเอกราช
จา เอียน ชง ให้คำอธิบายที่อาจไม่สบใจผู้มีใจฝักใฝ่กษัตริย์นิยมนัก นั่นคือการหยิบยืมความคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์มาอธิบายการที่สองมหาอำนาจทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษในห้วงสมัยนั้นเลือกที่จะใช้สยามเป็นรัฐกันชน มิใช่เป็นเพราะการดำเนินนโยบายการต่างประเทศของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าและของเหล่าชนชั้นนำเป็นสำคัญ แต่เป็นเพราะจักรวรรดินิยมทั้งสองต่าง “เห็นพ้อง” ว่าการเข้ายึดสยามนั้นเป็นเรื่อง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ที่สูง และได้ไม่คุ้มเสีย ดังที่ชงได้อธิบายไว้ในชิ้นงานว่า
“...กรณีศึกษาที่ผู้เขียนนำมาพิจารณาคือสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) โดยเริ่มตั้งแต่ทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีอำนาจภายนอกต่าง ๆ เข้ามาแย่งชิงช่องทางการเข้าถึง ดูเหมือนว่าจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงทัศนะต่อต้นทุนค่าเสียโอกาสของการแทรกแซงต่างกันไป ก่อนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์นั้นปรากฏต้นทุนค่าเสียโอกาสของการแทรกแซงในระดับน้อยถึงปานกลาง ไม่ใช่เพียงแต่สำหรับเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่สำหรับญี่ปุ่นด้วย ทั้งสองอำนาจจึงต่างมีบทบาทเชิงรุกในบริเวณดังกล่าวในช่วงนั้น สยามในอีกด้านหนึ่งนั้น ปรากฏค่าเสียโอกาสของการแทรกแซงในระดับสูงสำหรับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอำนาจต่างชาติสองแห่งที่มีผลประโยชน์ในการแข่งขันแย่งชิงสยามมากที่สุด…”
การอธิบายว่าสยามไม่มีค่าพอให้สมควรยึดครอง ถือเป็นความคิดที่สมควรถูกแปะป้ายว่าไม่รักชาติหรือไม่?
เราอาจคิดอย่างยั่วล้อเช่นนั้นได้ แต่ข้อเท็จจริงยังคงเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์หรือผู้สนใจการเมืองระหว่างประเทศยังต้องศึกษาเพื่อเสนอทฤษฎีต่อไปเพื่อหาคำตอบที่แน่ชัดของคำถามว่าแท้แล้วรัฐสยามรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้อย่างไร
เพราะนโยบายต่างประเทศของชนชั้นนำสยามล่ะหรือ
หรือเพราะฝรั่งเศสและอังกฤษต้องการให้สยามเป็นรัฐกันชน
หรือจะเป็นเหมือนอย่างที่จา เอียน ชง เสนอไว้ในเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสของอำนาจภายนอก (คืออังกฤษกับฝรั่งเศส) ที่หันมาให้การสนับสนุนอำนาจของรัฐบาลกลาง (คือ กรุงเทพฯ) เพื่อที่จะสถาปนาอำนาจให้มีความเข้มแข็งและเกิดการรวมศูนย์อำนาจที่จะเป็นคุณประโยชน์ต่ออำนาจภายนอกเสียเอง
ดังนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสยามไม่ใช่รัฐหรือดินแดนที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการหรือเป็นการได้ไม่คุ้มเสียเพียงเท่านั้น แต่การแทรกแซงที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งต่อมหาอำนาจอีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่อังกฤษและฝรั่งเศสต้องการ และแม้วิกฤติการณ์ ร.ศ.112 จะนำมาซึ่งความสูญเสียของสยามในระดับที่ “หนักกว่า” เมื่อเทียบกันกับฝรั่งเศสที่พยายามยั่วยุอังกฤษ ชนชั้นนำสยามจึงได้ตระหนักว่าเอาเข้าจริงแล้วการทำสนธิสัญญาการค้าเพื่อแสดงความเป็นไมตรีของสองชนชาติไม่ได้มีผลอะไรเลยเมื่อสยามต้องเผชิญการรุกราน (ในมุมมองทางการทหาร) จากฝรั่งเศส แล้วอังกฤษทำได้เพียงนิ่งเฉย
สภาวะที่เกิดขึ้นทำให้ชนชั้นนำสยาม โดยเฉพาะสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ถึงกับต้องแสดงองค์ในฐานะ “ประเทศเอกราช” หากมองว่ากษัตริย์คือเจ้าของประเทศ ด้วยการเสด็จประพาสไปยังประเทศในยุโรปและโดยเฉพาะรัสเซียเพื่อแสวงหามิตรจากประเทศมหาอำนาจที่สามให้เข้ามาเป็นตัวแปรท่ามกลางความขัดแย้งที่อังกฤษเป็นฝ่ายนิ่งเฉยแต่ก็กลับได้รับผลที่ตรงข้ามกับที่ทรงต้องการ
ฉลอง สุนทรวาณิชย์ อธิบายประเด็นนี้ไว้ในส่วน ภาคผนวก 1 การเมืองเบื้องหลังการเสด็จประพาสยุโรป ตั้งแต่ความตั้งใจที่จะเสด็จเยือนรัสเซียเป็นประเทศแรกโดยมุ่งหวังให้ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่าง “เกรงใจ” นั้น “ท่าที” ของอังกฤษที่มีต่อการเสด็จประพาสก็เป็นไปในลักษณะของการ “เฉยเมย” มากกว่า มิหนำซ้ำอังกฤษยังได้ยกเอาการมาเยือนของเจ้าครองนครรัฐในเอเชียอื่น ๆ มาปฏิเสธด้วยว่าเจ้าครองนครรัฐนั้น ๆ “...ทำอะไรดูเหมือนไม่รู้ศึกเกรงใจเจ้าของบ้าน การที่พวกตวันออกทำมาแล้วเช่นนี้ จึงเปนเสียงรังเกียดพวกตวันออกติดต่อมา…”
ลำพังถ้าเป็นคนทั่วไปการถูกเหมารวมดังกล่าวก็นับว่าแย่แล้ว แต่การถูกจัดอันดับให้อยู่ในขั้นของพวกที่น่ารังเกียด คงจะทำให้เรารู้สึกอับอาย อย่างไรก็ตามความพยายามในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับฝรั่งเศสเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำสยามจำเป็นต้องพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้การเสด็จเยือนอังกฤษของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้อังกฤษจะแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้พระองค์มาเยือน
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ตั้งแต่เมื่อแรกแสดงความจำนงที่จะเยือนอังกฤษหลังวิกฤติ ร.ศ.112 ในปี พ.ศ.2436 หรือแม้กระทั่งการ "ขอ" ไปร่วมพิธีเฉลิมฉลองวัชรภิเษกสมโภชของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียในปี พ.ศ.2440 ก็ได้รับการปฏิเสธจากรัฐบาลอังกฤษด้วยเหตุผลว่าควีนทรงพระชรา
ซึ่งฉลองมองว่าการเจรจาทาบทามของชนชั้นนำสยามต่อรัฐบาลอังกฤษเป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอังกฤษที่มีต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสยาม สอดคล้องกับงานของจา เอียน ชงในประเด็นเรื่องการแทรกแซงอำนาจภายนอก
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กับสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย
อย่างไรก็ดี ความพยายามที่จะดึงตัวแปรที่สามอย่างรัสเซียเข้ามาในสมการความขัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศสก็กลับได้ผลที่ตรงกันข้าม โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิทธิของคนในบังคับฝรั่งเศสที่จะข้ามมายังฝั่งสยามให้ถือว่ายังเป็นคนในบังคับของฝรั่งเศส ซึ่งสยามมองว่าเป็นการรุกล้ำอำนาจอธิปไตยเกินไป กลับทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีท่าทีแข็งกร้าวต่อสยามมากขึ้น และจบลงด้วยความล้มเหลว ซึ่งกว่าที่การเจรจาเพื่อหาข้อยุติกรณีพิพาทระหว่างกันจะประสบความสำเร็จ ความขัดแย้งก็ถูกนำกลับมาพิจารณาที่กรุงเทพฯ ด้วยอนุสัญญาในปี พ.ศ.2447 ความขัดแย้งระหว่างสยามและฝรั่งเศสจึงได้ยุติ
แม้จุดมุ่งหมายในการวาดหวังให้รัสเซียช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยจะไม่เป็นดั่งหวัง กระนั้นการเสด็จประพาสเพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างภาพลักษณ์และความศิวิไลซ์ก็นับได้ว่าประสบผลสำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบทเรียนของชนชั้นนำสยามที่ฉลองได้เขียนไว้ว่า “...การเสด็จประพาสยุโรปยังได้เปิดโอกาสให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและผู้นำไทยคนอื่น ๆ ได้มีโอกาส ‘เรียนรู้’ และ ‘สัมผัส’ การเมืองระหว่างประเทศของบรรดาผู้นำของมหาอำนาจตะวันตกเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง…” และ “...ประจักษ์ความจริงเกี่ยวกับความอ่อนแอของกลไกทางการทูตของไทยในการเมืองโลก…”
การจะศึกษาประวัติศาสตร์ของการแทรกแซง/บงการอธิปไตยที่ผ่านมาแล้วร้อยกว่าปีนำไปสู่คำถามที่หลายครั้งก็กระตุกจิตกระชากใจขึ้นมาเหมือนกันว่าจะอ่านไปทำไม
อ่านไปเพื่ออะไร (พอ ๆ กับการดูข่าวตอนสองทุ่ม)
คำตอบนั้นมีได้หลากหลาย แต่ตอบอย่างรวบรัดผ่านงานศึกษาของจา เอียน ชงเล่มนี้ คือ การหาจุดที่เราในฐานะส่วนหนึ่งของความเป็นรัฐไทย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ต่อเนื่องมาจากรัฐสยาม สามารถให้คำอธิบายแก่ตัวเองได้ว่าโดยแท้จริงแล้ว ชนชาติเราเป็นใครกัน เราอยู่ในรัฐที่มีชนชั้นนำเป็นพวกชอบปั้นน้ำเป็นตัวหรือเราอยู่ในรัฐที่มีชนชั้นนำเป็นพวกรักษาเกียรติ รักศักดิ์ศรี เอกราชหรืออธิปไตยที่เราจะสามารถภูมิใจได้ หรือเอาเข้าจริงแล้ว เป็นเพียงเรื่องสมมติของการกำหนดเขตแดนแผนที่ที่มีมิติการเมืองแฝงอยู่ในทุก ๆ ขณะของการลากเส้นแต่ละเส้นให้เป็นเส้นแสดงอาณาเขตกันแน่
เราเป็นชาติไทยที่เชื่อ(เอาเอง)ว่ามีอิสรเสรี หรือจริง ๆ แล้วเราเพียงหลอกตัวเองในกะลาไปวัน ๆ โดยไม่เคยรู้ว่าแท้แล้วเราถูก “บงการ” อธิปไตยมาโดยตลอดตั้งแต่การเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นรัฐสยามยุคใหม่
“บงการอธิปไตย” ของจา เอียน ชง น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ลากเส้นต่อให้ความคิดขยายไปมากกว่าความเชื่อว่าเรามีเอกราชได้เพียงเพราะมีกษัตริย์เท่านั้น
หน้าที่เข้าชม | 195,629 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 128,900 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 26 ก.ย. 2568 |