ผู้เขียน อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
“บนทางสู่อารยะ:สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของ Norbert Elias” เล่มนี้เป็นงานเขียนถึงชีวิต ความคิดและผลงานของนอร์เบิร์ต เอไลอัส นักสังคมวิทยาประวัติศาสตร์คนสำคัญ ถือได้ว่าเป็นงานชิ้นสำคัญที่น่าชื่นชมของอาจารย์ชาญ พนารัตน์ ซึ่งเป็นอาจารย์คนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นในการสรรสร้างความรู้ให้แก่สังคม
หนังสือหรือความเรียงในพากย์ไทยที่พูดถึงนอร์เบิร์ต เอไลอัสมีไม่มากนัก อาจารย์กาญจนา แก้วเทพ เป็นคนแรกๆที่ทำให้สังคมไทยได้ยินชื่อเขาในบทความเรื่อง “ชีวิต ความคิด และงานของนอร์เบิร์ต เอเลียส” ในจุลสารไทยคดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี ๒๕๓๑ ซึ่งท่านก็ได้ทำงานในเรื่องนี้ต่อเนื่องมา ดังปรากฏเป็นบทหนึ่งในหนังสือ “สายธารแห่งนักคิดทฤษฏีเศรษฐศาสตร์การเมืองและสื่อสารศึกษา” (พิมพ์ครั้งที่ ๓ ในปี ๒๕๖๐) นอกจากนั้น ก็มีการกล่าวถึงอยู่บ้างในกลุ่มนักวิชาการที่สนใจจะตอบปัญหาของสังคมไทย
สำหรับการเผยแพร่หนังสือเล่มนี้สู่สังคมไทยในจังหวะเวลานี้ เป็นช่วงที่จำเป็นอย่างยิ่ง สังคมไทยต้องการทำความเข้าใจ “นอร์เบิร์ต เอไลอัส” ให้มากขึ้น เนื่องจากเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ได้แปรเปลี่ยนสังคมไทยในทุกมิติของความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจาก การตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกสถาปนาแล้ว (establishment) ซึ่งแสดงออกมาในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นภาษา การแสดงออก มารยาท และปฏิบัติการทางสังคมวัฒนธรรมทุกระดับ การทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้จากกรอบคิดมุมมองที่มีพลังมากขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ต้องการการทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อที่จะแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ความสัมพันธ์เชิงต่อรองในเครือข่ายของสังคมมีความเป็นธรรมมากขึ้น
นอร์เบิร์ต เอไลอัส (1897–1990)
อาจารย์ชาญได้หยิบสาระความคิดที่สำคัญของนอร์เบิร์ต เอไลอัสที่ปรากฏในหนังสือแต่ละเล่มมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ได้เห็นถึงกรอบการคิดหลักในการทำความเข้าใจความคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของมิติต่าง ๆ ของสังคมที่ทุกมิติมีความเชื่อมโยงและกอปรเข้าด้วยกัน
อาจารย์ชาญได้ทำให้เห็นถึงกระบวนการการความรู้ใหม่ของเอไลอัสที่ได้สร้างขึ้นมาจากการมองมิติต่างๆของสังคมเชื่อมโยงกันไม่ว่าจะเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและที่สำคัญ ได้ทำให้เกิดความแปรเปลี่ยนในระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอันกำกับพฤติกรรมของผู้คน ซึ่งเป็นกรอบคิดที่มีคุณค่าในการทำความเข้าใจการดำรงอยู่สังคมได้ชัดเจนขึ้นและเป็นกรอบคิดที่สำคัญมากที่หากจะนำมาศึกษาสังคมไทย
การเชื่อมโยงข้อมูลปลีกๆหรือการเชื่อมต่อชุดข้อมูลต่างๆ เพื่อให้เกิดความหมายใหม่จึงเป็นหัวใจของการสร้างความรู้ หากเปรียบเทียบกับนักคิดรุ่นทศวรรษ ๑๙๖๐ อีกท่านหนึ่ง ได้แก่ เรย์มอนด์ วิลเลี่ยม (Raymond Williams) ก็จะเห็นได้ว่าการสร้างความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการมองเห็นการเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลและชุดความรู้ต่างๆนั้นก่อให้การเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (Making the invisible visible) ซึ่งเป็นวิธีคิดที่สำคัญยิ่งในการแสวงหาความรู้
กรอบคิดหลักสำคัญที่อาจารย์ชาญได้เน้นให้ว่าเอไลอัสแตกต่างจากนักวิชาการร่วมสมัย คือ การคิดอย่างเป็นประวัติศาสตร์และเป็นประวัติศาสตร์ช่วงยาว การคิดอย่างเป็นประวัติศาสตร์เป็นการคิดที่เห็นว่าทุกสรรพสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงและความเปลี่ยนแปลงต้องอยู่ใน “บริบท” การคิดอย่างเป็นประวัติศาสตร์ช่วงยาวของเอไลอัสทำให้เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น เพราะมองกลับไปเปรียบเทียบในแต่ละช่วงเวลา ขณะเดียวกัน การมองเห็นสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกันของข้อมูลปลีก ๆ และชุดความรู้ต่าง ๆ ทำให้เอไลอัสสามารถจินตนาการถึง “บริบท” ได้หลากมิติมากขึ้นซึ่งส่งให้มองเห็นมิติที่นักวิชาการหรือคนร่วมสมัยมองไม่เห็น ที่สำคัญ เช่น การเรียนรู้ทางสังคมที่ติดตัวมา (Social Habitus) และการพลวัตของกลุ่มทางสังคมหรือการก่อรูปสังคมที่เกิดขึ้นมาจากฐานความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรอง เป็นต้น บนฐานการคิดเชิงประวัติศาสตร์เช่นนี้ จึงทำให้เอไลอัสปฏิเสธการใช้อภิทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ แต่เน้นลักษณะเฉพาะของประเด็นการศึกษาในขอบเขตพื้นที่ทางสังคม ซึ่งทำให้เข้าใจความเฉพาะของสังคมหนึ่งๆได้ชัดเจนมากขึ้น (The Establishment and the Outsiders และ The Germans) ขณะเดียวกันก็สามารถนำไปสู่การมองเห็นลักษณะเดียวกันในพื้นที่อื่นๆได้
หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะเข้าใจการจัดตั้งและความเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยวิธีคิดอย่างเป็นประวัติศาสตร์และการพิจารณา “บริบท” ด้วยการมองสายสัมพันธ์ชุดความรู้ต่างๆของเอไลอัส ซึ่งได้ทำเขาเปิดมุมมองการเชื่อมต่อไปสู่สภาวะทางด้านอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่สัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในสังคม แม้ว่าในด้านหนึ่ง เขาจะได้รับอิทธิพลจากซิกมันด์ ฟรอยด์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขากลับนำชุดความรู้ทางด้านจิตวิทยาเข้ามาวางในบริบทและมองอารมณ์ความรู้สึกและผัสสะที่เป็นคุณลักษณะร่วมกันของผู้คนในสังคม อันแตกต่างอย่างกลับหัวกลับหางกับจิตวิทยาปัจเจกชนสถิตแบบที่ฟรอย์ได้วางความคิดเอาไว้
The Civilizing Process ผลงานชิ้นสำคัญของเอไลอัส ฉบับภาษาเยอรมัน (ซ้าย) และฉบับภาษาอังกฤษ (ขวา)
การศึกษาสังคมวิทยาประวัติศาสตร์ที่เข้าไปสู่อารมณ์ความรู้สึกและผัสสะของคนในสังคมของเอไลอัสได้เปิดทางให้แก่การเกิดขึ้นของการศึกษาประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึก (History of Emotion) เขาได้ใช้คำที่ประกอบกันทำให้เห็นถึงการวางอารมณ์ความรู้สึกไว้ในบริบททางประวัติศาสตร์ เช่น social regulation and management of the emotions เป็นต้น และเอไลอัสได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในประเด็นเรื่องความละอายไว้ ความว่า
The formation of feelings of shame and revulsion and advances in the threshold of repugnance are both at once natural and historical processes. These forms of feeling are manifestations of human nature under specific social conditions, and they react in their turn on the socio-historical process as one of its elements. [...] So far as the psychical functions of humans are concerned, natural and historical processes work indissolubly together. (Elias, 2000, p.135)[1]
นอกจากอาจารย์ชาญได้ทำให้เห็นถึงตัวตน พัฒนาการทางความคิดของเอไลอัสได้เป็นอย่างดี โดยศึกษาผ่านการพิจารณาความคิดหลักในแต่ละเรื่อง อาจารย์ชาญยังได้ขยายเชื่อมโยงความคิดหลักนั้นกับสังคมไทย เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านได้คิดและนึกเปรียบเทียบกับสังคมไทย โดยเฉพาะการเปรียบกับสังคมไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งทำให้ผู้อ่านไม่ได้หลุดออกไปสู่กรอบคิดลอยๆ หากแต่ยังสามารถเกาะเกี่ยวกลับมามองสังคมไทยได้
ที่สำคัญ อาจารย์ชาญได้ขยายความในเรืองกีฬาซึ่งอาจารย์ได้ค้นคว้ามาเป็นอย่างดีโดยนำกรอบคิดมาศึกษาสังคมไทย และในกรณีในการศึกษาเรื่องการกีฬาในช่วงรัฐจารีตของไทย อาจารย์ยังได้เพิ่มเติม/พัฒนาความคิดต่อไปด้วยว่าในรัฐจารีตไทยนั้นจำเป็นต้อง “ผนวกแง่มุมจากตัวแบบแนวคิดเรื่อง รัฐนาฎกรรม ของคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ…เพื่อพิจารณาหน้าที่เชิงพิธีกรรมที่มีอยู่ในกีฬาที่รัฐอยุธยาอุปถัมภ์“ ( หน้า ๑๗๔ )
เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์จากการอ่านความคิดของเอไลอัส อาจารย์ชาญได้เลือกเสนอข้อวิจารณ์ต่อการศึกษาของเอไลอัสไว้ในบทก่อนบทสุดท้าย อันน่าจะทำให้เกิดการทบทวนสะท้อนย้อนคิดกับความคิดในการศึกษาทั้งหมดของนักคิดคนสำคัญคนนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนการคืนการตัดสินใจให้แก่ผู้อ่านอย่างดี
หนังสือเล่มนี้ควรจะเป็นหนังสือที่คนไทยได้อ่านกันให้กว้างขวางเพื่อคิดทบทวนถึงสรรพสิ่งต่าง ๆ ในสังคมไทยที่เรามักจะคิดกันว่าเป็นสิ่งที่อยู่ยงคงสถาพรมาตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย เช่น “ ความเป็นไทย” ที่เพิ่งถูกสถาปนาขึ้นมาไม่นานมานี่เอง ต้องขอบคุณอาจารย์ชาญ พนารัตน์ ที่ลงแรงในการเขียนและขอบคุณสำนักพิมพ์ ILLUMINATIONS EDITIONS ที่ได้พิมพ์หนังสือที่มีค่าเล่มนี้
[1] Elias, N. (2000). The Civilizing Process: Sociogenetic and Psychogenetic Investigations (E. Dunning, J. Goudsblom, and S. Mennell Ed.). Cambridge: Blackwell Publishers.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |