สิงห์ สุวรรณกิจ[1]
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หนังสือของชาญ พนารัตน์ พาเราไปพบปะยักษ์ใหญ่แห่งวงการสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์อีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักในไทยเท่าไรนัก นั่นคือนอร์เบิร์ต เอไลอัส ภาษาของชาญอ่านลื่น ผู้อ่านสามารถจับใจความได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อวางหนังสือลง ก็สามารถเห็นภาพรวมของชีวิต ผลงาน และความคิดของเอไลอัสได้อย่างแจ่มชัด รวมถึงได้แง่คิดต่อสังคมไทยเนื่องจากชาญได้แทรกกรณีตัวอย่างต่างๆ ที่เชื่อมโยงเอไลอัสเข้ากับประวัติศาสตร์ใกล้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกีฬาในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยามอันเป็นหัวข้อที่เขาเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าบางส่วนบางหน้าเต็มไปด้วยศัพท์แสงและข้อถกเถียงทางวิชาการที่ต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจไม่น้อย แต่ก็เป็นธรรมดาของหนังสือ “กึ่งวิชาการกึ่งมวลชน” ในแนวทางแบบที่สำนักพิมพ์ Illuminations Editions นำเสนอกับผู้อ่านเสมอๆ ซึ่งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเข้มข้นและความสลับซับซ้อนของแนวคิดและข้อถกเถียงต่างๆ ไปอย่างสิ้นเชิงได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนบทปริทัศน์นี้ก็ยังเห็นว่าเป็นหนังสือที่ย่อยความคิดและมีตัวอย่างมากพอให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีเข้าถึงได้ ซึ่งก็ถือเป็นคุณูปการของหนังสือเล่มนี้ได้แล้วประการหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็แก่ผู้ปริทัศน์ที่สามารถมอบหมายให้นักศึกษาในวิชาต่างๆ และในหลายระดับชั้นอ่านได้ (โดยไม่ถูกนักศึกษา “มองแรง” กลับมาว่าให้อ่านแต่บทความภาษาอังกฤษ!)
ปริทัศน์นี้คงจะไม่ได้ลงรายละเอียดของหนังสือเท่าไรนัก เนื่องจากมีผู้ปริทัศน์ไว้แล้วบทหนึ่งนั่นคือ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ นอกจากนี้ บทนำหนังสือโดยกีรติ ชื่นพิทยาธร รวมถึงเนื้อหาในหนังสือของชาญเองก็สรุปใจความไว้ได้ดีมากอยู่แล้ว จนการสรุปเนื้อหามาลงในที่นี้คงจะเป็นการทำลายอรรถรสที่ผู้อ่านพึงจะได้รับด้วยตนเองไปเสียมากกว่า ดังนั้นปริทัศน์นี้จึงจะเป็นการอ่านจากสายตานักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง โดยเฉพาะในฐานะผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งมีชื่อของเอไลอัสปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง กระนั้นเอไลอัสก็มักจะได้รับการพิจารณาในฐานะ “ผู้บุกเบิกนำร่อง” การศึกษาอารมณ์ความรู้สึกในอดีต หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นคือ ประวัติศาสตร์ของการกดเก็บอารมณ์ความรู้สึก อันเป็นกระบวนการทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งทฤษฎีเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกในระยะหลังมักจะวิพากษ์วิจารณ์และพยายามไปให้ไกลกว่าวิธีคิดเช่นนี้ จนทำให้เราในชั้นเรียนมักเลยผ่านไปพูดคุยเกี่ยวกับนักคิดคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนี้ของชาญจึงช่วยผู้ปริทัศน์ขยายความเข้าใจและย่นย่อเวลาในการรวบยอดความคิดของเอไลอัสได้อย่างชะงัด บทปริทัศน์นี้จะเป็นการเลือกนำเสนอบางแง่มุม โดยเฉพาะส่วนที่ทำให้ผู้เขียนประทับหรือประหลาดใจ และส่วนที่มีคำถามสงสัยที่เชิญชวนให้คิดต่อยอดจากเอไลอัสต่อไป
ชาญเปิดหนังสือด้วยวิธีคลาสสิคคือเล่าประวัติของเอไลอัส แต่ก็ได้เชื่อมโยงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประสบการณ์ชีวิตของเอไลอัสมีผลต่อวิธีคิดของเขาอย่างไร ในกรณีของเอไลอัสนั้น หมุดหมายสำคัญ หรือจะเรียกให้ตรงกว่านั้นคือ รูโหว่ ของชีวิตเขานั้นคงจะหนีไม่พ้นความเป็นยิวในช่วงที่สังคมเยอรมันกำลังกลายเป็นฟาสซิสต์มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เอไลอัสสูญเสียมารดาให้กับความบ้าคลั่งของเชื้อชาตินิยมนาซีในห้องรมควันแห่งเอาชวิทซ์ เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่เขา “ไม่มีทางก้าวพ้น ... ไม่มีทางจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้”[2] ข้อนี้ให้ผู้ปริทัศน์ประหลาดใจเพราะไม่เคยทราบมาก่อนว่า The Civilizing Process ผลงานชิ้นเอกซึ่งเป็นที่รู้จักดีที่สุดของเอไลอัส อันว่าด้วยประวัติศาสตร์ของการกดเก็บอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ ให้อยู่ในร่องในรอยของจรรยามารยาทมากขึ้นเรื่อยๆ ของชาวยุโรปในช่วงยุคกลางและต้นสมัยใหม่นั้นเป็นหนังสือที่มีเบื้องหลังเกี่ยวพันกับนาซีและค่ายกักกันชาวยิวด้วย ชาญแสดงความเชื่อมโยงของประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหัวข้อ “การเสื่อมถอยของความศิวิไลซ์” (หน้า 64-70) ซึ่งสะท้อนว่าเอไลอัสซ่อนการวิจารณ์ความเป็นฟาสซิสต์ของสังคมเยอรมนีในช่วงชีวิตของเขาอย่างเผ็ดร้อนเอาไว้ภายใต้ “ศาสตร์” แห่งการศึกษาแบบสังคมวิทยาเชิงประวัติศาสตร์ระยะยาวร่วมหลายศตวรรษอย่างไร (“...รัฐเยอรมันไม่สามารถรวมศูนย์อำนาจการใช้ความรุนแรง จนนำไปสู่การพัฒนาการควบคุมตนเองขึ้นมาได้”[3] หรือพูดง่ายๆ ก็คือด่ารัฐเยอรมันไม่ “ศิวิไลซ์” เท่าอังกฤษและฝรั่งเศส และประณามสังคมเยอรมันที่ยังคงชื่นชอบการใช้ความรุนแรงและนิยมเผด็จการจนกลายเป็นเนื้อนาให้ฟาสซิสม์เติบโตนั่นเอง) ในแง่นี้ เอไลอัสก็คล้ายคลึงกับลูเซียง แฟบวร์ (Lucien Febvre) นักประวัติศาสตร์แห่งสำนักอันนาลส์อันโด่งดังของฝรั่งเศส ผู้เป็นคนแรกๆ ที่เรียกร้องให้นักประวัติศาสตร์หันมาสนใจอารมณ์ความรู้สึกในอดีต แต่ก็ในฐานะที่มันมีแนวโน้มจะพลุ่งพล่านรุนแรงจนเราควรศึกษาว่าสังคมในยุคต่างๆ ควบคุมจัดการมันอย่างไร ซึ่งบางสังคมในบางยุคก็ทำได้ดีกว่าสังคมอื่นในยุคอื่นๆ ทั้งนี้แนวคิดนี้ของแฟบวร์ก็งอกเงยออกมาจากบริบททางการเมืองของการเรืองอำนาจของนาซีเหนือฝรั่งเศสในช่วงชีวิตของเขาเช่นกัน
The Civilizing Process ผลงานชิ้นสำคัญของเอไลอัส ฉบับภาษาเยอรมัน (ซ้าย) และฉบับภาษาอังกฤษ (ขวา)
นอกเหนือจาก The Civilizing Process ชาญยังทำให้เห็นว่ารูโหว่และบาดแผลใหญ่ในชีวิตของเอไลอัสยังแผ่ซ่านไปในงานชิ้นอื่นๆ ตราบชั่วชีวิตของเขาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเน้นย้ำว่ามนุษย์อยู่ในสังคมเสมอและไม่มีวันเป็นอิสระโดยสมบูรณ์จากสังคมได้ จนทำให้เครือข่ายความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองต่างๆ (figurations) นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในวิธีคิดของเอไลอัส สำคัญจนกระทั่งมันกลายเป็นจักรกลขับเคลื่อนประวัติศาสตร์เสียยิ่งกว่าระบบการผลิตของมาร์กซ์หรือการพลิกผันของอำนาจ-ความรู้ในแบบฟูโกต์เสียอีก (บทที่ 5) หรือกระทั่งในการใช้มโนทัศน์ฮาบิตุส (habitus) หรือที่ชาญเรียกว่า “การเรียนรู้ทางสังคมที่ติดตัว” นั้น เอไลอัสก็ยังเน้นไปที่ความเป็นเครือข่ายของมัน ดังที่ว่า
เอไลอัสไม่ได้เน้นพิจารณาโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงวัตถุวิสัยของผู้คนที่ถือครองอำนาจหรือทุนอย่างไม่เท่าเทียมเหมือนกับบูร์ดิเยอ [Pierre Bourdieu ผู้ทรงอิทธิพลแห่งสังคมวิทยาที่พัฒนามโนทัศน์ฮาบิตุสในอีกทิศทางหนึ่ง – ผู้ปริทัศน์] ในทางกลับกันเอไลอัสให้ความสนใจกับบทบาทของผู้กระทำการในการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นในเครือข่าย... มนุษย์ไม่ได้ผลิตโครงสร้างอะไร หากแต่มนุษย์ต่างก็สานสัมพันธ์กันเสมือนเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงพัวพันต่อรอง[4]
โดยเครือข่ายความสัมพันธ์ต่างๆ นี้มักจะเหนียวแน่นมากขึ้นไปพร้อมๆ กับความ “ศิวิไลซ์” ที่เพิ่มขึ้น เช่น มารยาทชาววังขยายตัวออกไปสู่สังคมนอกวังในยุโรปตะวันตกก็เมื่อกษัตริย์ ขุนนาง และกระฎุมพีได้สานความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงพัวพันขึ้นมาในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กษัตริย์ต้องการขุนนางและกระฎุมพีในการดำเนินงานบริหารรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขณะที่ขุนนางและกระฎุมพีก็ต้องการรักษาหรือปรับปรุงสถานะทางวัฒนธรรมและการเมืองของตน จนทำให้เกิดระบบจรรยามารยาทในการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แต่นัยอีกด้านของเหรียญเดียวกันนี้ก็คือเครือข่ายความสัมพันธ์ต่างๆ นี้ก็สามารถแตกหักและล่มสลายลงได้เสมอเช่นกัน
ในบทที่ 6 ในการพิจารณาเรื่องพลวัตของกลุ่มทางสังคม เอไลอัสเน้นย้ำว่าความแตกต่างหลากหลายเชิงหน้าที่ในสังคมนั้นแปรผันตรงกับการพึ่งพิงพัวพันกันระหว่างกลุ่มทางสังคมที่จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และความสำคัญของการมีสถาบันที่ทำหน้าที่ประสานงานและบูรณาการ เพราะว่าหากหน้าที่นี้ล้มเหลว สังคมก็พร้อมจะแตกแยกเป็นส่วนๆ ได้เสมอ นอกจากนี้ ในการศึกษาพัฒนาการในเกมกีฬาและเวลาว่าง เขาก็มองมันในฐานะตัวบ่งชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการดึงความรุนแรงออกจากชีวิตประจำวันและการปะทะกันระหว่างกลุ่ม ซึ่งหากล้มเหลว ความรุนแรงก็มีแนวโน้มจะระเบิดออกในสังคมต่อไป (บทที่ 4) หรือในการคิดเรื่องตัวแบบการแข่งขันต่อสู้และตัวแบบเกม ซึ่งก็จะพบว่ามีผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่าและอ่อนแอกว่าเสมอ อันเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในสังคมมนุษย์ยุคบุพกาลแล้ว และมันขึ้นกับว่าผู้อ่อนแอจะ (ร่วมกัน) พัวพันสัมพันธ์เข้าต่อรองกับผู้แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไรและประสบผลหรือไม่ (บทที่ 5) ไปจนถึงการมองว่ากลุ่มทางสังคมนั้นทำให้เกิด “ตัวฉัน” และ “พวกเรา” ได้อย่างไร และนำไปสู่การแบ่งแยกการเป็น “คนใน” และ “คนนอก” หรือในภาษาของเอไลอัสก็คือ “พวกมีหลักปักฐาน” (the established) กับ “คนนอก” (the outsiders) นั่นเอง (บทที่ 6) จะเห็นได้ว่าความกลัวว่าเครือข่ายที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมมนุษย์จะแหลกสลายลงเมื่อใดก็ได้นั้นติดตามเอไลอัสไปทุกหนแห่ง เงามืดแห่งเอาชวิทซ์และความโศกเศร้าจากการเป็นผู้สูญเสียและถูกไล่ล่าประหัตประหารนั้นซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของเอไลอัสเสมอ ไม่ว่าเขาจะพยายามทำให้มันอยู่ในรูปของ “ศาสตร์” ที่มีระบบระเบียบในการศึกษาวิจัยมากเพียงใดก็ตาม
น้ำเสียงเจือปนความโศกาอาดูรนั้นชัดเจนที่สุดในส่วนที่เอไลอัสเขียนถึงความตาย อันเป็นส่วนที่ผู้ปริทัศน์นี้ประทับใจที่สุดในหนังสือของชาญด้วย (บทที่ 3, หน้า 56-64) ขณะที่ในยุคก่อนอุตสาหกรรม ความตายและการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปและใกล้ชิดกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงขั้นมีบทกลอนที่กล่าวถึงความตายในลักษณะขบขันและสนุกสนานนั้น ยุคแห่ง “ความศิวิไลซ์” พยายามปิดซ่อนเร้นและดึงความตายออกจากชีวิตประจำวันของผู้คน[5] อายุขัยที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์สมัยใหม่ทำให้ความตายเป็นเรื่องไกลตัว (เทียบกับอายุขัยเฉลี่ยในช่วงจักรวรรดิโรมันคือ 25 ปี เป็นต้น) และสังคมก็สร้างภาพฝันแห่งการป้องกันต่อต้านความคิดเกี่ยวกับความตายขึ้นอย่างแน่นหนา ตั้งแต่ยังเด็กผู้คนกดเก็บปิดกั้นไม่ให้ความกังวลต่อความตายเข้าไปฝังอยู่ในความทรงจำ ผลที่ตามมาก็คือในยุครัฐชาติ-อุตสาหกรรม ความตายคือความโดดเดี่ยว และผู้ใกล้ตายก็ถูกผลักไสให้ไปอยู่หลังฉาก ดังในคำของเอไลอัสที่ว่า
การที่พวกเราต่างก็ไร้ความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือ และให้ความรักความอบอุ่นอันเป็นสิ่งที่คนใกล้ตายอยากได้มากที่สุด ในห้วงยามแห่งการจากลามนุษย์คนอื่นๆ เพียงเพราะความตายของคนอื่นคือเครื่องย้ำเตือนถึงความตายของพวกเราเอง การมองดูคนใกล้ตาย ได้เขย่าแฟนตาซีแห่งการป้องกันซึ่งผู้คนมีแนวโน้มที่จะสร้างมันขึ้นมาประดุจกำแพงต้านความคิดเกี่ยวกับการตายของพวกเขาเอง...[6]
และความตายที่โดดเดี่ยวที่สุดท่ามกลางสังคมสมัยใหม่ก็คือในห้องรมแก๊สที่ปราศจากความเห็นอกเห็นใจหรือเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์ใดๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งพวกเราต่างก็ไร้ความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือ และให้ความรักความอบอุ่นอันเป็นสิ่งที่คนใกล้ตายอยากได้มากที่สุด ประโยคนี้เอไลอัสหลั่งน้ำตาให้กับแม่ แต่มันก็ปกคลุมพวกเราที่เหลือที่อยู่ภายใต้ความ “ศิวิไลซ์” ของสังคมด้วย ราวกับว่ามันเป็นราคาที่ต้องจ่ายเมื่อชีวิตของเรายืนยาวขึ้น
ห้องรมแก๊สในค่ายกักกันเอาชวิตซ์
ฆอรเฆ ลูอิส บอรเฆส (Jorge Luis Borges) นักเขียนชาวอาร์เจนตินากล่าวไว้ในเรื่องสั้น Tlön, Uqbar, Orbis Tertius ว่าหนังสือที่ไม่ได้รวมเอาหนังสือตรงกันข้าม (counterbook) เข้าไว้ในเล่มด้วยนั้นถือว่ายังเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าบอรเฆสกำลังพรรณนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเอกภพประหลาดที่ชื่อ Tlön แต่เราก็อาจถือมันว่าเป็นวิถีปฏิบัติที่ดีในวงวิชาการได้ด้วย ในแง่นี้หนังสือของชาญก็สมบูรณ์ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งเมื่อชาญมอบเนื้อที่ 12 หน้าในบทที่ 8 ให้กับข้อวิพากษ์ต่างๆ ต่อแนวคิดของเอไลอัส เช่น การขาดมิติการหยิบยืมภูมิปัญญาจากรัฐอื่น โดยรัฐที่ยังไม่สามารถรวมศูนย์อำนาจการใช้ความรุนแรงและการเงินได้นั้นอาจจะได้รับอิทธิพล “ความศิวิไลซ์” จากรัฐอื่นก็ได้ ซึ่งทำให้มีผู้วิจารณ์ว่าเอไลอัสเน้นพัฒนาการภายในพื้นที่มากเกินไป หรือเหตุใดที่ผู้ที่ผ่านกระบวนการ “ศิวิไลซ์” แล้วนั้น จึงใช้ความรุนแรงเสียเองในโลกอาณานิคม เป็นต้น ด้วยสปิริตเช่นนี้ ผู้ปริทัศน์ขอเพิ่มข้อวิพากษ์ข้างล่างนี้ที่โดยส่วนใหญ่น่าจะมุ่งไปที่เอไลอัสมากกว่าหนังสือของชาญ แม้ว่าบางครั้งบางคราวก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากมันอาจจะผลจากการนำเสนอภาพตัวแทนของเอไลอัสผ่านสายตาของชาญได้บ้างเช่นกัน
· แม้ว่าชาญจะเกริ่นออกตัวว่า สำหรับเอไลอัส คำว่า “ศิวิไลซ์” มิได้หมายถึงคุณลักษณะที่ตรงข้ามกับความป่าเถื่อนหรือไร้อารยะอย่างที่มักจะเข้าใจกัน[7] แต่พฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เอไลอัสยกขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่ามันถูกทำให้เลือนหายไปในเวลาต่อมานั้นก็ดูจะสอดคล้องกับนิยามโดยทั่วไปของคำว่า “ไร้อารยะ” หรืออย่างน้อยก็ “ไร้มารยาท” ทั้งสิ้น ทุกวันนี้คงจะไม่มีใครรู้สึกเฉยๆ กับพฤติกรรมต่อไปนี้: การถ่มน้ำลายบนโต๊ะอาหาร การป้ายมูกตามเสื้อผ้าหรือร่างกาย การฆ่าและชำแหละสัตว์ในครัวเรือน การมีเพศสัมพันธ์ในที่ต่างๆ ไปทั่ว การเปลือยกายในห้องอาบน้ำรวมหรือห้องนอน การนอนร่วมเตียงกับแขกหรือคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัว การขับถ่ายในที่สาธารณะ การทิ้งศพไว้เกลื่อนกลาดและภาพความตายในชีวิตประจำวัน การประหารชีวิตนักโทษต่อหน้าผู้คน การเผาสัตว์ทั้งเป็นเพื่อความบันเทิง การฆ่าคนด้วยความสนุกสนานของอัศวิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นมาตรวัดที่คนขาวใช้กับคนในพื้นที่อื่นนอกยุโรปและยังใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ายึดพื้นที่เหล่านั้นเป็นอาณานิคม รวมถึงกลายมาเป็นมาตรที่คนในสังคมเดียวกันใช้ตัดสินคนต่างชนชั้นอีกด้วย การบอกปัดว่านี่เป็นเพียงมิติภาพตัวตน (self-image) ของผู้ถือตนว่าศิวิไลซ์นั้นยังไม่หนักแน่นเพียงพอในความเห็นของผู้ปริทัศน์ที่จะดึงเอไลอัสออกจากข้อกล่าวหาว่าเขา (แอบ) สมยอมไปกับนิยามและมาตรฐานดังกล่าวไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาใช้มันวัดพฤติกรรมกักขฬะอันธพาลของรัฐเยอรมันก่อนและระหว่างที่ฮิตเลอร์ครองอำนาจ หากเอไลอัสจะประณามฮิตเลอร์ด้วยข้อหาว่าเป็นผลพวงจากความล้มเหลวของ civilizing process ในสังคมเยอรมัน ก็แปลว่ามันต้องมีมาตรฐานกลางของความศิวิไลซ์อะไรบางอย่างดำรงอยู่ (ที่เยอรมนีไปไม่ถึง) ซึ่งก็เท่ากับเขาก็ต้องยอมรับด้วยว่าเขากำลังเห็นพ้องอย่างน้อยก็ลับๆ ไปกับไม้บรรทัดที่ชื่อศิวิไลซ์นี้ ที่โดยบังเอิญก็เป็นอันเดียวกับที่เจ้าอาณานิคมชาวยุโรปใช้ตัดสินคนพื้นเมืองว่าป่าเถื่อนล้าหลังเช่นกัน จุดนี้เป็นทางแยกที่เอไลอัสต้องเลือก เพราะ he can’t have it both ways! จะประณามฮิตเลอร์ โดยหลีกเลี่ยงไม่ดูถูกคนพื้นเมืองนอกยุโรปไม่ได้ เพราะมันมาตรวัดเดียวกัน และตกลงแล้ว ความ “ศิวิไลซ์” เป็นเพียงภาพมายา เป็น “สมมติบัญญัติ” อันเป็นผลจากการประกอบสร้างทางสังคมและการหล่อหลอมทางประวัติศาสตร์ (ดังที่สะท้อนในคำว่า self-image หรือมายาภาพในกระจกของคนหลงตัวเอง) หรือเป็นสารัตถะ เป็นมาตรวัด เป็นไม้บรรทัดที่เอไลอัสเองก็เชื่อและยึดถือเอามาใช้ในการชั่งตวงวัดสังคมเยอรมันกันแน่?
หรือไม่อย่างนั้นก็ควรเลือกใช้คำอื่นมากกว่าคำว่า “ศิวิไลซ์” ที่รังแต่จะก่อปัญหาทางมโนทัศน์อย่างไม่หยุดหย่อน· ต่อเนื่องจากข้อข้างบน ผู้ปริทัศน์รู้สึกว่าเอไลอัสไม่ได้ประณาม “ความศิวิไลซ์” (รวมถึงคำว่า “อารยะ” ในภาษาไทยของชาญ) อย่างเพียงพอ ไม่ว่าใครจะเลือกหยิบมันไปแปะไว้บนหน้าผากของตนเองก็ตาม และเอไลอัสแอบเห็นดีเห็นงามกับไม้บรรทัดนั้นไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยนี่ก็เป็นความรู้สึกที่ผู้ปริทัศน์ได้จากการอ่านหนังสือของชาญ ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามนี้ ชาญก็น่าจะทำให้ประเด็นว่าด้วยทัศนะของเอไลอัสต่อ “ความศิวิไลซ์” กระจ่างกว่านี้ได้
Orientalism by Edward Said
ต่อข้อนี้ ผู้เขียนมีตัวอย่างในใจของการวิพากษ์ “ความศิวิไลซ์” อย่างถึงรากมากกว่า เช่น ในวิธีคิดของหลังอาณานิคมศึกษา (post-colonialism) อย่างในหนังสือ Orientalism ของเอ็ดเวิร์ด ซาอิด (Edward Said) ที่วิพากษ์ “ความศิวิไลซ์” มิใช่เพียงในพฤติกรรมการแสดงออกภายนอกที่มากด้วยจรรยาปราณีต แต่กลวงเปล่าของคนขาวเจ้าอาณานิคมเท่านั้น แต่ยังเสนอด้วยว่าความคิดเรื่อง “ศิวิไลซ์” แฝงฝังอยู่ใน “การรู้” ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการมองโลก ทัศนคติ วิธีคิด การรับรู้และการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ ตัวตนเรา-เขา แม้ว่าเราจะไม่ถูกปกครองโดยเจ้าอาณานิคม (แล้ว) ก็ตาม และเช่นนั้นเราจึงควรรื้อมันลงให้หมดทั้งสนามความคิด[8] หรือข้อเสนอของไมเคิล ทาวสิก (Michael Taussig) ที่ว่ากระทั่งในรัฐสมัยใหม่ เลือด ความรุนแรง และการบูชายัญนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่แฝงอยู่ในพิธีกรรมและการดำเนินงานต่างๆ รวมไปถึงการทำสงคราม “อย่างกระหายเลือด” ของรัฐ กระทั่งในรัฐที่ดูจะเป็นเหตุเป็นผลอย่างสหรัฐอเมริกาหรือรัฐยุโรปตะวันตกก็ตาม[9] ซึ่งก็ชวนทำให้ผู้ปริทัศน์มีคำถามต่อว่า หากเอไลอัสแอบมีอังกฤษหรือฝรั่งเศสเป็นโมเดลของกระบวนการศิวิไลซ์ที่ประสบความสำเร็จ (เช่นในหนังสือของชาญหน้า 67) แล้วเราจะอธิบายความกระหายเลือดที่รัฐอังกฤษ ฝรั่งเศส (และอเมริกัน) กระทำในสงครามต่างๆ หรือในการปราบปรามพลเมืองของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งเมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วอย่างไร การบอกว่านี่เป็นเพียง “ช่วงถดถอยของความศิวิไลซ์” ในสังคมเหล่านี้น่าจะทำลายข้อเสนอของเอไลอัสเสียมากกว่า (มันไม่จำเป็นต้องเป็นมีคนกักขฬะอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสงคราม เพราะผู้นำมากเสน่ห์อย่างบารัค โอบามา ก็ก่อสงครามของตนเองเช่นกัน) หรือกล่าวให้ง่ายก็คือว่า ความรุนแรงในสังคมศิวิไลซ์เป็นเพียงข้อยกเว้น (ตามข้อเสนอของเอไลอัส) หรือจริงๆ แล้วมันมีความรุนแรงฝังตัวอยู่เนื้อในของทุกๆ ความศิวิไลซ์กันแน่? กระทั่งในกฎหมายและระเบียบสังคม ในทัศนะของสลาวอย ชิเช็ค (Slavoj Žižek) ผู้เห็นตามฌาคส์ ลากอง (Jacques Lacan) นั้น มันไม่ได้เป็นคู่ตรงกันข้ามกับอาชญากรรมและการละเมิด แต่ถึงที่สุดแล้ว ตัวกฎหมายนั้นเองต่างหากคือการละเมิดอันสูงสุด ทุกๆ กฎหมายเกิดขึ้นจากบาดแผลแห่งอาชญา ยิ่งหากมองจากมุมมองของกฎที่ดำเนินมาก่อนหน้า เช่น กฎประเพณี กฎแห่งธรรมชาติ ฯลฯ การตรากฎหมายใหม่ขึ้นมาคืออาชญากรรมชนิดหนึ่งที่ทำลายสิ่งที่ดำเนินอยู่ก่อนหน้านั้นลงไป[10] เราจะพูดได้หรือไม่ว่ามันมี “ผี” หลอกหลอนทุกๆ กฎ ทุกๆ ระเบียบมารยาท ทุกๆ ความศิวิไลซ์ ดังเช่นที่ชาญและเอไลอัสได้บอกใบ้ไว้เองว่า เพื่อการสร้างรัฐที่รวมศูนย์อำนาจซึ่งจะเอื้อให้เกิดกระบวนการสร้างระบอบจรรยามารยาทขึ้นมานั้น จำต้องมีการใช้ความรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า (หน้า 37) ราวกับเนื้อในของผลไม้ที่ชื่อ “ความศิวิไลซ์” นั้นเต็มไปด้วยรูพรุนที่เกิดจากการทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก
· ชาญอ้างอิงเอไลอัสในเชิงอรรถหน้า 14 เพื่อบอกเราว่าเอไลอัสปฏิเสธความคิดแบบประวัติศาสตร์นิยม (historicism) ซึ่งเป็นวิธีคิดที่เน้นว่ามีขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ดำรงอยู่อย่างชัดเจนตายตัวและสังคมต่างๆ จะเปลี่ยนผ่านสู่ขั้นตอนเหล่านั้นอย่างเป็นเส้นตรง เช่น จากสังคมบุพกาลสู่ฟิวดัลสู่อุตสาหกรรม เป็นต้น แต่ผู้ปริทัศน์ก็คิดว่ามันยังไม่เพียงพอเช่นกัน เพราะเห็นด้วยกับบาร์บารา โรเซนวายน์ (Barbara Rosenwein) ที่ว่า หากอ่านในภาพรวมแล้ว The Civilizing Process ก็เป็นการนิพนธ์ประวัติศาสตร์อย่างเป็นเส้นตรงพอสมควร เมื่อการกดเก็บอารมณ์ความรู้สึกไม่ให้พลุ่งพล่านแส่ส่ายหาเรื่องนั้นมีกลไกที่ทรงประสิทธิภาพและประสบผลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสังคมผ่านจากยุคกลางเข้าสู่ยุคสมัยใหม่[11] นอกจากนี้ เราอาจจะเพิ่มเติมได้ด้วยว่าการที่เอไลอัสเสนอให้มี “ช่วงถดถอยของความศิวิไลซ์” ในประวัติศาสตร์นั้น ไม่ได้ทำให้ The Civilizing Process พ้นไปจากข้อหามองประวัติศาสตร์อย่างเป็นเส้นตรงได้เท่าไรนัก ทั้งนี้เช่นเดียวกับข้อวิจารณ์ข้างบน เอไลอัสมอง “ช่วงถดถอย” นี้เป็นข้อยกเว้น เช่นเยอรมนีช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นข้อยกเว้นนอกเหนือจากสิ่งที่ควรจะเป็น นั่นคือตัวแบบของกระบวนการศิวิไลซ์ที่ประสบผลกว่าอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส (หน้า 67) ราวกับว่ามันมีกฎทางประวัติศาสตร์ที่จะดำเนินคลี่คลายไป แม้ว่าจะเกิดข้อยกเว้นขึ้นมาสะดุดเป็นครั้งคราวก็ตาม ข้อนี้เป็นความตายตัวไม่น้อยไปกว่าประวัติศาสตร์นิยมเท่าไรนัก
ผู้ปริทัศน์มีความรู้สึกว่าเอไลอัสพยายามแก้ไขปัญหานี้ในงานชิ้นหลังๆ เช่นการเสนอเครือข่ายความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองในฐานะปัจจัยบ่งชี้ว่าสังคมจะเกี่ยวพันรวมตัวกันได้อย่างสอดประสานหรือแตกหักกระจัดกระจาย โดยเราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าผลจะออกไปในทิศทางใดนั้น ต้องการแก้ปมความเป็นเส้นตรงและตายตัวเกินไปของความเป็นประวัติศาสตร์ใน The Civilizing Process ให้ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง ชาญก็น่าจะชี้ได้ว่าจุดเปลี่ยนทางความคิด (ถ้ามีอยู่) ของเอไลอัสเกิดขึ้นประมาณเมื่อไรในผลงานชิ้นใด ก็จะสามารถช่วยทำให้เราได้ภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
The End of Dinner (1913), by Jules-Alexandre Grun
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอื่นย่อยๆ เช่น ในความคิดของเอไลอัส กระบวนการศิวิไลซ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นก่อนการรวมศูนย์อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบที่ชาญเน้นในหนังสือ มันน่าจะเกิดขึ้นแล้วในยุคกลางเมื่ออัศวินต้องควบคุมความประพฤติของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสูงศักดิ์ (the lady) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาที่แย้งเอไลอัสว่าการสร้างพิธีรีตองมากด้วยจรรยามารยาทอันวิจิตรนั้นน่าจะเกิดขึ้นแล้วในที่อื่นๆ ในสังคมด้วย เช่นในอารามสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งก็แปลว่ารัฐไม่ใช่ civilizer แต่ฝ่ายเดียว เราต้องตระหนักถึงข้อวิพากษ์เหล่านี้ โดยเฉพาะหากเราอยากต้องการเน้นย้ำตามเอไลอัสว่ามันเป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน มากกว่าจะมีจุดกำเนิดเพียงไม่กี่จุดเท่านั้น
ดังที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ข้อวิพากษ์เหล่านี้อาจจะปมขบคิดที่มุ่งไปหาเอไลอัสมากกว่าหนังสือของชาญ และเป็นเพียงบางส่วนที่ผู้ปริทัศน์พยายามคิดตั้งคำถามต่อยอดออกไป ซึ่งก็อาจจะพ้นจากขอบเขตของหนังสือก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้ผู้เขียนยังคงยืนยันว่าหนังสือ บนหาทางสู่อารยะ ของชาญ พนารัตน์ เล่มนี้นั้นควรค่าแก่การอ่านและพิจารณาโดยละเอียด โดยเฉพาะสำหรับนักศึกษาในสายสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ทุกระดับชั้น ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดของเอไลอัสก็ตาม อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเริ่มจากการตั้งคำถามง่ายๆ ใกล้ตัว เช่นว่า เหตุใดเราจึงไม่พบเห็นการถ่มน้ำลายบนโต๊ะอาหาร หรือโต๊ะประชุม หรือห้องรับแขก หรือการขับถ่ายของเสียในที่สาธารณะในสังคมไทยปัจจุบันแล้ว แล้วลองตอบมันอย่างเป็นประวัติศาสตร์ นี่คือสิ่งที่เอไลอัสพยายามทำ ลำพังเพียงการเชื่อมโยงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและร่างกายในระดับจุลภาค ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกและความคิดจิตใจ (The Civilizing Process คือการศึกษาพัฒนาการของอภิอัตตาหรือ superego ในปัจเจกบุคคล) เข้ากับความเปลี่ยนแปลงสังคมระดับมหภาคผ่านช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน และระดมสารพัดหลักฐานมาเพื่อพิสูจน์ความข้อนี้ข้อเดียว (เกือบ 600 หน้าในงานแปลภาษาอังกฤษ) รวมถึงการที่ชาญสามารถสรุปรวบยอดความคิดในหนังสือเล่มนี้และแนวคิดอื่นๆ ตลอดช่วงชีวิตของเอไลอัสให้อยู่ในภาษาที่อ่านง่ายและในรูปเล่มกระทัดรัดไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ปริทัศน์รู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งที่หนังสือเล่มนี้ได้ปรากฎขึ้นในบรรณพิภพภาษาไทย
[1] ผู้เขียนได้รับความเอื้อเฟื้อจากคุณพิพัฒน์ พสุธารชาติ แห่งสำนักอิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์ จนนำมาสู่การเขียนบทปริทัศน์นี้ จึงขอขอบคุณคุณพิพัฒน์และขอแสดงความยินดีกับ อ.ชาญ อีกครั้งไว้ ณ ที่นี้ด้วย
[2] อ้างใน ชาญ พนารัตน์, บนหนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของ Norbert Elias (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2565), 16.
[3] เรื่องเดียวกัน, 67.
[4] เรื่องเดียวกัน, 129.
[5] ในกรณีของสยาม ดูวิทยานิพนธ์ของภัทรนิษฐ์ เกียรติธนวิชญ์, “รัฐและสังคมสยามกับการจัดการความรู้สึก: ระบอบความสยดสยอง, พ.ศ. 2394-2453” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2562)
[6] ชาญ, อารยะ, 57.
[7] เรื่องเดียวกัน, 25.
[8] Edward Said, Orientalism (New York: Pantheon Books, 1978).
[9] ดูบทนำของ Michael Taussig, The Magic of the State (New York: Routledge, 1997).
[10] ดู Slavoj Žižek, For They Know Not What They Do: Enjoyment as a Political Factor (London: Verso, 2008) และ Jodi Dean, “Žižek on Law,” Law and Critique 15, no. 1 (January 2004): 1-24.
[11] Barbara Rosenwein, “Worrying about Emotions in History,” The American Historical Review 107, No. 3 (June 2002): 821-845. นอกจากนี้ โรเซนวายน์ยังวิจารณ์ด้วยว่าการที่เอไลอัสมองอารมณ์ความรู้สึกว่ามีลักษณะเป็นแรงดันจากภายในที่ต้องมีฝาภาชนะคอยปิด-กำกับ-ควบคุมเอาไว้นั้นเป็นวิธีคิดที่เก่ามาก และถูกจิตวิทยาการรับรู้ (cognitive psychology) และอีกหลายศาสตร์ปัดตกไปตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านควบคุมได้ยากแบบนี้มักจะถูกนักประวัติศาสตร์จัดวางไว้ให้กับยุคกลางที่ผู้คนมีลักษณะ “งอแง” เหมือนเด็ก ซึ่งจะค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ โรเซนวายน์ระบุว่าวิธีการคิดที่มีปัญหาเพราะมองยุคกลางอย่างตายตัวเช่นนี้ไม่ได้มีแค่ในงานเอไลอัสเท่านั้น แต่ยังเป็นลักษณะร่วมกันของนักประวัติศาสตร์อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งเก่าและใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Febvre, Stearns and Stearns, Huizinga หรือ Delumeau
___________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |