โดย วรท อุณหสุทธิยานนท์
“มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” “มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่สามารถใช้เหตุผลได้” “มนุษย์มีคุณธรรมและศีลธรรมต่างจากสัตว์ที่ไร้ศีลธรรม” “มนุษย์ปฏิบัติธรรมได้แต่สัตว์ปฏิบัติไม่ได้” หลายคนอาจเคยได้ยินความคิดทำนองนี้มาก่อน น่าจะกล่าวได้ว่าความคิดที่ว่าสัตว์เป็นสิ่งอื่นที่แตกต่างไปจากมนุษย์แทบจะเป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนมี เพราะไม่ว่าจะเป็นทางด้านรูปร่างลักษณะ สติปัญญา หรือความสามารถด้านการใช้ภาษาของสัตว์ล้วนแต่ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่เพียงแตกต่างกันเท่านั้นแต่บางคนอาจมองว่าสัตว์อยู่ในฐานะที่ต่ำกว่ามนุษย์ด้วย สังเกตได้จากหลักคำสอนในบางศาสนาที่มองว่าสัตว์ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ และการเกิดเป็นสัตว์ถือเป็นการเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์เพื่อชดใช้กรรม หรือสังเกตจากภาษาที่เราใช้กันในปัจจุบันที่มีการใช้คำสบถก่นด่าที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย
คำด่าเหล่านี้แฝงไว้ด้วยการให้คุณค่าที่ราวกับกำลังบอกเราว่าถ้าหากไม่อยากถูกมองว่าเป็นเหมือนกับสัตว์ เราจะต้องขัดเกลาตนเองให้สมกับผู้ที่เป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าสัตว์ ความคิดที่มองว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์และเหนือกว่าสัตว์เช่นนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับกันโดยทั่วไป ทว่า เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปราชญ์จีนที่ชื่อว่า “จวงจื่อ” คิดต่างออกไปและมองว่ามนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์ได้อย่างเท่าเทียม มิหนำซ้ำยังมองว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้สัจธรรมบางอย่างได้จากสัตว์อีกต่างหาก
จวงจื่อคือใคร? บันทึกทางประวัติศาสตร์ (สื่อจี้) บันทึกเกี่ยวกับ “จวงจื่อ” เอาไว้ว่าจวงโจวหรือจวงจื่อเป็นผู้ที่หยอกล้อและวิพากษ์ปรัชญาสำนักขงจื่อและม่อจื่อ ทั้งยังเป็นผู้ทำให้ความคิดของเหลาจื่อกระจ่างขึ้น ทั้งนี้ “เหลาจื่อ” คือผู้ที่สันนิษฐานกันว่าเป็นผู้ประพันธ์เต้าเต๋อจิง ซึ่งในภายหลังปรัชญาเหลาจื่อและปรัชญาจวงจื่อรู้จักกันในชื่อปรัชญาสำนักเต๋า (เต้า) จากบันทึกของซือหม่าถาน
จวงจื่อมีชีวิตในสมัยชุนชิวจั้นกั๋วประมาณ 369-286 ก่อนคริสต์ศักราช การดำรงชีวิตอยู่ในสมัยนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจากต้องเผชิญกับความรุนแรงของสงครามของบรรดาผู้ปกครองที่มุ่งแสวงหาอำนาจตั้งตนเป็นใหญ่ จวงจื่อเกิดหลังจาก “ขงจื่อ” ประมาณร้อยกว่าปีและได้เห็นยุคสมัยที่แนวคิดแบบขงจื่อซึ่งมุ่งขัดเกลาผู้คนให้มีคุณธรรมด้วยจารีตประเพณีแพร่หลายไปในสังคมแล้ว ทว่าสังคมก็ยังไม่สงบสุขมิหนำซ้ำสงครามมีแต่จะรุนแรงขึ้น จวงจื่อคิดว่าความวุ่นวายในสังคมมีสาเหตุมาจากการที่มนุษย์ไม่เข้าใจสัจธรรมว่าแท้จริงแล้วสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งๆ หนึ่งในธรรมชาติซึ่งมีวิถีธรรมชาติเป็นของตัวเอง ด้วยความไม่เข้าใจในวิถีธรรม (เต๋า) ทำให้ผู้คนต่างคนต่างใช้กรอบคิดและภาษาในความหมายของตัวเองสร้างเป็นบรรทัดฐานกำหนดสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเมื่อแต่ละคนตัดสินแบ่งแยกไม่ตรงกันก็นำไปสู่ความขัดแย้งและทำให้สังคมไม่สงบสุข ขงจื่อที่พยายามนำความสงบสุขกลับมาโดยยึดเอาจารีตแบบราชวงศ์โจวตะวันตกที่เคยรุ่งเรืองเป็นแบบอย่างเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นกัน ดังที่ในคัมภีร์จวงจื่อปรากฏให้เห็นถึงการวิพากษ์ปรัชญาขงจื่อและการใช้อุปลักษณ์เพื่อเสนอความคิดทางปรัชญาเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดทางภาษา
ความคิดทางปรัชญาของจวงจื่อปรากฏในคัมภีร์จวงจื่อ ซึ่งเป็นงานประพันธ์ที่ประกอบด้วย 33 บท แบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ สมุดใน สมุดนอก และสมุดปกิณกะ ภายในแต่ละบทของคัมภีร์ประกอบด้วยเรื่องราวหลายเรื่อง บ้างก็เป็นบทสนทนาที่ตัวละครในเรื่องถูกตั้งชื่อตามบุคคลในตำนานหรือตั้งชื่อตามขุนนาง/นักคิดที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นอย่าง “ขงจื่อ” บ้างก็เป็นบทบรรยายพรรณาลอยๆ มิได้เจาะจงว่ากล่าวถึงใคร บ้างก็เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดพิศดารที่กล่าวถึงหัวกะโหลกหรือเงาพูดได้ วรรณศิลป์เหล่านี้มิได้เป็นไปเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยความคิดทางปรัชญาของจวงจื่อที่วิพากษ์วิจารณ์ความคิดที่แพร่หลายอยู่ในสังคมจีนสมัยนั้น เพื่อที่จะทำความเข้าใจความคิดทางปรัชญาของปรัชญาจวงจื่อ วิธีการหนึ่งในการตีความคัมภีร์จวงจื่อคือการอ่านตัวบทโดยเข้าใจว่าจวงจื่อกำลังวิพากษ์แนวคิดแบบขงจื่อ รวมถึงการตีความความหมายของอุปลักษณ์ซึ่งเป็นวรรณศิลป์อย่างหนึ่งที่ถูกใช้ในคัมภีร์
หนังสือ “มัจฉา ปักษี ผีเสื้อ: อุปลักษณ์สัตว์และการผดุงชีวิตในปรัชญาของจวงจื่อ” ชี้ชวนให้เห็นว่าความคิดที่ปรากฏในคัมภีร์จวงจื่อกำลังเชื้อเชิญเราให้มองความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสัตว์ในรูปแบบที่ต่างออกไป จวงจื่อเสนอว่าเราไม่ควรจะตั้งต้นจากการนำความเป็นมนุษย์ไปมองสิ่งอื่น และมองว่าเราจะต้องขัดเกลาตัวตนตามคุณค่าที่มนุษย์ให้ความสำคัญเพื่อให้ตนเองออกห่างจากความเป็นสัตว์และ “กลายเป็น” มนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น ทว่า เราควรจะเป็น “มนุษย์ที่แท้” ด้วยการละทิ้งการมองและการตัดสินคุณค่าผ่านมุมมองที่อิงอาศัยคุณค่าของมนุษย์หรือมุมมองที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentric)
จวงจื่อพร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์โดยใช้สัตว์เป็นอุปลักษณ์เพื่อกระตุกจิตกระชากใจผู้อ่านให้หลุดพ้นจากการโฟกัสที่กรอบคิดแบบมนุษย์ๆ และพาผู้อ่านท่องไปสัมผัสกับมุมมองของสิ่งอื่นในธรรมชาติที่นอกเหนือไปจากมนุษย์ด้วยเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดโดยมีตัวละครในเรื่องเล่าเป็นสัตว์เชิญชวนให้ผู้อ่านกลายเป็นสัตว์
“ปลาจำเริญเบิกบานในสายนที มนุษย์จำเริญเบิกบานในเต๋า พวกที่จำเริญในน้ำ เพียงขุดสระก็อาจค้นพบอาหารบำรุงเลี้ยงชีพอย่างเพียงพอ พวกที่จำเริญในเต๋า ไม่ต้องวิตกกังวล และชีวิตก็รอดปลอดภัย ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ปลาลืมกันในสายนที และมนุษย์ลืมกันในวิถีแห่งเต๋า” (จวงจื่อ บทที่ 6)
แน่นอนว่าจวงจื่อไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลงไปอาศัยในน้ำเหมือนปลาเพื่อที่จะได้มีความสุขเช่นเดียวกับปลา หากแต่การกลายเป็นสัตว์คือการตระหนักว่ามนุษย์เองก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งอื่นในธรรมชาติไม่ต่างจากบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ ทั้งมนุษย์และสัตว์ล้วนเป็นสิ่งหนึ่งในธรรมชาติมิได้มีสิ่งใดเหนือกว่าอีกสิ่ง จวงจื่อมองว่ามนุษย์ควร “ลืม” ความเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาในเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาหยั่งรู้ได้ ควร “ลืม” การเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการกำหนดบรรทัดฐานและค่านิยม “ลืม” การนำจารีตและวัฒนธรรมของตนเองไปทำลายหรือแทรกแซงวิถีธรรมชาติของสิ่งอื่น ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ต่างก็มีธรรมชาติเดิมแท้และอิสรภาพไปตามวิถีธรรมชาติของตนเอง เฉกเช่นปลาที่มีโชคชะตาต้องเกิดมาเป็นปลาและต้องดำรงชีวิตอยู่ในน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นปลาแหวกว่ายอยู่ด้วยกันไปตามธรรมชาติของตนเองในน้ำโดยไม่สนใจคิดจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อย่างชาติกำเนิดของตนเอง ในยุคซึ่งเต็มไปด้วยสงครามที่คนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนักนอกจากต้องจำยอมทำตามคำสั่งผู้ปกครอง จวงจื่อพยายามสร้างพื้นที่และมอบอิสระให้กับคนตัวเล็กตัวน้อยได้หลุดออกจากพันธนาการโดยพร่าเลือนการแบ่งแยกทั้งในเชิงญาณวิทยาและการแบ่งแยกชนชั้นในเชิงสังคม พร่าเลือนความเข้มข้นของตัวตนเพื่ออยู่ร่วมกับคุณค่าที่หลากหลายในสังคม เบิกบานไปกับการแปรเปลี่ยนร่วมกับสรรพสิ่งเฉกเช่นความฝันของผีเสื้อที่กระพือปีกไปอย่างเบิกบานซึ่งทำให้เรามองเห็นความลื่นไหลของการแปรเปลี่ยนและทำให้เราไม่อาจแน่ใจในการแบ่งแยกอัตลักษณ์ที่แน่นอนได้
“ครั้งหนึ่งจวงจื่อฝันไปว่าตนเป็นผีเสื้อ ขยับกระพือปีกบินไปรอบๆ อย่างสุขสำราญใจ เริงเล่นไปตามใจปรารถนา มันหารู้ไม่ว่ามันคือจวงจื่อ พลันเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองเป็นจวงจื่ออย่างแน่แท้ แต่เขา/มันกลับไม่แน่ใจว่าเป็นจวงจื่อที่ฝันไปว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ หรือว่าเป็นผีเสื้อที่ฝันเป็นจวงจื่อกันแน่ ระหว่างจวงจื่อและผีเสื้อ จะต้องมีความแตกต่างบางอย่าง นี่เรียกว่าการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่ง” (จวงจื่อ บทที่ 2)
ในปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาสองพันกว่าปีแล้วก็การตาม การใช้ชีวิตอยู่ในเงื่อนไขที่จำกัดของชีวิตเป็นเรื่องที่มนุษย์ยังคงต้องเผชิญมาตลอดในทุกยุคทุกสมัย ความขัดแย้งทางความคิดและคุณค่าของมนุษย์ก็ยังคงดำเนินต่อไป แล้วเราควรดำรงชีวิตร่วมกับผู้คนท่ามกลางคุณค่าที่แตกต่างหลากหลายอย่างไร? หนังสือ “มัจฉา ปักษี ผีเสื้อ: อุปลักษณ์สัตว์และการผดุงชีวิตในปรัชญาของจวงจื่อ” เล่มนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการตีความคัมภีร์จวงจื่อซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่ง่ายนักในโลกหนังสือภาษาไทย นอกจากนำเสนอการตีความอุปลักษณ์เกี่ยวกับสัตว์ในคัมภีร์จวงจื่อเอาไว้อย่างน่าสนใจ หนังสือเล่มนี้ยังเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ “การผดุงชีวิต” หรือการใช้ชีวิตในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สรรพสิ่ง และธรรมชาติ โดยไม่ยึดติดกับกรอบคิดและตัดสินสิ่งอื่นด้วยคุณค่าของตนเอง ใช้ชีวิตในสังคมหลากคุณค่าอย่างเป็นอิสระโดยสามารถคงความจริงแท้ของตนเองไปพร้อมกับสิ่งอื่นได้อย่างรื่นรมย์
___________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 196,314 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 129,585 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 ต.ค. 2568 |