เปรมาธิปไตย : การเมืองไทยระบอบไฮบริด หนังสือการเมืองที่ว่าด้วยการบริหาร จัดสรรอำนาจของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใน Q&A นี้เป็นการชวนคุณหมอ อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ ผู้เขียน มาเล่าความเป็นมาของหนังสือ และขยายประเด็นที่น่าสนใจในหนังสือเพิ่มเติม
Q1 : เชื่อว่านักอ่านหลายท่านยังไม่รู้ว่าบทบาทในชีวิตประจำวันของคุณอดินันท์ พรหมพันธ์ใจ คือ ทันตแพทย์หนุ่มใจดี หลายๆ ท่านคงอยากรู้ว่า “คุณหมอท่านนี้ มาทำอะไรในโลกวิชาการสายรัฐศาสตร์”
A : ผมมาศึกษาและเขียนงานวิชาการทางรัฐศาสตร์ครับ ผมสนใจเรื่องราวทางสังคมศาสตร์มานานตั้งแต่มัธยม และเคยมีความฝันว่าอยากจะเรียนรัฐศาสตร์การทูต แต่ด้วยค่านิยมในช่วงเวลานั้น ผมเลยเลือกที่จะไปเรียนทันตแพทย์เพื่อความมั่นคงในชีวิต แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความสนใจเรื่องนี้เลย
ต่อมา เมื่อผมมีโอกาสผมก็จะลงเรียนในสาขาวิชาที่สนใจ กระทั่งผมสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ และกฎหมายเศรษฐกิจแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสานฝันตัวเองมาเรียน ปริญญาโทรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเรียนต่อ ปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมคิดว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของคนที่จบ ปริญญาเอก คือ ต้องผลิตงานวิชาการเพื่อบริการสังคมไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้ผมจึงวนเวียนอยู่ในโลกวิชาการทางรัฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งงานทางด้านทันตแพทย์ และกฎหมายที่ร่ำเรียนมา ผมยังคงทำควบคู่กันไปด้วยทั้งการรักษาคนไข้ การผลิตงานวิชาการ และงานอื่นๆ
Q2 : อะไรคือ สิ่งที่ทำให้คุณหมอสนใจศึกษาเรื่องของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ ผู้เขียน
A : ผมมีพื้นเพเป็นคนโคราช ในช่วงที่ผมเริ่มสนใจการเมือง พลเอกเปรมกำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวัยเด็กผมและคุณพ่อมักจะพูดคุยกันเรื่องการเมืองบ่อยๆ และพ่อก็เริ่มให้ผมอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารทางการเมือง โดยท่านจะคอยอธิบายหรือให้ความเห็นเพิ่มเติม
ผมโตมากับนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกเปรมตั้งแต่ผมเรียน ป.4 เมื่อผมเรียนถึง ม.6 ท่านก็ลงจากตำแหน่ง ผมได้ยินเรื่องราวของท่านผ่านสื่อมวลชนตลอด 8 ปี ได้พบเจอกับปัญหาและมีประสบการณ์จริงๆ ในยุคของท่าน เช่น ผมมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระราชวงศ์ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเมื่อ พ.ศ. 2524 ตอนที่เกิดรัฐประหารพลเอกเปรมครั้งแรก (กบฏยังเติร์ก) , ได้ยินคำว่า “โชติช่วงชัชวาล”, ได้มาร่วมงานฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์, ได้ซื้อสินค้ายี่ห้อ “สินไทย” มาใช้ และได้ร้องเพลง Made in Thailand ของวงคาราบาว
เมื่อผมมาเรียน ป.เอกรัฐศาสตร์ โจทย์ใหญ่ก่อนจบคือต้องทำวิทยานิพนธ์ มีอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านเคยสอนผมว่า เขียนเรื่องที่ตัวเองมีประสบการณ์หรือรู้จักตัวละครจะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี ผมจึงเลือกศึกษาพลเอกเปรม นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ทำให้ผมสนใจการเมืองไทย
Q3 : น่าสนใจครับว่า ชั้นหนังสือตามร้านต่างๆ มีหนังสือที่เกี่ยวกับพลเอกเปรมอยู่มาก คุณหมอคิดว่า เปรมาธิปไตย: การเมืองไทยระบอบไฮบริด ต่างไปจากหนังสือเหล่านั้นอย่างไรบ้างครับ
A : หนังสือเล่มนี้พัฒนามาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของผม ที่ศึกษาและนำเสนอเรื่องพลเอกเปรมใน 3 ประเด็นสำคัญคือ 1. การอธิบายโครงสร้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบว่าพลเอกเปรมสร้างและสานต่อรัฐราชการให้มีความเข้มแข็งได้อย่างไร 2. การสร้างสมดุลในอำนาจทางการเมืองด้วยการบริหารจัดการของพลเอกเปรมทำให้ท่านสามารถอยู่ในอำนาจได้ยาวนานถึง 8 ปี ได้อย่างไร และ 3. บทบาทและพัฒนาการเชิงสถาบันของตัวแสดงทางการเมือง ได้แก่ กองทัพ นักการเมือง เทคโนแครต และนักธุรกิจในยุคพลเอกเปรมมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นนี้ยังไม่มีใครศึกษาหรืออธิบายในเชิงวิชาการ และประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สนใจหรืออยู่ในแวดวงการเมืองควรเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจการเมืองไทยในสมัยนั้นที่ส่งผลมาถึงการเมืองไทยในปัจจุบัน
Q4 : สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ และดูเหมือนจะถูกพูดถึงอยู่ตลอดในหนังสือ คือ ระบอบเปรมาธิปไตยเป็นทางรอดวิกฤตการณ์ของรัฐไทยท่ามกลางบริบทสงครามเย็น ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความแตกแยกทางความคิด ที่น่าสนใจก็คือ อะไรที่ทำให้ชนชั้นนำในเวลานั้นเชื่อว่า ระบอบการเมืองเช่นนี้ จะทำให้รัฐไทยรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ได้

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เข้าพบประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในห้องทำงานรูปไข่ ณ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2527
ภาพจาก Ronald Reagan Presidential Library, Creative Commons Public Domain Mark 1.0 License.
A : เพราะในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ยุคจอมพลสฤษดิ์-ถนอม ระบอบทหารแบบเผด็จการปิดโอกาสตัวแสดงอื่น ๆ ทำให้สังคมถึงทางตัน และนำไปสู่การใช้ความรุนแรงระหว่างกันในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
ดังนั้น เมื่อต้องร่างกฎกติกาใหม่ ชนชั้นนำจึงเลือกทำการเมืองแบบเปิดเพื่อให้เกิดการประนอมอำนาจ แต่กองทัพและชนชั้นนำยังควบคุมได้ผ่านกลไกระบบราชการ และเรียกระบอบนั้นว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ซึ่งเป็นระบอบที่เปิดให้ตัวแสดงทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่านักการเมือง นักธุรกิจ ปัญญาชนและประชาชนที่มีความเห็นหรืออุดมการณ์ที่ต่างกันมีพื้นที่ทางการเมืองบ้าง ทำให้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่ง
แต่พอถึงยุคพลเอกเปรมหลังจากเห็นว่านักการเมืองมุ่งหาประโยชน์และไม่จริงใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากกรณีเทเล็กซ์น้ำมัน การกำหนดนโยบายจึงเปลี่ยนมาใช้กลไกระบบราชการโดยมีเทคโนแครตสายเศรษฐกิจเข้ามาช่วย และมีเครือข่ายและสายสัมพันธ์ของนักธุรกิจมาสนับสนุน เปิดพื้นที่ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ กรอ. นอกจากนั้นยังได้รับโอกาสจากต่างประเทศในการมาลงทุนและย้ายฐานการผลิตทั้งการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเทคโนแครตและการใช้ช่องทางการส่งเสริมการลงทุน อีกทั้งยังเปิดตลาดการท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันชนชั้นนำและนายทหารบางส่วนยังสามารถควบคุมนโยบายให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ และสามารถควบคุมบทบาทของนักการเมืองและนักธุรกิจในสภาวะรัฐราชการแบบเปิดได้อีกด้วย
Q5 : ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่เคยถูกยกให้เป็นความหวังของการพัฒนาประชาธิปไตยในไทย ด้วยเป็นระบอบที่อำนาจการปกครองได้ถูกแบ่งให้กับประชาชนบ้าง น่าสนใจว่า เหตุใด ชนชั้นนำหรือผู้มีอำนาจในเวลานั้นจึงเชื่อว่า การคลายอำนาจการปกครองบางส่วนจึงเป็นทางออกของปัญหา
A : แม้ว่าระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบจะมีส่วนทำให้พรรคการเมืองและนักการเมืองเข้มแข็งและสร้างการยอมรับจากประชาชนได้มากขึ้น อีกทั้งความสำเร็จทางเศรษฐกิจ ทำให้ภาคธุรกิจมีความเข้มแข็งและมีอิทธิพลมากขึ้น พร้อมทั้งทำให้นักธุรกิจจำนวนหนึ่งสนใจเข้ามามีบทบาททางการเมืองในหลายรูปแบบทั้งการจัดตั้งพรรคการเมือง การลงสมัครรับเลือกตั้ง และให้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง จนเกิดความสัมพันธ์แนบแน่นและเปลี่ยนสถานะไปมาระหว่างนักธุรกิจและนักการเมือง แต่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองของรัฐไทยที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้สถาบันทางการเมืองไม่อาจทำหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่
การคลายอำนาจการปกครองบางส่วนของชนชั้นนำจึงเป็นเพียงการเปิดพื้นที่ทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ตัวแสดงทางการเมืองที่เคยถูกกดไว้ได้ออกมาแสดงบทบาทหรือได้ทำหน้าที่ในทางการเมืองบ้าง โดยให้ความหวังประชาชนว่าในอนาคตพื้นที่ทางการเมืองจะถูกเปิดอย่างเสรีและเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถเรียกร้องผ่านสถาบันทางการเมืองได้ รวมทั้งระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราวในภาวะวิกฤตของรัฐที่ต้องการการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เมื่อปัญหาหรือวิกฤตคลี่คลายไป ระบอบนี้ก็จะล้มเลิกและเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยตามหลักสากลได้ในที่สุด
แต่ในความเป็นจริงชนชั้นนำได้จัดการเชิงโครงสร้างที่ยังมีอำนาจควบคุมทางการเมืองได้ โดยเฉพาะการสร้างค่านิยมแบบศักดินาราชูปถัมภ์ที่ทำให้อำนาจยึดโยงอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าระบอบการปกครอง สังคมให้ความเชื่อมั่นทั้งกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าสถาบันทางการเมืองในการแก้ปัญหาต่างๆ การคลายอำนาจออกก็เพียงแค่ขยายพื้นที่เพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองลงเท่านั้น แต่อำนาจยังอยู่ที่ชนชั้นนำเหมือนเดิม
Q6 : ในสมัยพลเอกเปรม กองทัพมีบทบาทค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้มีลักษณะที่เป็นเอกภาพนัก ดังจะเห็นได้จากทหารภายในกองทัพแตกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ และมีการก่อกบฏในสมัยพลเอกเปรมถึง 2 ครั้ง รวมถึงมีการลอบสังหารพลเอกเปรมด้วย พลเอกเปรมสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

พลเอกเปรม สมัยทำหน้าที่อยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2502 ภาพจาก สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,
สมุดภาพสมาชิกรัฐสภา (กรุงเทพฯ: ม.ป.ท., ม.ป.ป.).
A : พลเอกเปรมเป็นนักจัดการชั้นยอดที่ต้องเรียนรู้ในเรื่องการสร้างสมดุลในอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับกลุ่มอำนาจภายในกองทัพที่แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ให้เกิดสมดุล พลเอกเปรมใช้การถ่วงดุลกันระหว่างกลุ่มภายในกองทัพ เช่น จปร. 5 กับ จปร. 7 หรือกลุ่มยังเตริก์กับทหารประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีอำนาจถ่วงดุลกองทัพได้และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การพยายามทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกเปรมล้มเหลว ดังจะเห็นได้จากการรัฐประหารทั้งสองครั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์แสดงการสนับสนุนรัฐบาลพลเอกเปรมอย่างชัดเจน
Q7 : กลุ่มยังเติร์ก มีบทบาทสำคัญมากแค่ไหนในการเมืองยุคพลเอกเปรม แล้วในอนาคตอันใกล้นี้เราจะมีโอกาสได้เห็นทหารแบบกลุ่มยังเติร์กได้อีกหรือไม่
A : ผมมีความเห็นว่ากลุ่มนายทหารที่มีอิทธิพลมากแบบยังเตริก์ไม่มีอีกแล้ว กลุ่มนายทหารที่คุมกำลังและมีบทบาทในการตั้งและปลดนายกรัฐมนตรีได้ ร่วมกำหนดนโยบายได้ รวมทั้งสามารถต่อรองทางการเมืองได้มากมายจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก และผู้นำกองทัพในปัจจุบันเองก็จะไม่ยอมให้มีกลุ่มนายทหารแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะได้เห็นบทเรียนจากยุคพลเอกเปรม ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่พลเอกเปรมลงจากอำนาจในการบริหารประเทศ แต่ยังเป็นผู้มีบารมีทางการเมืองมากคนหนึ่งนั้น ก็ไม่เคยมีกลุ่มทหารที่มีอิทธิพลมากแบบยังเตริก์อีกเลย และแน่นอนว่าการให้คำปรึกษาของพลเอกเปรมแก่ผู้นำเหล่าทัพในรุ่นต่อๆ มา ต้องมีเรื่องการจัดการกองทัพที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มที่มาต่อรองหรือเป็นผู้ทรงอิทธิพลเหนือผู้บังคับบัญชาได้อีกต่อไป
Q8 : ความยอดเยี่ยมของพลเอกเปรมอีกข้อหนึ่งคือ การผสานประโยชน์และเป็นกาวใจเชื่อมระหว่างกองทัพ นักการเมือง และนักธุรกิจ ความสามารถด้านนี้เป็นของพลเอกเปรม โดยตรงหรือมาจากปัจจัยอื่น
A : ในเรื่องนี้ต้องยกให้พลเอกเปรมว่ายอดเยี่ยมจริงๆ เพราะท่านมีความสามารถสูงในการใช้คน และมอบหมายให้ถูกคนไปทำงานถูกทาง (get the right man to the right job) ท่านเรียนรู้และปรับตัวได้เร็ว เมื่อเห็นว่านักการเมืองแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ท่านก็ดึงเทคโนแครตเก่งๆ มาทำงานด้วยในตำแหน่งต่างๆ เช่น ดร.เสนาะ อูนากูล นายสมหมาย ฮุนตระกูล ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุล ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และมีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจอีกหลายคน เช่น ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นต้น
นอกจากนั้นพลเอกเปรมยังเป็นหัวหน้าคณะนำนักธุรกิจไปเจรจากับต่างประเทศเวลาที่มีการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลจะช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎกติกาทางราชการให้เพื่อให้ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเอกชนราบรื่น ทำให้องค์กรธุรกิจเอกชนของไทยสามารถหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนที่นอกจากจะได้การเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วยังได้องค์ความรู้ของบริษัทข้ามชาติเหล่านั้นมาพัฒนาความรู้ของประเทศ และยังชวนให้ให้นักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศให้กลับไปลงทุนในประเทศไทยอีกด้วย
ส่วนในกองทัพท่านเป็นคนที่มีบารมีมาก นายทหารส่วนใหญ่จะเกรงใจและให้เกียรติท่านเสมอ อีกทั้งท่านมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำหน้าที่กาวใจในหมู่นายทหาร แม้ว่าจะมีการรัฐประหารท่านถึงสองครั้ง แต่ทุกครั้งก็สามารถใช้การเจรจาให้สงบเรียบร้อยลงได้ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาลท่านก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายไปได้ด้วยดีด้วยเช่นกัน
พลเอกเปรมท่านเป็นคนที่มีลักษณะเฉพาะ แม้จะพูดน้อย แต่ท่านสามารถพูดให้ใครต่อใครมาร่วมงานกับท่านได้ทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ และนักวิชาการ รวมทั้งสามารถที่จะพูดคุยกับนักการเมืองอย่างม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ให้สนับสนุนท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนกองทัพนั้นคำเรียกท่านว่า “ป๋า” ย่อมบ่งบอกสถานะและความสำคัญของท่านได้เป็นอย่างดี

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เดินทางไปเยือนเนเธอแลนด์ โดยมีนาย Ruud Lubbers นายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับ ภาพจาก nationaal archief
Q9 : ดูเหมือนว่า ในยุคพลเอกเปรม รัฐบาลต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมจากหลายพรรคการเมือง ซึ่งแม้จะทำให้พลเอกเปรมได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็นำปัญหามาให้กับรัฐบาลพลเอกเปรมจนต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง แต่ทำไมพลเอกเปรมยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อย่างต่อเนื่อง
A : พลเอกเปรมเองยังเจอรัฐประหารและการลอบสังหารจึงไม่มีหัวหน้าพรรคการเมืองคนไหนกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีหากนายทหารและกองทัพไม่เห็นด้วย ทหารนั้นสามารถควบคุมนักการเมืองได้ทั้งในและนอกสภา ซึ่งนักการเมืองเองมีข้อจำกัดในด้านการเคลื่อนไหวและไม่สามารถแสดงท่าทีกดดันได้เหมือนทหาร จึงต้องใช้รูปแบบการต่อสู้ทางการเมืองผ่านรัฐสภาแต่เพียงอย่างเดียว นักการเมืองจึงต้องยอมรับอำนาจทหาร เพราะรู้ดีว่ารัฐสภาจะทำหน้าที่ต่อไปได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากทหารเท่านั้น
ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งขึ้นจากหลายฝ่าย พลเอกเปรมจะตัดสินใจยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะได้เสียงข้างมากก็ตาม ต่างก็มาสนับสนุนพลเอกเปรมให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลจะมั่นคงอยู่ได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งนักการเมืองด้วยกันและทหาร ซึ่งพลเอกเปรมเป็นเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติเช่นที่ว่านี้
Q10 : ในฐานะที่คุณหมอ ศึกษาเรื่องพลเอกเปรมและระบอบการเมือง คุณหมอพอจะเปรียบเทียบยุคพลเอกเปรมกับพลเอกประยุทธ์ได้หรือไม่ ว่าทั้งสองระบอบนี้แตกต่างกันอย่างไร
A : ผมคิดว่าพลเอกประยุทธ์เองแตกต่างจากพลเอกเปรมหลายด้าน ทั้งการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน บุคลิกภาพความเป็นผู้นำ และบารมีทางการเมือง
โครงสร้างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 และการดำเนินนโยบายของพลเอกประยุทธ์ตามโครงสร้างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีก็ไม่ใช้ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่น่าจะเป็นระบอบเผด็จการครึ่งใบมากกว่า เพราะไม่มีความประนีประนอมระหว่างกลุ่มพลังอำนาจต่างๆ ในสังคมที่มีความเห็นต่างทางการเมือง และกระบวนการเชิงนโยบายที่ในยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่ได้สะท้อนปัญหาหรือความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแบบไฮบริด เป็นทั้งนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร และนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นนายกฯ ชนิดไหน ท่านก็มีผลงานที่สม่ำเสมอตลอดมา ภาพจาก Government of Thailand, Creative Commons Attribution 2.0 Generic License
แม้ว่าพลเอกเปรมจะไม่ได้ส่งเสริมให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็ง แต่การเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองมีพื้นที่แสดงออกโดยไม่ใช้กำลังปราบปรามนั้น ช่วยทำให้บรรยากาศทางการเมืองไม่อึดอัดหรือกดดัน มีม็อบ มีผู้มาประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาได้ และใช้รัฐสภาเป็นสถานที่แก้ปัญหา แต่พลเอกประยุทธ์นั้นปิดกั้นการแสดงออกและใช้กฎหมายปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง ทั้งยังส่งเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามการแสดงออกทางการเมืองของทั้งในสถาบันการศึกษาและในพื้นที่สาธารณะทำให้เกิดความอึดอัดขึ้นในสังคม เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ของประชาชนและฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไม่ได้รับการตอบสนอง
แม้ว่ารัฐบาลทหารของพลเอกประยุทธ์จะผลิตค่านิยม 12 ประการ และพยายามใช้ศาสตร์พระราชาเพื่ออิงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การปฏิบัติในพื้นที่จริงยังไม่ปรากฎชัด มีเพียงเนื้อหาโครงการในอดีตที่บอกเล่าผ่านการจัดรายการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแตกต่างจากสมัยพลเอกเปรมที่โครงการในพระราชดำริภายใต้การส่งเสริมของรัฐบาลเป็นรูปเป็นร่างและช่วยพัฒนาประชาชนในชนบทได้อย่างเป็นรูปธรรมเพราะมีการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐมารับผิดชอบดูแลและลงปฏิบัติในพื้นที่จริงอย่างชัดเจน
ส่วนการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่มีแทคโนแครตสายเศรษฐกิจเข้ามาช่วยเหลือเลย พลเอกประยุทธ์ใช้แต่เทคโนแครตสายกฎหมายที่ปรับโครงสร้างทางการเมืองทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ อีกทั้งไม่มีปัจจัยสนับสนุนอย่างข้อตกลง Plaza Accord เหมือนสมัยพลเอกเปรมที่ช่วยทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต การหวังพึ่งพาเศรษฐกิจกับจีนด้วยเหมือนจะยิ่งหมดหวัง เมื่อจีนกำลังกำลังจะเกิดภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและเผชิญกับปัญหาโรคระบาด
ทั้งสองระบอบนี้จึงแตกต่างกันทั้งในส่วนโครงสร้างและการจัดการ แม้ว่าจะมีนักวิชาการหรือสื่อมวลชนชี้ว่าน่าจะเหมือนกัน แต่หากพิจารณาบริบททางการเมือง สภาพปัญหาและโครงสร้างทางการเมืองแล้ว ผมมองว่าสมัยพลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการมากกว่าเพราะมุ่งแก้แต่โครงสร้างทางการเมืองโดยใช้กฎหมายที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชน แตกต่างกับสมัยพลเอกเปรมที่ระบอบการเมืองเปิดกว้างมากกว่าเพราะมีเป้าหมายในการแก้วิกฤตการณ์ของรัฐไทยที่เผชิญอยู่ในขณะนั้นตามเสียงเรียกร้องของประชาชนแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
Q11 : มีคนกล่าวกันอยู่บ่อยครั้งว่า บ้านเมืองของเรากำลังถอยหลังสู่ “ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ” แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลชุดนี้จะยังคลำไม่เจอ หรือยังหาทางกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบไม่ได้ และไหนๆ เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว อยากให้คุณหมอแนะนำรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หน่อยครับ ว่า ถ้าจะกลับเป็นยุคบ้านเมืองยังดี แบบพลเอกเปรม สิ่งแรกที่พลเอกประยุทธ์ต้องทำคืออะไร
A : สิ่งแรกที่พลเอกประยุทธ์ต้องทำ คือ การเปิดพื้นที่ให้ตัวแสดงทางการเมืองสามารถแสดงบทบาทผ่านสถาบันทางการเมืองได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากการปิดกั้นขัดขวาง และหันมาใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าอยู่ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมด้วยการระดมความคิดทุกภาคส่วนไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายใดหรือพวกใคร เพราะวิกฤตครั้งนี้ของรัฐไทยรูปแบบเปลี่ยนไปจากสมัยพลเอกเปรมโดยสิ้นเชิง พลเอกประยุทธ์ต้องดึงคนที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมแก้ปัญหา และต้องมีความจริงใจที่จะสร้างความประนีประนอมในสังคม ใช้กระบวนการประชาธิปไตยและกลไกระบบราชการให้ทำงานร่วมกันให้ได้ โดยไม่ใช้อำนาจรัฐแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์กรใดๆ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ควรจะต้องส่งเสริมให้สถาบันทางเศรษฐกิจและการเมืองทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชนให้ได้มากที่สุด พลเอกประยุทธ์จึงจะรักษาความมั่นคงในอำนาจได้ยาวนานเหมือนพลเอกเปรม
Q12 : แน่นอนว่าการศึกษาเรื่องพลเอกเปรมยังมีอีกหลายแง่มุมที่ยังขาดผู้ค้นคว้า ในฐานะที่คุณหมอได้ค้นคว้าเรื่องพลเอกเปรมมา คุณหมอ คิดว่าประเด็นที่น่าศึกษาที่สุดของพลเอกเปรมต่อจากงานของคุณหมอ ควรเป็นเรื่องอะไร
A : การสร้างคำอธิบายในเรื่องพลเอกเปรมของผมนี้เป็นเพียงประเด็นเรื่องการบริหารจัดการทางการเมืองของพลเอกเปรมเท่านั้น แต่การศึกษาก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เพราะยังขาดการวิเคราะห์การทำงานของโครงสร้างในเชิงสถาบันของระบบราชการไทย หากมีผู้สนใจค้นคว้าหรือศึกษาต่อ ผมคิดว่าการศึกษาโครงสร้างและกลไกระบบราชการไทยที่มีความเข้มแข็งต่อเนื่องมาจากยุคพลเอกเปรมนั้นน่าสนใจมากที่สุด
หากสามารถศึกษาโครงสร้างทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการของรัฐราชการไทยแบบเปิดรวมทั้งความเป็นสถาบันของระบบราชการต่อจากงานของผม น่าจะช่วยชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างของระบอบนี้ทำงานอย่างไรในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังจากยุคพลเอกเปรม ระบบราชการเชื่อมโยงอย่างไรกับสถาบันทางเศรษฐกิจและการเมืองอื่นๆ และโครงสร้างของระบบราชการไทยสัมพันธ์อย่างไรกับวงจรรัฐประหาร จะช่วยสร้างคำอธิบายพลวัตของการเมืองไทยที่ยังวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนไม่ผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล
___________________________________________________________________________________________________________________

เปรมาธิปไตย: การเมืองไทยระบอบไฮบริด
โดย อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ