รัฐพล เพชรบดี เขียน
กวีและนักวิชาการอิสระ
ภายใต้โครงสร้างของคำอธิบายว่าด้วย ‘ความหมายในชีวิต’ (meaning in life) ที่ซูซาน โรส วูล์ฟ (Susan Rose Wolf: 1952 -) [ ต่อไปขออนุญาตเรียกสั้น ๆ ว่าวูล์ฟ ] ได้ให้ไว้ในเล็คเชอร์อันลืนลั่นของเธอที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันปี 2007 นั้นคงไม่มีใครเถียง (อย่างน้อยผู้เขียนก็เชื่อเช่นนี้) ว่าหนึ่งในปัญหาที่ชวนให้โต้คารม (จนอาจทำให้ถึงขั้นทะเลาะกัน) มากที่สุดปัญหาหนึ่งคือประเด็นที่เรียกว่า ‘subject-independent value’ หรือ ‘คุณค่าอิสระ’ ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เหตุผลก็คือคุณค่าดังกล่าวถูกนิยามโดยวูล์ฟว่าถ้า ‘คุณค่าวัตถุวิสัย’ (objective value) [ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่จะคอยเป็นสะพานเชื่อมให้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งมีความหมาย] ซึ่งเป็นคุณค่าที่คู่ควรไร้ซึ่งคุณค่าภายในตัวเอง (กล่าวอีกอย่างคือไม่มีคุณค่าที่เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากตัวประธาน (subject)) การที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีความหมายในชีวิต ‘อย่างแท้จริง’ นั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่นว่าสมมตินาย A มีความหลงใหล (และในความหลงใหลนั้นก็ถั่งท้นไปด้วยความรู้สึกเต็มเต็ม) กับ X [ ซึ่ง X อาจเป็นมนุษย์, สิ่งของ, กิจกรรม หรือ อุดมคติ ] และ X นั้นในทางกลับกันก็มีความคู่ควรให้ A หลงใหลและรู้สึกเติมเต็ม ทว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทางของโครงสร้างนี้คือ X กลับถูกนิยามหรือตัดสินว่าไร้ซึ่งคุณค่าที่สถิตภายในตนถ้าอยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มี A สำหรับวูล์ฟแล้ว ความหมายในชีวิตจะไม่สามารถอุบัติขึ้นภายใน A ได้ถ้าสุดท้ายเหตุการณ์ทั้งหมดต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดขึ้น คือถ้า X สุดท้ายแล้วต้องถูกตัดสินว่าไม่มีคุณสมบัติที่เรียกว่าคุณค่าอิสระภายในตนเอง
ตัวอย่างกิจกรรมที่วูล์ฟเห็นว่ามีคุณค่าอิสระภายในตนเอง
คำถามตรงนี้คือแล้ว X แบบใดกันสำหรับวูล์ฟที่เรียกได้ว่าครองไว้ซึ่งคุณค่าอิสระ? วูล์ฟมักยกตัวอย่างของมนุษย์ที่อดทนต่อการทำวิจัย X (ปรัชญา), พยายามฝึกฝนเครื่องดนตรี X (เชลโล), ใช้เวลาว่างในการประพันธ์ X (บทกวี), เรียนรู้ในการสร้างสรรค์ X (อาหารหรือขนมหวาน), ลงมือในการอนุรักษ์ X (โบราณสถาน), ต่อสู้เพื่อ X (ความยุติธรรม) หรือแม้แต่อดตาหลับขับตานอนเพื่อเย็บ X (ชุดคอสตูมฮัลโลวีน) ให้ลูกเพื่อไปงานโรงเรียน ซึ่งคุณค่าอิสระภายในแต่ละสิ่งดังกล่าวอาจนิยามได้ว่าเป็นคุณค่าอิสระที่แฝงไว้ด้วยมิติอาทิเช่นองค์ความรู้, สุนทรียะ, วัฒนธรรม, ความเป็นธรรม หรือแม้แต่เหตุผลแห่งความรัก (ในตัวอย่างสุดท้าย) ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้วูล์ฟยืนยันเป็นแน่นเป็นหนักว่าหากไร้ซึ่งสิ่งที่ครองคุณค่าดังกล่าวภายใต้โครงสร้างความหมายในชีวิตแล้ว ความหมายในชีวิตของคน ๆ หนึ่งย่อมจะเกิดขึ้นมิได้ และที่สำคัญ วูล์ฟย้ำว่าคุณค่าอิสระนั้นต้องเข้าเกณฑ์ที่เรียกว่า ‘larger than oneself’ หรืออาจถอดความได้ว่าต้องมีความสำคัญมากพอโดยที่ไม่ต้องชั่งตวงวัดเอาจากความรู้สึกของตัวประธานนั่นเอง
อย่างไรก็ดี คำถามที่คงต้องถูกถามต่อเนื่องกันก็คือแล้ว X แบบใดที่วูล์ฟเห็นว่าไร้ซึ่งคุณค่าอิสระภายในตนเอง? วูล์ฟยกตัวอย่างอาทิเช่นคนที่หลงใหลในการเล่น X (ซูโดกุ) ทั้งวัน, คนที่ตั้งใจคัดตัวอักษรจาก X (อมตนวนิยาย War and Peace) ให้ได้ทั้งเล่ม, คนที่คลั่งไคล้ในการสูบ X (กัญชา) และบางตัวอย่างที่ดูสุดโต่งน้อยลง (แต่ในทางกลับกันก็จะทำให้การพิจารณาตัวคุณค่าว่าเป็นอิสระหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ยากขึ้น) เช่นเด็กที่โลกของเธออาจคือ X (ปลาทอง) หรือแม้แต่นักศึกษาที่ผูกชีวิตของเธอไว้กับ X (ม้า) ในมิติต่าง ๆ (ซึ่งเอาเข้าจริงตัวอย่างนี้มีที่มาจากโจนาธาน ไฮดท์ (Jonathan Haidt: 1963 -) หนึ่งในผู้วิจารณ์เล็คเชอร์ของเธอ เพียงแต่กรณีนี้วูล์ฟไม่เห็นด้วย [ ว่านี่เป็นตัวอย่างที่สอดรับกับโครงสร้างความหมายในชีวิตที่เธอได้บรรยายไว้ ] ผู้เขียนจึงได้นำมาเป็นตัวอย่างอยู่ในที่นี้ด้วย) และนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากปกรณัมกรีกโบราณอย่างซิซีฟัส (Sisyphus) ผู้ต้องคำสาปจากเทพซูสที่ต้อง X (กลิ้งหิน) ขึ้นเขาลงเขาชั่วนิจนิรันดร์อีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ผู้เขียนได้เกริ่น อธิบาย และเท้าความมานี้ ผู้เขียนมีเป้าประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นผ่าน 4 กรณีศึกษาในบทความชิ้นนี้เป็นลำดับต่อไปว่าการตีความคุณค่าอิสระต่าง ๆ ที่วูล์ฟอาจไม่เห็นว่ามีนั้น แท้ที่จริงอาจมีความเป็นไปได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งทั้งนี้ผู้เขียนพิจารณาว่าเนื่องจากตัว ‘คุณค่า’ (value) เองสามารถถูกพิจารณาในแง่ ‘คุณภาพ’ (quality) ได้หลายพื้นที่ หลายความหมาย หรือหลายระดับ กล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือตัวคุณค่าอิสระนั้นในแง่หนึ่งไม่จำเป็น (และไม่มีเหตุผลเพียงพอ) ที่จะต้องถูกนิยาม (อย่างหลัก ๆ) ให้เป็นคุณค่าในแบบที่อาจถูกนิยามว่า ‘ไร้กาลเวลา’ (เช่นคุณค่าในมิติเชิงสุนทรียะ, ปัญญา, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม ฯลฯ) แต่เพียงอย่างเดียว ทว่าควรถูกตีความได้ว่าเป็นคุณค่าที่ ‘มีบริบทอย่างเฉพาะเจาะจงอย่างสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์’ ด้วย ซึ่งที่สำคัญ ในมุมมองผู้เขียน คุณค่าในการตีความแบบนี้มิได้ขัดแย้งกับแก่นของคุณค่าอิสระที่วูล์ฟได้ให้คำอธิบายปูทางไว้แต่อย่างใด
ที่สำคัญคือนอกจากนี้ ผู้เขียนยังพบว่าการมีอยู่ของคุณค่าอิสระยังอาจเป็นสาเหตุสำคัญให้โครงสร้างความหมายในชีวิต (ซึ่งเป็นภาพใหญ่) ของมนุษย์บางผู้นามมีความ ‘ย้อนแย้ง’ (contradictory) หรือ ‘ไม่ลงรอย’ (inconsistent) กันในตัวเองอีกด้วย มากไปกว่านั้น ผู้เขียนก็ยังค้นพบอีกเช่นกันว่ามีความเป็นไปได้ในบางกรณีที่สภาวะของคุณค่าอิสระอาจมีปัญหา ‘เลื่อนไหลไม่คงที่’ (unstable) (ซึ่งผลก็คือจะทำให้คุณค่าอิสระที่เคยเป็นไร้ซึ่งสภาพอิสระอย่างแท้จริงนั่นเอง) รวมถึงคุณค่าอิสระที่แสดงถึง ‘ความไม่สมเหตุสมผลในตัวเอง’ (unsound) ผู้เขียนก็พบว่ามีความเป็นไปได้ในบางกรณีเช่นกัน โดยปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้เราจะมาเริ่มดูกันผ่าน 4 กรณีศึกษาซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจและชวนให้ขบคิดพิจารณา จึงได้ตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์ไว้ดังต่อไปนี้
กรณีศึกษาที่ 1 – คุณนิตสึ ฮารุโกะ (Niitsu Haruko) พนักงานทำความสะอาดที่สนามบินฮาเนดะ ประเทศญี่ปุ่น
ผู้เขียนขอเริ่มต้นด้วยการให้ความเห็นว่าวูล์ฟคงไม่เห็นด้วยว่าคนที่มีอาชีพอย่าง ‘พนักงานทำความสะอาด’ จะสามารถทำกระบวนการชีวิตตัวเองให้เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าความหมายในชีวิตได้ (แม้ตัวประธานจะมีความหลงใหลและรู้สึกเติมเต็มจากกิจกรรมดังกล่าวนั้นก็ตาม) ทั้งนี้เนื่องจาก objection (หรือ ‘กิจกรรมการทำความสะอาด’) คงไม่สามารถยกระดับตนเองให้มี ‘คุณค่าอิสระ’ โดยปราศจากตัวประธานได้ และที่สำคัญการทำความสะอาดก็เป็นกิจกรรมที่ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งอาจถูกมองว่าไม่คู่ควรหรือเหมาะสมต่อการเติมเต็ม (ผู้เขียนมองว่าวูล์ฟน่าจะคิดเช่นนี้ [ แม้ว่าลึก ๆ แล้วอาจจะมีความเห็นใจอยู่ ]) ซึ่งประเด็นคือผู้เขียนกำลังจะบอกว่าการตีความแบบนี้อาจเข้าใจได้ในกรณีทั่ว ๆ ไป แต่สำหรับกรณีของคุณนิตสึ ฮารุโกะ เราอาจต้องใช้เหตุผลรวมถึงการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเป็นกรณีพิเศษ (วูล์ฟเคยบอกว่าการที่เราจะรู้ว่าใครมีสิ่งที่เรียกว่าความหมายในชีวิตเป็นเบื้องต้น วิธีคิดจากการมองในฐานะบุคคลภายนอกก็สำคัญ เช่นให้เราลองจินตนาการถึงการมองแม่ชีเทเรซา, ท่านมหาตมะ คานธี, ปอล เซซาน ฯลฯ ว่าคนทั่วไปคิดอย่างไร)
นิตสึ ฮารุโกะ พนักงานทำความสะอาดที่สนามบินฮาเนดะ
คำถามคือท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร ถ้าผู้เขียนบอกว่าคุณนิตสึเป็นพนักงานทำความสะอาดคนสำคัญที่ทำให้สนามบินฮาเนดะได้รับรางวัลสนามบินที่สะอาดที่สุดในโลกติดต่อกันสองปีซ้อน (เมื่อปี 2013 และ 2014)? คุณภาพของการทำความสะอาดระดับนี้เพียงพอที่จะมองได้ว่ามีคุณค่าอิสระไหม? ต่อกรณีนี้ ผู้เขียนพิจารณาเป็นเบื้องต้นว่าถ้าจะบอกว่าผลของการกระทำของคุณนิตสึไม่มีคุณค่าคงไม่ใช่ (และผู้เขียนก็เชื่อว่าคงไม่มีใครคิดเช่นนั้นแน่) แต่ประเด็นคือคุณค่านี้สามารถยกระดับตนเองไปสู่คุณค่าอิสระได้ไหม?
ก่อนอื่น ผู้เขียนได้เกริ่นไปเป็นเบื้องต้นแล้วว่าแม้คุณค่าอิสระที่วูล์ฟชอบยกมามักจะเป็นคุณค่าอิสระประเภทไร้กาลเวลา แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าคุณค่าที่อยู่นอกเหนือไปจากคุณค่าประเภทนี้จะมีสภาพเป็นคุณค่าอิสระไม่ได้ถ้าคุณค่านั้น ๆ มีความสำคัญเพียงพอ (และตัววูล์ฟเองก็ไม่เคยปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้เช่นกัน) ซึ่งเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คุณค่านั้นมีสภาพเป็นคุณค่าอิสระได้คือคุณค่านั้นต้องมีธรรมชาติที่เรียกได้ว่า larger than oneself คำถามตรงนี้จึงอยู่ที่ว่าแล้วกิจกรรมการทำความสะอาดระดับ world class ของคุณนิตสึนั้นเข้าเงื่อนไขนี้หรือไม่? และสิ่งที่จะไขปริศนานี้ได้ก็คือการมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘คุณค่าวัตถุวิสัย’ ของกิจกรรมการทำความสะอาดของคุณนิตสึ
มาถึงประเด็นนี้ หลายคนคงคิดว่าแล้วคุณค่าวัตถุวิสัยของกิจกรรมการทำความสะอาดจะเป็นสิ่งใดไปได้นอกเสียจาก ‘ภาวะที่สะอาด’ ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าก็ไม่ผิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็เห็นว่าคงยังไม่ใช่คำตอบที่สอดคล้องกับความเป็นคุณค่าวัตถุวิสัยของสิ่งนั้น ๆ อย่างแท้จริง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคุณค่าวัตถุวิสัยที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมการทำความสะอาดของคุณนิตสึนั้นคือ ‘สุขภาวะของชีวิต’ หรือ ‘คุณภาพชีวิต’ ของมนุษย์ต่างหาก ซึ่งคำถามต่อไปก็คือคุณค่าวัตถุวิสัยนี้จะสามารถนิยามหรือยกระดับตนว่าเป็นคุณค่าอิสระได้หรือไม่?
ถ้าเราจำกันได้ วูล์ฟบอกว่าคุณค่าอิสระนั้นคือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่เพียงพอและสามารถดำรงตนอยู่ได้แม้จะไม่มีตัวประธาน คำถามตรงนี้คือสุขภาวะแห่งชีวิตลงรอยกับสภาวะดังกล่าวไหม? บางคนอาจคิดว่านี่เป็นการท้าชิงที่ตกม้าตายตั้งแต่ยกแรก เนื่องจากคุณค่าวัตถุวิสัยชนิดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีตัวประธาน ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนก็ขอโต้แย้งโดยใช้ตรรกะเดียวกัน กล่าวคือเราก็จะไม่มีวันซาบซึ้งกับเสียงดนตรี หรือ ได้อ่านบทความปรัชญาดี ๆ ได้เลยเช่นกันถ้าไม่มีตัวประธาน (ซึ่งประเด็นสำคัญคือ object เหล่านี้กลับมีคุณค่าอิสระในมุมมองของวูล์ฟ) ปัญหานี้สำหรับผู้เขียนจึงเป็นอันว่าตกไป ปัญหาต่อมาก็คือคุณค่าวัตถุวิสัยได้เข้าเงื่อนไข larger than oneself หรือไม่? ซึ่งตรงนี้เองที่ผู้เขียนมองว่าคือแก่นสารสำคัญ กล่าวคือสุขภาวะของชีวิตที่คุณนิตสึส่งมอบให้ผู้คนที่ต้องเดินทางผ่านสนามบินฮาเนดะราวสองแสนคนต่อวันนับเป็นสุขภาวะชั้นเยี่ยม คุณนิตสึเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อรายหนึ่งว่าเหตุที่พื้นทางเดินของสนามบินต้องสะอาดเอี่ยมอ่องเป็นเพราะเด็ก ๆ ชอบนั่งลงกับพื้นและเอามือไปค้ำยันถูไถ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อสุขอนามัยของเด็ก ๆ ได้ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่ากรณีของคุณนิตสึนั้นมิใช่กิจกรรมการทำความสะอาดธรรมดา แต่เป็นกิจกรรมการทำความสะอาดชั้นสูงที่ห่วงใยในสุขภาวะของเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ดังนั้นในเบื้องต้นแล้ว สุขภาวะแห่งชีวิตหรือคุณค่าวัตถุวิสัยที่อยู่ภายใต้โครงการของคุณนิตสึนั้นจึงถือว่ามีความสำคัญเพียงพอ (เมื่อเทียบกับการทำความสะอาดในกรณีทั่ว ๆ ไป) กิจกรรมการทำความสะอาดของคุณนิตสึจึงมีเหตุผลเพียงพอที่ควรถูกตัดสินให้มีคุณค่าอิสระได้
กรณีศึกษาที่ 2 – คุณยายอายุ 100 ปีผู้มีอาชีพขายกล้วยแขก
ก่อนอื่น ถ้าให้ผู้เขียนลองเดาใจวูล์ฟ ผู้เขียนคิดว่ากรณีนี้ (กล่าวคือกิจกรรมการขายกล้วยแขก) ก็คงถูกตัดสินว่าไม่สามารถนิยามตนเองได้ว่ามีคุณค่าอิสระเช่นกัน ส่วนเหตุผลคืออะไรนั้นคงไม่ต้องพินิจพิจารณาไปให้ไกล เพียงแค่ใช้มุมมองของคนภายนอกเพื่อตัดสิน (วิธีการเบื้องต้นนี้ของวูล์ฟผู้เขียนได้อธิบายไปแล้ว) ก็คงมีปัญหาตั้งแต่การมีอยู่ของคุณค่าวัตถุวิสัยแล้ว (ลองจินตนาการดูเวลาเราไปเจอแม่ค้าขายขนมครก, ขายกล้วยแขก, ขายลูกชิ้น ฯลฯ อินทูอิชันแรกของเรา [ อันนี้วัดจากมุมมองและประสบการณ์ผู้เขียน ] มักบอกเราว่าพวกเขาต้องตั้งหน้าตั้งตาขายของเหล่านี้ก็เพื่อเอาชีวิตให้รอดในแต่ละวันเท่านั้น) ในขณะที่คนขายจะมีอายุเท่าใดนั้นผู้เขียนมองว่าวูล์ฟคงไม่เห็นว่าเป็นประเด็นที่จะต้องถูกนำมาพิจารณา เนื่องจากเงื่อนไขของคุณค่าอิสระมีอยู่ว่าต้องไม่ขึ้นอยู่หรือเกี่ยวข้องกับตัวประธานอยู่แล้ว
แต่ประเด็นคือจริงหรือไม่ว่าสิ่งที่วูล์ฟพิจารณาจะรอบคอบหรือถูกต้องเสมอไป (แม้จะอิงความเข้าใจจากหลักการของตนเอง)? ผู้เขียนตัดสินใจนำกรณีศึกษานี้ขึ้นมาพิเคราะห์และพิจารณาเนื่องจากผู้เขียนได้บังเอิญเข้าไปชมรายการ Super100 ของช่องเวิร์คพอยท์ [ ตอน พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! ยายจำลอง 100 ปี – รับชมได้ทาง YouTube ] และเห็นว่าน่าสนใจ ที่สำคัญคือผู้เขียนในช่วงขณะที่ชมก็เกิดสะกิดใจว่าการตีความคุณค่าอิสระในบางกรณีนั้นน่าจะต้องใช้เหตุผลหลายอย่างประกอบแทนที่จะตัดสินเอาจากตัวธรรมชาติของ object นั้นโดด ๆ เพียงประการเดียวแล้วจึงจะทำให้ตัดสินได้ว่าตัวประธานมีความหมายในชีวิตหรือไม่ และแน่นอน คุณค่าวัตถุวิสัยจะถูกยกระดับให้กลายเป็นคุณค่าอิสระได้หรือไม่
และเพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนถึงความเหมือนและความต่าง ผู้เขียนจะขอยกกรณีศึกษาอีกกรณีหนึ่ง (ซึ่งอยู่ในจินตนาการผู้เขียนเอง) ขึ้นมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพไปพร้อม ๆ กัน กล่าวคือเป็นตัวอย่างของวัยรุ่นผู้หวังสร้างตนด้วยการขายกล้วยแขก
คุณยายจำลอง อายุ 100 ปี ที่ยังขายกล้วยทอด
เรามาเริ่มที่กรณีคุณยายกันก่อน คุณยายนั้นแม้จะมีอายุย่างเข้า 100 ปีแล้ว แต่คุณยายบอกรายการว่าที่ยังขายกล้วยแขกอยู่นั้นก็เพราะว่ามีความสุข และที่สำคัญยังสามารถแบ่งเบาภาระครอบครัวได้ ในขณะที่ตัดภาพมาที่วัยรุ่นผู้หวังสร้างตัวจากการขายกล้วยแขก เขาอดทนเพียรพยายามขายกล้วยแขกด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพียงเพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะมีทุก ๆ สิ่งอย่างที่ต้องการได้ จากสองกรณีนี้ ผู้เขียนคิดว่ามีอยู่สามประเด็นด้วยกันที่เราต้องลองมาตั้งคำถามและตรวจสอบ ประเด็นที่หนึ่ง คนขายกล้วยแขกอายุ 100 ปีกับคนขายกล้วยแขกอายุ 20 ปีส่งผลให้กิจกรรมการขายกล้วยแขกแตกต่างกันในด้านใดหรือไม่? ประเด็นที่สอง ด้วยเหตุผลเบื้องหลังการขายกล้วยแขกของทั้งสอง ส่งผลให้คุณค่าของกิจกรรมแตกต่างกันหรือไม่? และประเด็นที่สาม ถ้ากิจกรรมการขายกล้วยแขก (ไม่ว่าจะของคนใดคนหนึ่งหรือของทั้งสอง) มีคุณค่าวัตถุวิสัย คุณค่านั้นสุดท้ายแล้วจะเห็นควรถูกตัดสินว่าเป็นคุณค่าอิสระหรือไม่?
สำหรับประเด็นแรก (หรือประเด็นเรื่องอายุของตัวประธาน) - ถ้าเราใช้วิธีการที่เรียกว่า endoxic method มาร่วมในการพิจารณา (ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งซึ่งวูล์ฟก็ใช้พิจารณากรณีต่าง ๆ เป็นเบื้องต้นเช่นกัน) ผู้เขียนมองว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าการขายของระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นมีความต่างกันในด้าน ‘คุณค่า’ (แต่มิได้หมายถึงว่าใครมีคุณค่าต่ำสูงกว่ากัน หากหมายถึงความต่างในมิติโดยรวมของความหมายของชีวิตมนุษย์) กล่าวให้ชัดขึ้นก็คือการที่คุณยายซึ่งมีอายุถึง 100 ปี แต่ต้องมาอดทนเดินเข็นรถขายกล้วยแขกในระยะทางเป็นกิโลย่อมเป็นเหตุให้ความหมายของกิจกรรมดังกล่าว (การขายกล้วยแขก) มีความต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งถ้าจะว่าให้ชัดขึ้นไปอีก ก็คือกิจกรรมของคุณยายดูจะมีความ ‘พิเศษ’ หรือความ ‘สำคัญ’ มากกว่าของวัยรุ่นอีกคนทั้ง ๆ ที่ object ก็คือกิจกรรมการขายกล้วยแขกเหมือน ๆ กัน ตรงนี้สื่อถึงอะไร? ตรงนี้ก็สื่อถึงว่าคุณค่าวัตถุวิสัย (ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นแรกของคุณค่าอิสระ) ก็ควรถูกพิจารณาให้มีความต่างกันไปด้วยเนื่องจากเหตุผลของเรื่องนั้นต่างกัน (ถ้าอุปมาก็คือปลายน้ำจะมีสีใดก็ต้องมีต้นน้ำที่มีสีนั้น) ถึงแม้ว่าตามทัศนะของวูล์ฟแล้วคุณค่าอิสระจะต้องถูกพิจารณาโดยแยกออกจากตัวประธานก็ตาม
สำหรับประเด็นที่สอง (หรือประเด็นเรื่องเหตุผลของการขาย) – ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะคอยไขว่าชีวิตคน ๆ หนึ่งจะมีสิ่งที่เรียกว่าความหมายในชีวิตหรือไม่ ซึ่งถ้าประยุกต์เข้ากับกรณีนี้ (กิจกรรมการขายกล้วยแขก) ก็คือเรื่อง ‘เจตนา’ (intention) หรือ ‘เหตุผล’ (reason) ของการขาย (ซึ่งจะถูกโยงเข้ากับเรื่องคุณค่าอิสระอีกครั้งหนึ่ง) ก่อนอื่น ผู้เขียนเล่าให้ฟังไปบ้างแล้วว่าการที่คุณยาย 100 ปียังเข็นรถออกมาขายกล้วยแขกอยู่เป็นประจำก็เนื่องจากว่าต้องการแบ่งเบาภาระครอบครัว ซึ่งเบื้องหลังการกระทำดังกล่าวก็ดูจะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ‘Storge’ (หรือพลังที่ว่าด้วยรักแห่งครอบครัว) ซึ่งสำหรับวูล์ฟแล้ว เหตุผลแห่งความรักจะปูทางให้ชีวิตคน ๆ หนึ่งมีคุณค่าชีวิตในมิติที่สามเสมอ ซึ่งมิติที่ว่านี้ก็คือมิติที่เรียกว่าความหมายในชีวิต [ แม้ว่าคุณยายในบางบทสนทนาจะบอกว่าแกออกมาขายเพราะความสุขก็เถอะ (ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนตีความความสุขดังกล่าวของคุณยายว่ามิใช่ความสุขในแง่ของ ‘self-interest’ ทว่าเป็นความสุขซึ่งเห็นตัวเองมีความหมายหรือมีค่าเพราะได้แบ่งเบาภาระของครอบครัว ซึ่งตามทัศนะของวูล์ฟนั้น self-interest เองก็เป็นคนละพื้นที่กับความหมายในชีวิต) ] ในขณะที่เบื้องหลังการขายกล้วยแขกของวัยรุ่นผู้ฝันจะสร้างตัวชัดเจนว่าเป็นความสุขแบบผูกติดกับ self-interest ผู้เขียนจึงไม่มีประเด็นให้ต้องสำรวจและขยายความอีกต่อไป
สำหรับประเด็นที่สาม (หรือประเด็นเรื่องคุณค่าวัตถุวิสัยและคุณค่าอิสระ) - จากทั้งสองประเด็นที่ผู้เขียนได้อธิบายความไปข้างต้น จะเห็นได้ว่ากรณีของวัยรุ่นสร้างตัวคงไม่มีอะไรให้ต้องสำรวจและวิเคราะห์กันอีก (เนื่องจากไม่มีมิติใดโน้มเอียงเข้าหาพื้นที่ความหมายในชีวิตเลย) ดังนั้นในประเด็นนี้ ผู้เขียนจึงจะขอกล่าวถึงและวิเคราะห์กรณีของคุณยาย 100 ปีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น
ผู้เขียนขอเริ่ม (และเดา) ว่าโดยหลักการรวมถึงความเชื่อของวูล์ฟแล้ว กิจกรรมการขายกล้วยแขกคงมิใช่ project ที่คู่ควรต่อมนุษย์คนหนึ่งในการมีความหมายในชีวิต ดังนั้นเราจึงอาจไม่ต้องถามต่อเลยว่าแล้วกิจกรรมดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้อย่างไรที่จะครองคุณค่าอิสระ (ทั้งนี้ก็เพราะว่ากิจกรรมโดยตัวมันเองยังไม่น่าจะเข้าถึงการมีคุณค่าวัตถุวิสัยเลย) ซึ่งในทัศนะผู้เขียน มุมมองนี้อาจประยุกต์ใช้กับกรณีของวัยรุ่นสร้างตัวได้ แต่สำหรับกรณีของคุณยาย 100 ปีนั้น คงไม่น่าจะได้ ซึ่งเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมีอยู่ว่าแม้ว่ากิจกรรมการขายกล้วยแขกโดยตัวมันเองจะไร้ซึ่งคุณค่าอิสระ แต่อีกสองส่วนในโครงสร้างความหมายในชีวิตของคุณยายคล้ายจะเป็นเหตุเป็นผลในตัวเองให้คุณค่าวัตถุวิสัยต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาวะตัวเองใหม่ ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร? ตรงนี้หมายความว่าในเมื่อความเห็นของคน (ซึ่งอ้างอิงจากวิธีการ endoxic method) น่าจะมองว่ากิจกรรมการขายกล้วยแขกของคุณยายนั้นมีคุณค่าและมีความหมายมากกว่าปกติ ประกอบกับเหตุผลเบื้องหลังกายขาย (กล่าวคือ storge) ที่วูล์ฟเองก็มองว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับพื้นที่ความหมายในชีวิต ดังนั้นการที่กิจกรรมการขายกล้วยแขกจะไม่สามารถครองคุณค่าอิสระได้จึงเป็นการทำให้ความหมายของสองส่วนแรกมีค่าเป็นศูนย์ และในทางกลับกัน ในขณะที่สองส่วนแรกเป็นสมมติฐานที่จะบ่งนัยยะว่ากิจกรรมการขายกล้วยแขกของคุณยายนั้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งน่าจะมีคุณค่าวัตถุวิสัย (ในบางระดับ) แต่ความเชื่อพื้นฐานของวูล์ฟเกี่ยวกับตัวตนและที่มาของคุณค่าอิสระกลับทำให้คุณค่าวัตถุวิสัยนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ สรุปนี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่ลงรอยกันหรือขัดแย้งกันเองภายในสมดุลโครงสร้างความหมายในชีวิต ซึ่งปัญหานี้คงไม่มีใครให้คำตอบได้นอกจากวูล์ฟ ว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะหาทางลงหรือหาหนทางประนีประนอมให้กับความไม่เป็นสัดเป็นส่วนส่วนในการมีอยู่ขององคาพยพในแต่ละส่วนภายใต้โครงสร้างความหมายในชีวิตนี้ได้อย่างไร
ภายใต้โครงสร้างความหมายในชีวิตของวูล์ฟ นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ‘objective attractiveness’ ที่ตัวประธานเกี่ยวข้องหรือมีต่อจะเป็นพื้นที่ของมนุษย์ (person), สิ่งของหรือวัตถุ (object) หรือกิจกรรม (project) แล้ว สิ่งที่เรียกว่า อุดมคติ (ideal) เองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยังถูกนับอยู่ภายใต้โครงสร้างนี้ด้วยเช่นกัน ทีนี้เราอาจมีคำถามต่อไปว่าแล้วอุดมคติแบบใดหรือ ที่จะคู่ควรกับคุณค่าวัตถุวิสัยจนสามารถยกระดับตัวเองไปสู่สภาวะอิสระได้? คำตอบพื้นฐานคือแน่นอนว่าต้องเป็นอุดมคติที่ดีและสำคัญเพียงพอ เป็นสากล และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งในกรณีศึกษานี้เองเราจะวิเคราะห์และตรวจสอบบางกรณีที่เกี่ยวพันกับพื้นที่อุดมคติที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ (justice) หากทว่าภายใต้กรณีการล่าแม่มดในคดี 112 [ **อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีศึกษานี้ผู้เขียนขอละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ (เกี่ยวกับรายละเอียด) ว่าการล่าแม่มดในคดี 112 คืออะไร หรือหมายถึงอะไร (กล่าวคือผู้เขียนจะทำเสมอเหมือนว่าผู้อ่านทุกท่านรู้อยู่แล้วในระดับหนึ่งแล้วว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงสิ่งใด และหมายถึงอะไร) ]
ผู้เขียนขอเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าเราควรจะคิดอย่างไร ถ้ามีคนส่วนใหญ่ในประเทศกลุ่มหนึ่งบอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำ (กล่าวคือการล่าแม่มด) นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปเพื่อความยุติธรรม และเบื้องหลังการกระทำนั้นอุดมไปด้วยความรัก (แม้เหรียญอีกด้านหนึ่งคือการต้องทำลายชีวิตคนอีกกลุ่มหนึ่ง)? สิ่งที่ผู้เขียนจะถามต่อไปอีกก็คือคนกลุ่มนี้มีความหมายในชีวิตภายใต้โครงสร้างความคิดของวูล์ฟหรือไม่? และคำถามที่จะขาดไปเสียมิได้คือ ‘ความยุติธรรม’ ดังกล่าวมีสถานะเป็นคุณค่าอิสระไหม? (ซึ่งสำหรับกรณีศึกษานี้เราจะโฟกัสเพียงคำถามที่สามเพียงคำถามเดียวเท่านั้น)
ในเบื้องต้น ผู้เขียนคิดว่าคงไม่มีใครแย้งว่าความยุติธรรมนั้นมิใช่คุณค่าอิสระ เนื่องจากตัวมันเองคือความเป็นธรรม ครองความเป็นสากล และอยู่พ้นกาลเวลา แต่ปัญหาคือแล้วถ้าความยุติธรรมนั้น (ต่อไปผู้เขียนขอสมมติภาวะนี้ว่า X) วันหนึ่งเกิดไม่ยุติธรรมขึ้นมาล่ะ? แล้ว X จะยังครองคุณค่าอิสระอยู่ไหม? ตรงนี้ผู้เขียนคิดว่าเราอาจต้องแยกการวิเคราะห์ออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนพิจารณาแล้วคิดว่าเราอาจชำแหละปัญหานี้ได้ออกเป็นสามกรณี กล่าวคือ กรณีที่หนึ่ง - X จะยังครองคุณค่าอิสระอยู่ แต่เป็นไปในห้วงกาลเวลาที่จำกัดเท่านั้น กรณีที่สอง – X มิได้ครองคุณค่าอิสระ เนื่องจากสภาวะความยุติธรรมอยู่พ้นกาลเวลา จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมามิได้ และ กรณีที่สาม – X ยังครองคุณค่าอิสระอยู่เสมอ โดยสิ่งนี้แยกขาดจากความเห็นใด ๆ และสภาพสังคม
ซึ่งประเด็นคือถ้าเราลองสังเกตและตรวจสอบดูทั้งสามกรณี เราจะพบปัญหาและทางออกของแต่ละกรณีเป็นไปดังต่อไปนี้
สำหรับกรณีที่หนึ่ง – X มีสภาพไม่คงที่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ แต่ X ยังคงครองคุณค่าอิสระและอยู่พ้นกาลเวลา (ซึ่งคำอธิบายนี้เป็นไปในแนวทาง ‘สัมพัทธนิยม’ (relativism) – ซึ่งแยกเวลาแต่ละห้วงขาดออกจากกัน [ ไม่นำมารวมกัน ])
สำหรับกรณีที่สอง - ไม่มีทางที่ X จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ ก็มิใช่สภาวะ X ดังนั้น X จึงควรถูกตัดสินว่าไม่เคยมีคุณค่าอิสระแต่อย่างใด และ
สำหรับกรณีที่สาม – X โดยตัวมันเองไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ดังนั้น X จึงมีคุณค่าอิสระเสมอ (โดยไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขใด ๆ)
มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนอาจขอสมมติเหตุการณ์หนึ่งว่าวันนี้มีฉันทามติจากประชาชนแล้วว่าการล่าแม่มดในคดี 112 เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม คำถามที่สำคัญที่สุด (ซึ่งจะตอบปัญหาเรื่องคุณค่าอิสระและเป็นหัวใจสำหรับกรณีศึกษานี้) คือความยุติธรรมที่ปรากฏในวันนี้เป็นความยุติธรรมจริง ๆ แล้วหรือไม่? ถ้าเราใช้แนวคำตอบกรณีที่หนึ่ง วันนี้คือเราได้รับความยุติธรรมแล้ว แต่เราก็ต้องยอมรับโดยดุษณีว่าการล่าแม่มดในวันก่อนนั้นมีความยุติธรรมเช่นกัน และภาวะความยุติธรรมก็ยังครองคุณค่าอิสระอยู่เหมือนเดิม ในขณะที่ถ้าเราใช้แนวคำตอบกรณีที่สอง ความยุติธรรมในวันนี้มิใช่ความยุติธรรม และคุณค่าอิสระก็ไม่เคยมี ส่วนถ้าเราใช้แนวคำตอบกรณีที่สาม ผลลัพธ์คือเหมือนกับข้อหนึ่งทุกประการ เพียงแต่แก่นสารคือมิใช่สัมพัทธนิยม (แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับเป็นเหตุให้คุณค่าวัตถุวิสัยของความยุติธรรมของทั้งสองห้วงเวลาขัดแย้งกันเอง)
ซึ่งบางที จากข้อสังเกตเหล่านี้ ผู้เขียนจึงมองว่าก่อนที่เราจะได้รับคำตอบจากกรณีที่สังคมมีฉันทามติจากการแอนตี้ 112 [ สมมติเหตุการณ์ ] ว่าเป็นความยุติธรรม ‘อย่างแท้จริง’ หรือไม่ คำถามก่อนหน้าซึ่งอาจควรถูกถามก่อนคือเราน่าจะถามวูล์ฟว่าเราจะจัดการอย่างไรอย่างไรกับปัญหาเรื่องคุณค่าอิสระอย่างเป็นระบบ ซึ่งในเบื้องต้นผู้เขียนก็ยังเชื่อว่าวูล์ฟคงมองว่าความยุติธรรมมีคุณค่าอิสระจริง (เพียงแต่หลังจากนั้นผู้เขียนก็ยากจะคาดเดาแล้วว่าคำอธิบายต่อไปจะเป็นไปในแนวทางใด)
กรณีศึกษาที่ 4 – บาริสต้าแห่งร้านเชียงรายปัญญาฯ 2558
ในความคิดของวูล์ฟนั้น การที่ object ใด ๆ จะมีสถานะสิ่งที่เรียกว่าคุณค่าอิสระได้ต้องผ่านเงื่อนไขหลัก ๆ อยู่สามประการ หนึ่ง ต้องผ่านเงื่อนไขการมีคุณค่าวัตถุวิสัย สอง ต้องมีคุณลักษณะที่เรียกได้ว่า larger than oneself และ สาม ต้องสามารถครองสภาวะตนเองได้เมื่อปราศจากตัวประธาน ซึ่งประเด็นที่เราจะสำรวจกันในข้อนี้ก็คือจะมีสักกรณีหนึ่งกรณีใดหรือไม่ ที่คุณค่าอิสระนั้นอาจถูกมองว่ามีแนวโน้มที่จะ discredit ตนเอง หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้น ก็คือคุณค่าอิสระนั้นอาจทำให้ตัวมันเองดูมี ‘ความไม่สมเหตุสมผล’ (unsound) ภายใต้โครงสร้างความหมายในชีวิต
ถ้าเราได้ไปเที่ยวที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย เราจะพบร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดร่องขุ่นอันโด่งดัง ร้านกาแฟร้านนั้นมีชื่อว่า ‘ร้านเชียงรายปัญญาฯ 2558’ ซึ่งร้านกาแฟร้านนี้มีความพิเศษมากกว่าที่อื่นทั่วไปตรงที่ว่าบาริสต้าของร้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็น ‘เด็กพิเศษ’ ทั้งหมด ข้อสังเกตต่อกรณีศึกษาของเราเริ่มที่ตรงนี้ กล่าวคือถ้า ‘กิจกรรมการทำกาแฟ’ ถูกตัดสินว่าไม่มีคุณค่าอิสระ ความหมายในชีวิตของน้อง ๆ บาริสต้าก็จะมีไม่ได้ ในขณะที่แม้น้อง ๆ จะทำกาแฟ (จริง ๆ รวมถึงการเสิร์ฟ) ด้วยใจรัก ปีติยินดี และความขยันขันแข็ง ทว่าก็มิได้มีหลักการใดที่จะทำให้คุณค่าวัตถุวิสัยนั้นถูกยกระดับให้เป็นคุณค่าอิสระได้ (ซึ่งผลก็จะวนกลับมาที่เดิม คือชีวิตน้อง ๆ จะไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความหมายในชีวิต - **สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือวูล์ฟยืนยันว่าเรื่องความรู้สึกเป็นคนละพื้นที่กับเรื่องความหมายในชีวิต) อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีศึกษานี้ แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่ามีความต่างจากกรณีศึกษาที่ 1 อย่างมีนัยยะสำคัญ [ กล่าวคือในขณะที่เบื้องหลังกิจกรรมการทำความสะอาดชั้นเลิศของคุณนิตสึคือสุขภาวะ แต่เบื้องหลังกิจกรรมการทำกาแฟดูจะหาคุณค่าเฉพาะที่เป็นสากลได้ยาก ] แต่กระนั้น ผู้เขียนสุดท้ายก็พิจารณาว่าไม่ว่าอย่างไรเสียก็คงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะนิยามน้อง ๆ ว่ายังไร้ซึ่งความหมายในชีวิตเพียงเพราะขาดซึ่งสิ่งที่เรียกว่าคุณค่าอิสระด้วยสองเหตุผลดังต่อไปนี้
‘ร้านเชียงรายปัญญาฯ 2558’
เหตุผลข้อที่หนึ่ง - เนื่องด้วยสมองของน้อง ๆ บาริสต้าเมื่อเทียบกับสมองของคนปกติทั่วไปอาจมีศักยภาพที่ต่ำกว่า ดังนั้นตามตรรกะเหตุผลแล้วการพิจารณาองค์รวมทั้งหมดของโครงสร้างความหมายในชีวิตก็ต้องปรับสภาพให้มีความหมายและน้ำหนักในแต่ละส่วนที่สอดคล้องกันไปด้วย (คล้ายกับข้อเสนอต่อกรณีศึกษาที่ 2) [ แต่กระนั้นก็ตาม ในทางเทียบเคียง ผู้เขียนมิได้บอกว่าผู้เขียนจะยึดแนวทางเดียวกันกับโนมี อาร์พาลี (Nomy Arpaly) หนึ่งในผู้วิจารณ์เล็คเชอร์ของวูล์ฟที่ defend มุมมอง ‘อัตวิสัย’ (subjectivism) ของเธอต่อกรณีเด็กพิการที่โลกของเขามีแต่ปลาทองว่าไม่ควรผูกความหมายในชีวิตของเด็กไว้กับคุณค่าวัตถุวิสัยแต่อย่างใด กล่าวคือสำหรับเหตุผลข้อนี้ ผู้เขียนเพียงแต่ต้องการจะประนีประนอมเพื่อให้โครงสร้างของวูล์ฟมีความยืดหยุ่นมากขึ้นตามแต่บริบทของมนุษย์ที่มีความต่างกันเท่านั้น ]
เหตุผลข้อที่สอง – ด้วยการที่น้อง ๆ บาริสต้ายังอยากทำงาน อยากมีความสุข อยากเห็นกาแฟขายได้ นั่นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าน้อง ๆ ยังมีความรักให้กับตนเอง (ความรักประเภทนี้ในทางปรัชญากรีกเรียกว่า ‘philautia’ (หรือ love of the self)) ซึ่งอาริสโตเติลเคยกล่าวว่าความรักที่มักแผ่ซ่านไปสู่เพื่อนมนุษย์คนอื่นส่วนใหญ่ล้วนมาจากกำเนิดแห่งความรักชนิดนี้ก่อนทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้สื่อถึงอะไร? ตรงนี้ก็สื่อถึงว่า ‘เหตุผลแห่งความรัก’ (ซึ่งเป็นดั่งกุญแจดอกสำคัญดอกหนึ่งในการที่มนุษย์จะไขความหมายในชีวิต) ได้มีบทบาทสำคัญกับโครงสร้างความหมายในชีวิตของน้อง ๆ บาริสต้า ซึ่งจากเหตุผลนี้ [ ประกอบกับเหตุผลข้อที่หนึ่ง ] ผู้เขียนจึงเห็นคล้ายกับกรณีศึกษาที่ 2 ว่าควรมีการปรับโครงสร้างความหมายในชีวิตให้ได้สมดุลกันทั้งในเรื่องคุณภาพหรือความหมายของแต่ละส่วนสัด เพราะถ้าผลสุดท้ายวูล์ฟ (ในความคิดของผู้เขียน) ยังคงพิจารณาตัดสินว่ากิจกรรมการขายกาแฟนั้นไม่ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีคุณค่าอิสระ (ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความหมายในชีวิตที่น้อง ๆ บาริสต้าคิดว่ามีคือการคิดไปเอง) ผู้เขียนคงมองว่าตัวทฤษฎีหรือหลักการคุณค่าอิสระด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งอาจมีความไม่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่บางประการ
สรุป – จากข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์ผ่าน 4 กรณีศึกษาข้างต้นนี้ เราจะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘คุณค่าอิสระ’ นั้นได้สร้างปัญหาให้กับตัวเองและกับโครงสร้างความหมายในชีวิตในแบบองค์รวมอยู่พอสมควร กล่าวคือไม่ว่าจะสร้างปัญหาเกี่ยวกับประเด็นในเชิงวัตถุวิสัย (หรือภววิสัย) ซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความ หรือสร้างปัญหาเกี่ยวกับประเด็นในเชิงโครงสร้าง (หรือเชิงระบบ) ที่บางครั้งทำให้หาดุลยภาพระหว่างส่วนสัดภายใต้องค์รวมไม่ได้ ซึ่งถ้าจะว่าไป ที่ร้ายที่สุดอาจเป็นเรื่องผลลัพธ์ของการมีอยู่ของปัญหาเหล่านี้ที่จะนำมาซึ่งการตัดสินที่คลุมเครือ (หรืออาจถึงกระทั่งเชื่อถือไม่ได้) ว่าสรุปแล้วคน ๆ หนึ่งได้มีสิ่งที่เรียกว่าความหมายในชีวิตหรือไม่? ซึ่งสำหรับผู้เขียน ทางออกเบื้องต้นของปัญหาเหล่านี้อาจมีอยู่สองทาง ทางที่หนึ่ง ตัดหลักการคุณค่าอิสระออกไปจากโครงสร้างความหมายในชีวิต หรือทางที่สอง คงหลักการคุณค่าอิสระไว้เช่นเดิม แต่ปรับเงื่อนไข larger than oneself ให้มีขนาดเล็กลง และห้ามตัดความสัมพันธ์ (รวมถึงความสำคัญ) ของตัวประธานออกจากตัวคุณค่าวัตถุวิสัย
_________________________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 199,076 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,347 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |