ชุติเดช เมธีชุติกุล
แผนที่ล้อเลียนการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 (ที่มา)
หนังสือ บงการธิปไตย: การแทรกแซงจากจักรวรรดินิยมตะวันตกกับการก่อรูปของรัฐสยาม ของ จา เอียน ชง (Ja Ian Chong) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้เป็นหนังสือที่แปลจากหนังสือชื่อ External Intervention and the Politics of State Formation: China, Indonesia, and Thailand, 1893–1952 โดยแปลบางบทที่เกี่ยวข้องกับสยาม/ไทย นอกจากนี้ในส่วนของภาคผนวกเล่มนี้ยังประกอบไปด้วยบทความของฉลอง สุนทราวาณิชย์ ชื่อ “การเมืองเบื้องหลังการเสด็จประพาสยุโรป” และบทความแปลของคริสโตเฟอร์ เพ็ก (Christopher Paik) และ เจสสิกา เวชบรรยงรัตน์ (Jessica Vechbanyongratana) ชื่อ “เส้นทางการรวมศูนย์อำนาจและการพัฒนา: กรณีศึกษาจากสยาม” แปลจากบทความชื่อ “Path to Centralization and Development: Evidence from Siam”
แล้วทำไมถึงต้องอ่านหนังสือเล่มนี้?
ผมจำได้ว่าเคยได้ยินอาจารย์หรือสารคดีช่องไหนสักอย่างเวลาพูดถึงการล่าอาณานิคมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ของยุโรปมีวิธีการล่าอาณานิคม การยึดครอง และปกครองดินแดนอาณานิคมของชาติยุโรปนั้นมักจะแตกต่างกันออกไป บางประเทศยึดครองโดยการแบ่งแยกและปกครอง (divine and rule) บางประเทศมอบความเจริญต่าง ๆ วางโครงสร้างที่ทำเหมือนกับที่ประเทศตนทำให้กับดินแดนพวกนั้น บางประเทศล่าดินแดนเพียงเพื่อแย่งชิงและครอบครองทรัพยากรธรรมชาติของดินแดนพวกนั้นเพื่อส่งไปดินแดนแม่ แต่ทั้งหมดนี้จะเห็นว่ามุมมองหรือทัศนคติของชาติยุโรปเหล่านี้ต่อการล่าอาณานิคมอยู่พื้นฐานของการแสวงหาผลประโยชน์ของชาติตนเป็นสำคัญ แต่ก็จะแตกต่างกันไปด้วยวิธีการตามที่บอกไปแล้วเบื้องต้น
แผนที่แสดงดินแดนอาณานิคมทั่วโลกในปี 1914 (ที่มา)
ทั้งหมดที่เล่าไปนี้เมื่อย้อนกลับมาฟังเรื่องเล่ากระแสหลักของรัฐสยาม/ไทย คำอธิบายที่มักจะได้รับจะประมาณว่า สยาม/ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศไหน เราสามารถรักษาเอกราชมาได้ ด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 5 เรื่องเล่าเหล่านี้ได้บดบังเบียดขับความเห็นและคำอธิบายอื่น ๆ ออกไปจากเรื่องเล่ากระแสหลัก มีเพียงพื้นที่ทางวิชาการหรือพื้นที่อื่น ๆ กระมังที่คนสยาม/ไทย ถึงจะได้รับรู้ถึงเรื่องเล่าทางเลือกหรือเรื่องเล่ากระแสรองอื่น ๆ และหนึ่งในนั้นคือเรื่องเล่าที่กล่าวว่าอันที่จริงแล้วที่สยาม/ไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมของใครนั้น เพราะชาติมหาอำนาจมองว่าจะไม่คุ้มทุนที่ลงทุนไปกับกำไรที่จะได้มา หรือที่ชงใช้แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) อธิบายวิธีคิดหรือทัศนคติของเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษกับฝรั่งเศสต่อการแทรกแซงจากภายนอก (external intervention) หรือพูดอย่างเข้าใจง่ายคือการเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะยึดสยาม/ไทยเป็นเมืองขึ้นหรืออาณานิคมนั้น มีต้นทุนที่ต้องเสียไปมากกว่ากำไรที่ได้ ซึ่งต้นทุนที่เสียไปไม่ใช่เสียแค่ตัวเงินที่ลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามบุกยึดสยาม/ไทยเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนที่จะต้องเสียโอกาสไปสำหรับที่จะทำเรื่องอื่น ๆ กล่าวคือแทนที่จะเอาเวลาที่จะเตรียมบุกยึดสยาม/ไทย เอาเวลา โอกาส และทุนไปลงทุนทำอย่างอื่น อาจจะคุ้มกว่า
ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ผมจึงขอนำเสนอเหตุผล 2 ประการต่อไปว่าทำไมต้องอ่านงานของชงหรือเราควรอ่านงานชิ้นนี้ของชงอย่างไรดี
1) อ่านงานของชงในฐานะประวัติศาสตร์(นิพนธ์) อีกแบบหนึ่งว่าด้วยการก่อตัวของความเป็นรัฐอธิปไตยสยาม/ไทย ข้อเสนอของงานชิ้นนี้เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจสำหรับที่จะอ่าน เพราะข้อเสนอดังกล่าวมาจากการประมวล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อเสนอต่าง ๆ เกี่ยวกับรัฐสยาม/ไทยในเรื่องอาณานิคม อย่างรอบด้านด้วยการกรอบคิดทฤษฎี การเก็บข้อมูล และวิธีวิทยาที่เป็นระบบอย่างละเอียด แล้วจึงกลายเป็นข้อเสนอของหนังสือดังกล่าว ดังนั้นอาจจะอ่านงานชิ้นนี้ในฐานะประวัติศาสตร์นิพนธ์อีกแบบหนึ่งว่าด้วยการก่อตัวของความเป็นรัฐอธิปไตยสยาม/ไทยที่พยายามทำให้เห็นความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันระว่างปัจจัยภายในและภายนอกว่าด้วยการไม่ตกเป็นอาณานิคมหรือไม่ขึ้นของใครมาก่อน ซึ่งการศึกษาของชงช่วยคลี่ให้เห็นถึงพัฒนาการที่ค่อย ๆ ปรากฎเป็นรัฐอธิปไตยสยาม/ไทยจากผลของการประมวลต้นทุนและกำไรของประเทศมหาอำนาจ ณ ขณะนั้น
2) อ่านงานของชงในฐานะข้อเสนองานวิจัย นอกจากข้อเสนอหลักของชงสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งชงได้ค่อยคลี่ความละเอียดซับซ้อนของจัดทำโครงการวิจัยของตนในช่วง 3 บทแรกของหนังสือ อย่างเป็นระบบและรอบด้าน โดยที่ลักษณะดังกล่าวถือเป็นแนวทางของนักรัฐศาสตร์ที่ถูกฝึกฝนมาจากสหรัฐอเมริกา (ชงจบปริญญาเอกจาก Princeton University ด้านการเมือง) รัฐศาสตร์อเมริกันนั้นจะให้ความสำคัญกับการวางแผนการวิจัย กรอบคิดทฤษฎี วิธีวิทยา วิธีการเก็บข้อมูล การทบทวนวรรณกรรม วิธีการเลือกกรณีศึกษา วิธีการเปรียบเทียบกรณีศึกษา และโครงสร้างของงานวิจัยที่เป็นระบบมีเหตุผลรองรับจากการศึกษาวิจัยและค้นข้อมูลอย่างเข้มข้นรอบด้าน แล้วถึงจะนำไปสู่การเก็บข้อมูล การเลือกใช้ทฤษฎีหรือกรอบการวิเคราะห์สำหรับวิเคราะห์และประมวลข้อมูลที่ได้มา ทั้งหมดนี้เราจะเห็นลักษณะดังกล่าวใน 3 บทแรกของงานชิ้นนี้ และถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สามารถอ่าน 3 บทนี้ ในฐานะข้อเสนองานวิจัยชิ้นหนึ่งด้วยการอ่านเพื่อดูวิธีการเลือกประเด็น การอธิบายที่มาที่ไป และวิธีการเก็บข้อมูล สำหรับพัฒนางานวิจัยของตนต่อไป
ภาพวาดการ์ตูนชื่อ “The Situation in the Far East (時局全圖)”
โดย Tse Tsan-tai นักปฏิวัติออสเตรเลียเชื้อสายจีนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 (ที่มา)
ก่อนอื่นผมอาจจะรีบโชว์จุดไคลแม๊กซ์ไปหน่อย แต่กระนั้นผมคิดว่าภาพที่ 4.1 (ภาพด้านล่าง) ของหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นการสรุปกินความข้อเสนอหลักของชงในเรื่องรัฐสยาม/ไทยได้เป็นอย่างดี โดยชงเสนอว่าควรพิจารณาความเป็นรัฐอธิปไตย (sovereign statehood) จาก 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1) การรวมศููนย์์อำนาจทางการเมืือง (political centralisation) 2) บููรณภาพแห่่งดิินแดน (territorial exclusivity) และ 3) อำนาจอิิสระในการดำเนิินกิิจการกัับภายนอก (external autonomy) เพื่อพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นของรัฐสยาม/ไทย และภาพที่ 4.1 นี้เองที่ช่วยสรุปภาพรวมพัฒนาการของการก่อตัวความเป็นรัฐอธิปไตยของสยาม/ไทยได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจัยอะไรละที่เป็นจักรกลสำหรับของการขับเคลื่อนพัฒนาการนี้?
ภาพจากหนังสือ บงการธิปไตย หน้า 194
ในอดีตมีข้อเสนอมากมายตั้งแต่ปัจจัยภายใน ปัจจัยผู้นำ การปรับตัวให้รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลก ปัจจัยทางเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 4 ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริง และปัจจัยอื่น ๆ แล้วปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยชี้ขาดจริง ๆ ของการรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของสยาม/ไทย ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยาก และคงมิอาจสามารถหาคำตอบที่ฟันธงแน่นอนได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็อาจเสนอปัจจัยบางประการที่มาจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน การทำเช่นนั้นอาจจะได้ใกล้เคียงคำตอบของคำถามดังกล่าวมากที่สุด และงานของชงนี้ก็ถือเป็นงานชิ้นหนึ่งที่พยายามทำในเรื่องดังกล่าว โดยงานชิ้นนี้ของชงได้นำเสนอปัจจัยภายนอกที่ลงไปพิจารณาถึงโครงสร้างการตัดสินใจของปัจจัยดังกล่าวอย่างรอบด้าน อีกทั้งยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายนอกเข้ากับปัจจัยภายในที่ช่วยชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่ไม่ควรแยกการศึกษาสองปัจจัยนี้ขาดจากกัน ซึ่งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ดังกล่าวช่วยทำให้น้ำหนักของข้อเสนอของงานชิ้นนี้หนักแน่นอย่างมาก
ดังนั้นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ต้องการนำเสนอนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการก่อตัวเป็นรัฐอธิปไตยของสยาม/ไทยนั้น เป็นผลมาจากทัศนคติของมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสเกี่ยวกับต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเข้ายึดครองสยามให้เป็นอาณานิมคมของตน หรือถ้าหากพูดอีกแบบแบบวิชาการหน่อยก็อาจพูดว่าตัวแปรต้นที่ทำให้เกิดตัวแปรตาม (สยาม/ไทยก่อตัวเป็นรัฐอธิปไตย) คือ ทัศนคติของประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสว่าด้วยต้นทุนค่าเสียโอกาสของแทรกแซง
ผมขอขยายความเรื่อง “ทัศนคติของประเทศมหาอำนาจเกี่ยวกับต้นทุนค่าเสียโอกาสของแทรกแซง” ตามนิยามของชงคืออะไร?
การแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจคือการพยายามยึดช่องทางการเข้าถึงทรัพยากร การขนส่ง และจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของดินแดนที่ชาติมหาอำนาจต้องการล่ามาเป็นอาณานิคมของตน การแทรกแซงดังกล่าวจึงเป็นการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจต่าง ๆ ในยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้น แต่การแทรกแซงไม่ใช่เป็นการยึดครองเพื่อมาเป็นอาณานิคมของประเทศตนเพียงเท่านั้น ยังมีรูปแบบการแทรกแซงอื่น ๆ อีก ตามแต่ทัศนคติของต้นทุนค่าเสียโอกาสของแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจนั้น ๆ พิจารณาจากข้อมูลต่าง ๆ และเหตุการณ์รอบด้านของประเทศตนและประเทศคู่แข่ง ตามที่ชงเสนอ กล่าวคือหากมีต้นทุนที่สูงมาก อีกทั้งความสัมพันธ์ของประเทศมหาอำนาจกับชนชั้นนำท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้เอนเอียง หรือเกลียดชังประเทศมหาอำนาจใดที่กำลังแข่งขันอยู่เป็นพิเศษ การเข้าไปยึดครองเป็นอาณานิคมอาจจะเป็นเรื่องที่เสียเวลา และสิ้นเปลืองงบประมาณไปได้ อีกทั้งอาจเป็นโอกาสให้คู่แข่งอีกประเทศเห็นเป็นช่องทางสำหรับเพิ่มอำนาจหรือศักยภาพของตนเพื่อมาแข่งกับตนก็เป็นได้
ดังนั้นผลดังกล่าวตามคำอธิบายของชงทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสเห็นว่าการสนับสนุนให้สยาม/ไทยดำรงเอกราชของตนไว้จะเป็นประโยชน์ต่อตนมากกว่าที่จะไปยึดครองของมาเป็นอาณานิคมของตน เพราะทั้งสองประเทศ ณ เวลานั้น หวั่นเกรงต่ออิทธิพลของเยอรมนีที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากอังกฤษและฝรั่งเศสต่างขัดแย้งกันเองเสียแล้ว จะเป็นการลดถอนอำนาจและศักยภาพของตนลง อาจเป็นการเปิดทางให้เยอรมนีเข้ามาขยายอิทธิพลที่อาจกระทบผลประโยชน์ของพวกเขาได้
ดังนั้นเราอาจมองงานของชงเป็นงานประวัติศาสตร์(นิพนธ์)ว่าด้วยการก่อตัวของรัฐสยาม/ไทยที่พิจารณาความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันระหว่างปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านกรอบคิดเรื่องทัศนคติต้นทุนค่าเสียโอกาสของการแทรกแซงในมุมมองของประเทศมหาอำนาจ เพราะสิ่งที่ชงศึกษาเป็นการเผยให้เห็นพัฒนาการของก่อรูปเป็นรัฐอธิปไตยในอีกรูปแบบหนึ่ง หรือเป็นเรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์ทางเลือกก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถอ่านงานของชงเป็นเสมือนข้อเสนองานวิจัยที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง เพราะชงได้พยายามประมวลภาพใหญ่ของวิเคราะห์ในเชิงงานวิจัยได้เป็นอย่างดี สามารถยึดกุมประเด็นได้แน่น และค่อย ๆ คลี่คลายทีละประเด็นอย่างเป็นระบบมาก ๆ ข้อเสนอต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์ของชงจึงเป็นระเบียบและหลักฐานรองรับที่หนักแน่นและชัดเจน เราจึงสามารถอ่านงานของชงในฐานะข้อเสนองานวิจัยที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง สำหรับเป็นตัวอย่างเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยหรือข้อเสนองานวิจัยของเราต่อไป
การประชุม Berlin Conference ในปี 1884-1885
เพื่อจัดการจัดแบ่งอาณานคิมในทวีปแอฟริการะหว่างประเทศมหาอำนาจในยุโรป (ที่มา)
นอกจากนี้ชงยังได้เปิดทางให้กับประเด็นที่น่าจะไปศึกษาต่อไปในอนาคต ซึ่งผมคิดว่ามีอย่างน้อย 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
1) เพื่อจะชี้ว่าการพัฒนาเป็นรัฐอธิปไตยของสยามว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัย ความช่วยเหลือจากชาวต่างชาตื จึงน่าจะศึกษาชาวต่างชาติที่สยามว่าจ้างให้มาเป็นที่ปรึกษา เจ้ากรม และอื่น ๆ ว่ากลุ่มคนพวกนี้เข้ามาช่วยพัฒนาอะไรสยามบ้าง และส่งอย่างไรต่อพัฒนาการของความเป็นรัฐอธิปไตยของสยาม/ไทยในเวลาต่อมา
2) นโยบายของรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสต่อสยามในช่วงปี 1893-1922 ว่ามีแนวนโยบายอย่างไรกันแน่เพื่อที่จะเสริมข้อเสนอของชงให้หนักแน่นไปมากกว่าเดิม
3) ประเด็นเรื่องนโยบายของเยอรมนีต่อสยามในช่วงปี 1893-1922 ความขัดแย้งของเยอรมนีต่ออังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะการเมืองระหว่างประเทศในยุโรป โดยเฉพาะ 3 ประเทศนี้ถือเป็นปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญต่อการคิดคำนวณต้นทุนค่าเสียโอกาสสำหรับการแทรกแซงเพื่อยึดครองรัฐริมขอบโลก เป็นต้น
งานชงจึงถึงเป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่นำของเก่ามาประมวลและสังเคราะห์ใหม่ เป็นเสมือนการปรับปรุงบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งให้มีความโดดเด่นและน่าดึงดูด ทาสีที่สว่างขึ้นให้กับผนังที่สีอาจเริ่มดูมืดมนมานาน หรือสีเริ่มลอกจนไม่น่าชำเลืองมอง พร้อมมอบแว่นตาทางทฤษฎีให้มองผนังเหล่านั้นในมุมที่แตกต่าง เป็นเสมือนแว่นขยายที่ช่วยขยายจุดบางจุดที่เราอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือแว่นที่ใส่อยู่ไม่เอื้อให้มองเห็นมุมมองอื่น ๆ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการเปิดม่านพาชมบ้านที่ปรับปรุงใหม่ ชวนพิศดูจุดต่าง ๆ ในนามของ “การบงการ” ให้เราได้กลับคิดใคร่ครวญอีกสักครา…
__________________
หน้าที่เข้าชม | 198,158 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 131,429 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |