รัฐพล เพชรบดี เขียน
กวีและนักวิชาการอิสระ
ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอกล่าวว่านับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับวงการปรัชญาบ้านเรา ที่ในที่สุดหนังสือชิ้นสำคัญของเพลโตอีกเล่มอย่าง โปรตากอรัส (Protagoras) ฉบับพากย์ไทยก็ได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลก (ต้องขอขอบคุณท่าน อ.อุกฤษฏ์ แพทย์น้อย (ผู้แปล) ที่อุตสาหะอย่างมากในการทำหนังสือเล่มนี้ [ ที่สำคัญท่านได้เขียนคำอรรถาธิบายต่าง ๆ ไว้อย่างค่อนข้างละเอียดด้วย ]) และถ้าจะกล่าวถึงความสำคัญสั้น ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนก็ขอกล่าวว่า โปรตากอรัส เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ได้แสดงถึง ‘วิธีการของโสกราตีส’ (Socratic method) ไว้อย่างชัดเจน (บางเล่มที่นักอ่านอาจได้เคยเห็นหรือสัมผัสถึงวิธีการนี้มาก่อนก็อย่างเช่น ยูไธโฟร (Euthyphro) - แปลโดย อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ เมโน (Meno) - แปลโดย อ.พินิจ รัตนกุล) และที่สำคัญ โปรตากอรัส ยังเป็นหนังสือที่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘หนังสือสมัยต้น’ ที่ว่ากันว่าบันทึกในนั้นเป็นภาพและเสียงของโสกราตีสจริง ๆ อีกด้วย (ซึ่งงานสมัยกลางและสมัยหลังตามมติของนักวิชาการส่วนใหญ่ [ แม้ว่าจะไม่เอกฉันท์ ] ว่ากันว่าเป็นหลักปรัชญาและความคิดของเพลโตเองหากผ่านทางร่างทรงของโสกราตีส) โปรตากอรัส เป็นหนังสือที่บรรจุบทสนทนาไว้ไม่ยาวมากนัก แต่กระนั้นก็อัดแน่นไปด้วยประเด็นปัญหาปรัชญาต่าง ๆ อาทิเช่น ‘เราสามารถสอนให้คนมีคุณธรรมได้หรือไม่’ (หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ ‘คุณธรรมสามารถสอนให้กันได้หรือไม่’) ‘คุณธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมดใช่หรือไม่’ ‘ไม่มีมนุษย์แม้เพียงผู้หนึ่งผู้ใดที่จงใจจะกระทำเลวใช่หรือไม่’ หรือแม้แต่ประเด็นปัญหาอย่าง ‘สุขารมณ์คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ดีใช่หรือไม่’ (ซึ่งสำหรับประเด็นนี้ผู้เขียนต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ต้องขอสปอยล์ก่อนว่าใช่ เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญตรงที่ว่าไม่เคยมีงานชิ้นใดเลยของเพลโตที่ระบุว่าโสกราตีสมีทัศนคติเช่นนี้นอกจากใน โปรตากอรัส)
ซึ่งก็เป็นประเด็นปัญหาปรัชญาเหล่านี้เองที่ได้มีการพูดคุยถกเถียงผ่านทางสองตัวละครหลักคือโสกราตีสและโปรตากอรัส อย่างไรก็ดี ท่านผู้อ่านอาจฉงนว่าแล้วเพราะเหตุใดการโต้เถียงกันระหว่างบุคคลสองบุคคลนี้จึงมีความสำคัญ เหตุผลก็คือมันเป็นการพิสูจน์ระหว่าง philosopher หรือ sophist ว่าใครกันแน่เป็นผู้รู้จริง (แม้โสกราตีสเองจะได้เคยลั่นวาจาไว้ว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเลยก็เถอะ) ซึ่งรายละเอียด คำอธิบาย รวมถึงความเป็นมาเกี่ยวกับ sophist ผู้เขียนคงขออนุญาตให้ท่านผู้อ่านลองไปติดตามในหนังสือเอา ผู้เขียนคงขอวาดภาพคร่าว ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเพียงว่า sophist (ต่อไปจะเรียกว่า ‘โซฟิสต์’) คืออะไรเท่านั้น อันว่าโซฟิสต์ (ซึ่งว่ากันว่าแตกต่างกับนักปรัชญา) ก็คือผู้ทรงภูมิหรือนักปราชญ์นั่นแหละ (คำว่า soph มีความหมายว่าทรงปัญญาหรือทรงความรู้) เพียงแต่โซฟิสต์เป็นนักปราชญ์ที่จะค่อนข้างเอนไปในวิถีทางแห่งรูปธรรมมากกว่านามธรรม กล่าวคือพวกเขาเชี่ยวชาญที่จะใช้ศาสตร์ต่าง ๆ ไปในทางปฏิบัติเพื่อหวังผลแห่งความประสบความสำเร็จที่มากกว่า (เช่นเรื่องของการใช้ ‘วาทศิลป์’ (rhetoric)) เพื่อเอาชนะคะคานกันในสภาหรือใช้เพื่อเป็นศาสตร์ในการจูงใจคน) และที่สำคัญถ้าใครอยากได้ความรู้จากเหล่าโซฟิสต์ (ซึ่งความรู้ก็มีหลากหลายแขนงเช่น คณิตศาสตร์ ดนตรี ฟิสิกส์ ภาษาศาสตร์ ฯลฯ) จักต้องมีเงินมาแลกเพื่อเป็นค่าจ้างด้วย (แม้มีบางหลักฐานบอกว่าไม่ใช่โซฟิสต์ทุกคนที่รับเงิน [ เช่น ไครติยาส (Critias) เป็นต้น ] แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่น่าขันก็คือมีหลักฐานหลายชิ้นทีเดียวที่ระบุตรงกันว่าโปรตากอรัสคือโซฟิสต์คนแรก (โปรตากอรัสได้ชื่อว่าเป็นโซฟิสต์ระดับแถวหน้า) ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ขึ้นมา กล่าวคือการเรียกร้องรับเงินเพื่อแลกกับความรู้ [ แม้โสกราตีสเองจะเห็นว่าตัวโปรตากอรัสไม่มีสิ่งที่ว่านั้น ]) อย่างไรก็ตามกรอบนิยามของความเป็นโซฟิสต์จะว่าไปแล้วก็ยังมีความกำกวมอยู่ เพราะแม้โสกราตีสเองก็ยังเคยถูกอริสโตฟานีส (Aristophanes) ล้อเลียนในบทละครสุขนาฏกรรมที่ชื่อ The Clouds ว่าตัวโสกราตีสเองก็มิได้ต่างอะไรกันกับพวกโซฟิสต์
อย่างที่ผู้เขียนได้เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่าประเด็นปัญหาปรัชญาใน โปรตากอรัส นั้นมีอยู่หลายเรื่อง แต่ในที่นี้ผู้เขียนจะขออนุญาตนำมาอธิบาย ตั้งคำถาม ตรวจสอบ และขยายผล [ ในระดับเบื้องต้น ] เพียงเรื่องเดียว นั่นคือปัญหาปรัชญาที่โสกราตีสเชื่อว่า ‘คุณธรรมทั้งหลายนั้นเป็นหนึ่งเดียว’ ซึ่งก่อนที่ผู้เขียนจะตรวจสอบความเชื่อหรือสมมติฐานนี้นั้น ผู้เขียนจักขออธิบายสั้น ๆ ก่อนว่า ‘คุณธรรม’ หรือ aretē นั้นคืออะไร และคนในสมัยกรีกโบราณเขามองสิ่งนี้กันอย่างไร
อธิบายอย่างย่นย่อ aretē ในความหมายของคนกรีกโบราณนั้นมิได้สื่อถึงเรื่องราวทางจริยธรรมอะไรต่อมิอะไรดังที่ผู้คนส่วนมากในบ้านเราเข้าใจกันในปัจจุบัน แต่ aretē ในสมัยนั้นสื่อถึง ‘ความเป็นเลิศ’ หรือ excellence ของสิ่งแต่ละสิ่ง ซึ่งสิ่งแต่ละสิ่งก็มีแก่นสารและเอกลักษณ์ที่ต่างกัน aretē ของมนุษย์คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เหตุผล’ (logos) ที่ดำรงอยู่ภายในจิตของเรา aretē ของม้าคือความแข็งแรงและความปราดเปรียวว่องไว aretē ของมีดทำอาหารคือความคมและความทนทาน [ aretē ในโลกทรรศน์ของคนกรีกโบราณสามารถประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้ ] กล่าวง่าย ๆ ก็คือคุณธรรมของสิ่งต่าง ๆ ก็คือการที่สิ่ง ๆ นั้นสามารถนำพาตนเอง (หรือเผยแสดงตน) ไปถึงจุดที่สามารถบรรลุศักยภาพที่แท้ของตนได้นั่นเอง ทีนี้กลับมาที่ประเด็นของมนุษย์ในมุมมองของโสกราตีส เมื่อแก่นสารของมนุษย์คือเหตุผล คำถามสำคัญจึงมีอยู่ว่าแล้วเราจักใช้ชีวิตให้สอคคล้องกับเหตุผลที่ดำรงอยู่ภายในจิตของเราได้อย่างไร (เพื่อที่สุดท้ายจักบรรลุถึงการมีชีวิตที่ดี)? คำตอบก็คือเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม และคุณธรรมนั้นเองก็คือความรู้ สำหรับโสกราตีส (รวมถึงโปรตากอรัส [ เฉพาะเจาะจงภายในเรื่องนี้ ]) ได้แสดงให้เห็นว่าคุณธรรมหลัก ๆ มีอยู่ห้าประการด้วยกัน คือ หนึ่ง ความมีปัญญา (Wisdom) สอง ความชอบธรรม (Justice) สาม ความเคารพกฎของเทพ (Piety) [ *คำ ๆ นี้ อ.พินิจ แปลว่า ศาสนกิจ อ.สุลักษณ์ แปลว่า สุทธิธรรม ในขณะที่ อ.สมบัติ (จันทรวงศ์) แปลว่า ศาสนธรรม ] สี่ ความรู้จักพอดี (Temperance) และ ห้า ความกล้าหาญ (Courage) ซึ่งประเด็นสำคัญที่ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่จวบจบปัจจุบัน (ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด) ก็คือประเด็นที่ว่าตัวโสกราตีสเองนั้นเชื่อว่าคุณธรรมทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งเดียวกัน กล่าวอีกอย่างก็คือแม้ชื่อของคุณธรรมเหล่านี้จักต่างกัน แต่แก่นสารของมันนั้นไม่ต่างกัน คุณธรรมทั้งหมดงอกเงยมาจากแหล่งที่มาเดียวกันคือคุณธรรมอันเป็นแก่นสารซึ่งดำรงอยู่ในสภาวะจิต และที่สำคัญคุณธรรมดังกล่าวนั้นเองก็คือความรู้
ก่อนอื่นผู้เขียนคงต้องขอบอกก่อนว่าสิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะทำต่อไปนี้ (รวมถึงในอีกสองส่วนต่อไปด้วย) คือการวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และตรวจสอบความเชื่อของโสกราตีสที่ว่า ‘คุณธรรมทั้งหลายนั้นเป็นหนึ่งเดียว’ จริงหรือไม่โดยผ่านทางมุมมองอภิปรัชญา (metaphysics) เท่านั้น [ และเพียงในระดับเบื้องต้น ] ส่วนมุมมองทางจริยศาสตร์ (ethics) ผู้เขียนขออนุญาตไม่กล่าวถึง ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเห็นว่าท่าน อ.อุกฤษฏ์ (ผู้แปล) ได้ทบทวนรวมถึงอธิบายแจกแจงเรื่องดังกล่าว (กล่าวคือข้อพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคุณธรรม) ในมุมมองจริยศาสตร์ (คละเคล้าวิธีคิดทางตรรกวิทยา (logic) บ้างเล็กน้อย) ไว้ในหนังสืออย่างเพียงพอแล้ว ดังนั้นผู้เขียนคิดว่าผู้อ่านคงจะได้รับประโยชน์มากกว่าถ้าผู้เขียนได้ลองนำเสนอชุดประเด็นความคิดบางอย่างที่ดูแล้วน่าจะแปลกใหม่ออกไป (แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม)
ผู้เขียนขอเริ่มต้นอย่างนี้ เราเพิ่งพูดกันไปในตอนที่แล้วว่าคุณธรรมในมุมมองของโสกราตีสนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งหมดต่างกันก็เพียงแค่ชื่อ แต่แก่นสารและคุณสมบัติของทั้งหมดนั้นล้วนไม่ต่างกัน ซึ่งสำหรับโสกราตีสนั้นคุณธรรมคือความรู้ เราจึงสามารถนึกภาพตามได้ง่าย ๆ ว่าขอเพียงแค่เรามีความรู้ (อย่างแท้จริง) คุณธรรมต่าง ๆ (ถ้าพูดถึงเฉพาะเจาะจงใน โปรตากอรัส ก็คือ ความมีปัญญา, ความรู้จักพอดี, ความกล้าหาญ, ความชอบธรรม และ ความเคารพกฏของเทพ) ก็จะงอกเงยออกมาตามธรรมชาติเอง ซึ่งตรงนี้เอง ที่ผู้เขียนคิดว่าเราอาจต้องทำความเข้าใจสิ่งที่โสกราตีสพยายามยืนยันผ่านแว่นอภิปรัชญา เราจึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากลไกความคิดที่ว่าคุณธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งเดียวกันนั้นทำงานอย่างไร (และอาจมีปัญหาต่อไปหรือไม่อย่างไรในอนาคตด้วย)
เพื่อให้นึกภาพตามได้ง่าย ๆ ผู้เขียนขอเปรียบเทียบคุณธรรมว่าเป็น ‘ความใหญ่’ (Largeness) [ ต่อไปผู้เขียนจะขออนุญาตแทนด้วยตัวย่อว่า L1 ] การที่ความมีปัญญา, ความรู้จักพอดี, ความกล้าหาญ, ความชอบธรรม และ ความเคารพกฏของเทพ คือสิ่งเดียวกันกับ L1 ย่อมหมายความอีกอย่างว่าคุณธรรมทั้งห้านั้นแชร์แก่นสารหรือคุณสมบัติร่วมกันกับ L1 ดังนั้นตามความเชื่อนี้ของโสกราตีส คุณธรรมทั้งห้าจึงไม่สามารถเป็นอื่นไปได้นอกเสียจาก L2, L3, L4, L5, L6 ซึ่งการที่เราจะสามารถรู้ได้ว่าสิ่ง ๆ หนึ่งจะสามารถแชร์คุณสมบัติกับอีกสิ่ง ๆ หนึ่งได้นั้นต้องมีที่มาที่ไป กล่าวคือการที่ L2, L3, L4, L5, L6 จักมีคุณสมบัติร่วมกับ L1 ได้นั้น L1 จำต้องสร้างเงื่อนไขตนเองให้อยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า Self-Predication [ ต่อไปขอแทนด้วยตัวย่อว่า SP ] ด้วย ซึ่งหมายถึงว่า L1 ต้องสามารถยืนยันตัวเองได้ว่าตนเองมีคุณสมบัติดังกล่าวนั้น (ซึ่งในกรณีนี้คือ ‘มีขนาดใหญ่’ [ Is large ] (หรือ ‘มีคุณธรรม’ [ Is virtuous ] ถ้าไม่ใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบ)) และนอกจาก SP ที่จักต้องถูกวางเงื่อนไขเพื่อให้มีการแสดงหรือยืนยันคุณสมบัติของ L1 ว่ามีขนาดใหญ่แล้ว หลักการที่เรียกว่า Non-Identity [ ต่อไปขอแทนด้วยตัวย่อว่า NI ] จำต้องถูกวางเงื่อนไขให้กับ L1 ด้วยเช่นกัน ซึ่งความหมายของ NI คือแม้ L2, L3, L4, L5, L6 ถึงที่สุดแล้วจะแชร์แก่นสารเดียวกันกับ L1 แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่ L1 ซึ่งก็ตรงกับต้นธารของคุณธรรมทั้งหลายว่ามาจากปฐมมูลที่เรียกว่าความรู้
เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เราจะเห็นว่าเมื่อ L1 นั้นในตัวเองก็มีคุณสมบัติ [ เปรียบเทียบให้เห็นภาพอีกครั้ง: L1 มีขนาดใหญ่ = คุณธรรมมีคุณธรรม (หรือมีความรู้) ] คำถามที่สำคัญมากตรงนี้คือแล้ว L1 มีคุณสมบัตินี้ขึ้นมาได้อย่างไร? เนื่องจาก L2, L3, L4, L5, L6 มีแก่นสารหรือคุณสมบัติ (กล่าวคือความใหญ่) ได้ก็เพราะ L1 ดังนั้นตรงนี้จึงเกิดเป็นคำถาม (และสมมติฐาน) ขึ้นมาทันทีว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่ามันอาจต้องมีความใหญ่ (คุณธรรม) บางอย่างดำรงอยู่ก่อนหน้า L1 ซึ่งถ้าสมมติฐานนี้เป็นไปได้ คุณธรรมสำหรับโสกราตีสก็จะไม่ใช่สิ่งเดียวอีกต่อไป หากจะกลายเป็น ‘ภาวะอนันต์’ ที่หาจุดเริ่มต้นของคุณธรรมไม่เจอ [ เนื่องจากถ้ามี L0 ก็ต้องมี L-1 มี L-1 ก็ต้องมี L-2 มี L-2 ก็ต้องมี L-3 มี L-3 ก็ต้องมี L-4 เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีวันจบสิ้น ] ซึ่งปัญหาอันใหญ่หลวงอีกปัญหาหนึ่งที่จะพากันซ้อนทับกับปัญหาภาวะอนันต์อีกชั้นหนึ่งก็คือถ้าเราหาคุณธรรมที่แท้ไม่เจอเสียแล้ว ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นว่าเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณธรรมคืออะไร ผู้เขียนระลึกขึ้นมาได้ว่าหรือว่าวาทะอันโด่งดังของโสกราตีสที่กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลยอาจมีปัญหาดังกล่าวเข้ามาคาบเกี่ยวด้วยก็เป็นได้ (ซึ่งที่โสกราตีสบอกว่าคุณธรรมคือความรู้เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน (หรือสมมติฐาน) ที่เป็นไปได้เท่านั้น มิใช่คำยืนยันแบบถึงที่สุด)
ตามเนื้อเรื่องนั้น หลังจากที่โปรตากอรัสได้กล่าวแสดงปาฐกถาอันยิ่งใหญ่ว่าด้วยคุณธรรมในช่วงแรกเสร็จ [ ปาฐกถาอันยิ่งใหญ่ของโปรตากอรัส (หรือที่เรียกกันว่า The Great Speech) เป็นปาฐกถาที่ว่าด้วยคุณธรรมซึ่งใช้กลวิธีการเล่าเรื่องผสมผสานระหว่างเรื่องตำนานทวยเทพและการใช้เหตุผล ] โสกราตีสจึงได้ถือโอกาสเข้าประเด็นเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของคุณธรรมโดยถามถึงจุดยืนของโปรตากอรัสว่าเป็นแบบใด (คือในเบื้องต้นโปรตากอรัสเชื่อว่าคุณธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว) ระหว่าง หนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวแบบ หู ตา จมูก ปาก เป็นส่วนประกอบของใบหน้าซึ่งคือองค์รวม หรือ สอง เป็นหนึ่งเดียวแบบส่วนต่าง ๆ ของเนื้อทองคำประกอบกันเป็นแท่งทองคำ ซึ่งส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเข้าอาจมีขนาดที่แตกต่างกัน ซึ่งสุดท้ายโปรตากอรัสยืนยันไปที่ข้อหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ประเด็นหลักที่เรามุ่งหมายวิจารณ์ในข้อเขียนนี้ก็คือประเด็นของโสกราตีส ซึ่งเราได้เห็นไปในส่วนที่แล้วแล้วว่าความเชื่อของโสกราตีสที่มีต่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของคุณธรรมนั้นเป็นแบบใดและอย่างไร ดังนั้นผู้เขียนจึงขอคาดคะเนเอา (ที่กล่าวแบบนี้เนื่องจากโสกราตีสไม่ได้ตอบตรง ๆ) ว่าคำตอบในเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของคุณธรรมในเชิงอุปมา (หรืออุปลักษณ์) ของโสกราตีสคงจะเป็นข้ออื่นไปไม่ได้นอกจากข้อสอง ในส่วนนี้ผู้เขียนจะลองตั้งคำถามและตรวจสอบว่าอุปมาดังกล่าวจะสามารถส่งผลต่อความเข้าใจในเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคุณธรรมได้อย่างไรและในหนทางใดบ้าง
Protagoras
ถ้าเราลองย้อนกลับไปดูอุปมาเรื่องทองอีกครั้ง เราจะเห็นว่าใจความสำคัญของอุปมาเรื่องนี้มีอยู่สามประการ คือ หนึ่ง ทองทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน สอง ส่วนประกอบของทองมิได้มีความแตกต่างอันใดกับแท่งทอง (หมายความว่ามีแก่นสารหรือคุณสมบัติเดียวกัน) และ สาม ส่วนประกอบแต่ละส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นแท่งทองอาจมีขนาดที่แตกต่างกันได้ ซึ่งสำหรับการวิเคราะห์อุปมาเรื่องนี้ ผู้เขียนขออนุญาตกลับไปใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบเดิม (กล่าวคือ L1 – L6) ในบางส่วนของการวิเคราะห์เพื่อความชัดเจนในการเปรียบเปรยและแสดงให้เห็นว่าความเชื่อที่ว่าคุณธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นมีข้อที่น่ากังวลใจอย่างไร ข้อที่น่ากังวลใจข้อที่หนึ่ง: ความไม่นิ่งของคุณสมบัติในเชิงปริมาณ (quantity) ซึ่งอาจเป็นเหตุให้คุณธรรมกลายสภาพเป็นอื่น ----- ความหมายตรงนี้ก็คือในเมื่อส่วนสัดของเนื้อทองที่ประกอบเข้าด้วยกันไม่จำต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของปริมาณทองเท่า ๆ กันทุกส่วนประกอบ (แม้จะครองแก่นสารหรือคุณสมบัติเดียวกัน) ข้อกังวลใจตรงนี้คืออาจมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่คุณสมบัติของคุณธรรมหนึ่ง ๆ นั้น ‘อาจ’ กลายสภาพไปเป็นคุณสมบัติของอีกคุณธรรมหนึ่งได้ โดยผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังต่อไปนี้
ก). L1, L2, L3, L4, L5, L6 คือความใหญ่
ข). ความใหญ่ของ L2, L3, L4, L5, L6 ไม่เท่ากัน [ ยิ่งตัวเลขมากขึ้นยิ่งใหญ่น้อยลง ]
ฃ). จาก ข) แต่ไม่ว่าตัวเลขจะมากขึ้นเท่าใด คุณสมบัติของ L2 – L6 ก็ยังคือความใหญ่เพราะมาจาก L1
ค). แต่เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่าง L2 และ L6 จะเห็นว่า L6 อาจใหญ่น้อยกว่า L2 มากจนมีสภาพที่เล็กจิ๋ว
ฅ). L6 ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจึงอาจมีคุณสมบัติซ้อน [ กล่าวคืออาจมีคุณสมบัติ S6 ร่วม (S หมายถึง Smallness ตามตรรกะเดียวกัน) ] เมื่อเปรียบเทียบกับ L2
ฆ). L6 จึงอาจกลายสภาพเป็น S6 แต่มาจาก L1 ตามคุณสมบัติเดิม
ข้อที่น่ากังวลใจข้อที่สอง: ความไม่นิ่งของคุณสมบัติในเชิงคุณภาพ (quality) ซึ่งอาจเป็นเหตุให้คุณธรรมมีลำดับศักดิ์และชนชั้น ----- ข้อกังวลใจนี้ก็เริ่มมาจากปัญหาเดิมเช่นกัน กล่าวคือประเด็นที่ว่าส่วนสัดของเนื้อทองที่ประกอบเข้าด้วยกันไม่จำต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของปริมาณทองเท่า ๆ กันทุกส่วนประกอบ อย่างไรก็ดี ข้อกังวลใจข้อที่สองนี้อาจแตกต่างจากข้อที่แล้วตรงที่ข้อกังวลใจนี้มิได้โยงถึงความเป็นไปได้ของปัญหาการกลายสภาพจากคุณสมบัติหนึ่งไปสู่อีกคุณสมบัติหนึ่งของคุณธรรม หากประเด็นของข้อกังวลใจนี้คือด้วยเหตุที่ส่วนสัดของเนื้อทองไม่เท่ากัน จึงอาจทำให้ ‘คุณค่า’ หรือ ‘ศักดิ์’ ของคุณธรรมต่าง ๆ เหลื่อมล้ำกันภายใต้แก่นสารที่เหมือนกัน (ซึ่งเอาเข้าจริงปัญหานี้สามารถโยงไปถึงประเด็น ‘ความหมาย’ หรือ ‘ความเข้มข้น’ [ หมายถึงระดับความยาก / ง่าย ] ของคุณธรรมต่าง ๆ ได้อีกเช่นกัน) สิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะสื่อก็คือมีความเป็นไปได้ที่ตัวเลือกข้อหนึ่งซึ่งโปรตากอรัสยืนยันอาจเป็นข้อที่เข้าใจได้เช่นกัน เนื่องจากการตีความ character ของคุณธรรมในอุปมาข้อนั้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งกลับสามารถมาลงรอยกับคุณลักษณะของอุปมาคุณธรรมข้อนี้ (ที่โสกราตีสคงไม่คาดคิดว่าจะเกิดปัญหา) ได้อย่างประหลาด ถ้าจะให้อธิบายเพิ่มเติมก็คือสำหรับโปรตากอรัสนั้น คุณธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวก็เปรียบเสมือนใบหน้า ซึ่งอวัยวะต่าง ๆ ที่นำมาประกอบรวมกันมีหน้าที่ คุณค่า ความหมาย และความสำคัญที่ต่างกัน (หากจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่ออวัยวะเหล่านั้นได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน) แต่กระนั้นก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าอาจมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าบางสิ่งได้เช่นกัน เช่น หูอาจมีความสำคัญน้อยกว่าดวงตา (อันนี้เป็นตัวอย่างของผู้เขียนเอง) ซึ่งโปรตากอรัสเองก็เคยแสดงทัศนคตินี้ไว้อย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงคุณธรรมความกล้าหาญ ว่าเมื่อได้นำคุณธรรมนี้ไปเปรียบเทียบกับคุณธรรมอื่น ๆ ผลคือดูแล้วกลับไม่คล้ายคลึงกับคุณธรรมเหล่านั้นเอาเสียเลย ดังนั้นแล้วสำหรับอุปมา (หรืออุปลักษณ์) เรื่องแท่งทอง คุณธรรมจึงอาจเผยแสดงได้ว่าเป็น ‘หลายสิ่ง’ (อ้างอิงตามข้อพิสูจน์ของข้อกังวลใจข้อหนึ่งด้วย) แทนที่คุณธรรมจะเป็น ‘สิ่งเดียว’ ตามอุดมคติของโสกราตีสอย่างแท้จริง ปัญหา ----- กล่าวคือถ้าคุณธรรมทั้งหลาย (หมายถึงทั้งหมดจริง ๆ) ต่างเป็นชื่อของสิ่งเดียวกันจริงตามที่โสกราตีสได้ให้คำบอกเล่า การตีความประเภทหนึ่งซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ (ผู้เขียนขอเรียกการตีความนี้ว่าการตีความโดยเคร่งครัด) ก็คือสถานะของ V1 จะถือว่าเทียบเท่าสถานะของ V2 – V6 ทุกประการ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือหลักการ NI (ที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในส่วนแรก) จะไม่สามารถถูกประยุกต์ใช้ได้ ดังนั้นคุณสมบัติของ V2 – V6 จะไม่ถือว่าได้งอกเงยมาจากแหล่งที่มาของ V1 ดังที่เราเข้าใจกันในตอนแรก ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้เกิดสภาวะที่ไม่รวมศูนย์ของจิต (หรือกล่าวง่าย ๆ คือเกิดสภาวะแห่งความขัดแย้งในตัวเอง) เพราะในขณะที่ V1 – V6 มีความเป็น ‘สิ่งเดียว’ (หรืออีกนัยหนึ่งที่ทางปรัชญาเรียกว่า Universal) ตามข้อสันนิษฐาน V1 – V6 ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็น ‘หลายสิ่ง’ (หรืออีกนัยหนึ่งที่ทางปรัชญาเรียกว่า Particulars) ด้วยเนื่องจาก V1 – V6 ต่างก็มีความเป็นเอกเทศซึ่งกันและกัน [ ในความหมายที่ว่า (1). ทั้งหมดมิได้ยึดโยงอยู่กับ V1 (2). ทั้งหมดก็ไม่ได้ยึดโยงซึ่งกันและกัน และ (3). ถึงแม้ V1 – V6 จะมีคุณสมบัติที่พิสูจน์ได้ว่าเป็น ‘สิ่งเดียว’ แต่ V1 – V6 ในสถานะภายใต้ the self-ownership ก็ถือว่ามีความเป็น ‘สิ่งเฉพาะ’ หรือ ‘หลายสิ่ง’ อยู่ดี ] ผลแห่งความลักลั่นที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็คือจากคุณธรรมที่เป็น ‘สิ่งเดียว’ (อันเป็นข้อสันนิษฐานเดิมของโสกราตีส) จึงกลายเป็นคุณธรรมที่เป็น ‘ทั้งสองสิ่ง’ ซึ่งล่วงล้ำแก่นสารกันเอง คำถามตรงนี้จึงมีอยู่ว่าถ้าการตีความประเภทนี้เป็นไปได้ (ที่พูดอย่างนี้เนื่องจากโสกราตีสเองก็ยังพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับข้อสมมติฐานของตัวเองอยู่) โสกราตีสจะมีวิธีการพิสูจน์อย่างไรว่า V1 – V6 มีความเป็นสิ่งเดียวจริงในขณะที่ทั้งหมดนั้นไร้สิ่งที่เป็น absolute ในการยึดโยงคุณสมบัติ (แม้จะมีภาวะแห่งเหตุผลเป็นแกนกลางในสภาวะจิตที่ให้การรองรับก็ตาม)
______________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |