โดย อิทธิพล โคตะมี
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใกล้ ที่ไม่เพียงวางบทบาทตนเองในพื้นที่ทางวิชาการ หากยังอุทิศตัวให้แก่การเคลื่อนไหวทางสังคมมาตั้งแต่สมัยสวมกางเกงนักเรียนขาสั้นล่วงจนวัยเกษียณ เขามีงานเขียนที่สำคัญฝากไว้จำนวนมากตลอดช่วงชีวิตอันมีความหมาย
อาทิ แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง พ.ศ. 2491-2500 (2534 และ 2550), สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย (2551), อีกฟากหนึ่งของยุโรป: ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของยุโรปตะวันออก ค.ศ. 1800-2000 (2553) และ น้ำป่า: บันทึกการต่อสู้ในเขตป่าเทือกเขาบรรทัด (2558) ฯลฯ
ทว่างานชิ้นล่าสุดเรื่อง ‘เมื่ออรุณจะรุ่งฟ้า: ขบวนการนักศึกษาไทย พ.ศ. 2513-2519’ (2564) แม้ผู้เขียนจะไม่อยู่บนผืนดินนี้แล้ว งานชิ้นนี้กลับปรากฏขึ้นมาได้อย่างถูกกาละและเทศะ นั่นคือหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในวันที่การเมืองไทยเดินมาถึงจุดหักเลี้ยวที่สำคัญ อันมีโจทย์ปัญหาที่ไม่ต่างไปจากยุคบรรพชนเดือนตุลา
เดิมที หนังสือเล่มนี้เป็นรายงานการวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนตั้งชื่อว่า “ขบวนการนักศึกษาไทย พ.ศ. 2513-2519: ศึกษาจากผู้ปฏิบัติงาน” เนื้อหามาจากการเก็บข้อมูลจากประวัติศาสตร์บอกเล่าของนักกิจกรรมในทศวรรษที่ 2510 วัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไกการจัดตั้งองค์กรปฏิวัติของนักศึกษาที่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผู้เขียนทำวิจัยไปกลับประสบปัญหาแห่งยุคสมัยดิจิทัล “จนผู้วิจัยแทบลมจับ” (น.20)
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลถูกไวรัสเรียกค่าไถ่เข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว และยังยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจต่อรองใด ๆ ให้เจ้าของข้อมูลเลือกเอา 2 ทาง คือ ข้อแรก ต้องจ่ายเงินจำนวนหลักหมื่นด้วยเงินสกุล Bitcoin ข้อที่สอง ยอมทิ้งข้อมูลทั้งหมดเสมือนว่าเราไม่เคยมีสิ่งนั้น กรณีนี้ ผู้อ่านสามารถติดตามเข้าไปอ่านในหนังสือได้ว่า ในทางแพร่งเช่นนี้ผู้เขียนเลือกทางใดเพื่อกลับมาเขียนหนังสือให้ลุล่วง
เอกสารถกเถียงว่าด้วยทฤษฎีกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา
การกลับมาของรุ่งอรุณ
หัวใจของหนังสือเล่มนี้ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยระหว่างปี 2513-2519 ขนาดย่อม แต่เก็บประเด็นครบถ้วน นอกจากนั้นยังอ่านง่ายสบายตา หากแต่ก็ไม่พาผู้อ่านพลาดฉากตอนสำคัญอันเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ตั้งแต่การก่อตัวทางความคิด พัฒนาการขององค์กรนักศึกษา ภูมิหลังของตัวแสดงทางการเมือง จนได้รับชัยชนะ และถูกปราบปรามโดยระบอบเผด็จการอีกครั้งหลังเสรีภาพทางการเมืองเบ่งบานได้เพียง 3 ปี
อีกสิ่งที่นับว่าหนังสือเล่มนี้โดดเด่น นำเสนอได้แตกต่างจากจารีตการเขียนประวัติศาสตร์ ‘เดือนตุลา’ คือการนำประเด็นดีเบตที่สำคัญในองค์กรนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาแสดง ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ขบวนการทางการเมืองติดอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทยพ่ายแพ้ และยังช่วยให้เห็นร่องรอยความคิดว่าพวกเขาแพ้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดีเบตครั้งสำคัญระหว่างอุทิศ ประสานสภา กรรมการกลาง พคท. กับ ผิน บัวอ่อน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรมการเมืองของ พคท. อันส่งผลต่อการกำหนดท่าทีการต่อสู้ของพรรคอีกนานหลายปีถัดมา
ฉะนั้นแล้ว ในยุคที่การต่อสู้ของขบวนการนักศึกษามีลักษณะรวมศูนย์ แตกต่างจากที่เรากำลังเห็นกับตาในสังคมไทยปัจจุบัน ทั้งวิธีการเคลื่อนไหว ความคิดชี้นำ การขายมวลชน หนังสือที่พวกเขาอ่าน ฯลฯ ผู้อ่านจะได้คำแนะนำจากผู้เขียนไว้อย่างครอบคลุมไม่หลุดบริบท นี่เป็นเสน่ห์ของวิธีการทำงานแบบนักประวัติศาสตร์
ในส่วนของการวางโครงเรื่อง แม้ว่าผู้เขียนจะเป็นนักประวัติศาสตร์แบบขนบ นั่นคือค้นคว้าหลักฐานชั้นต้น วางหลักฐาน วิพากษ์หลักฐาน และประเมินหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้หลักฐานพูดด้วยตัวเอง โดยหลีกเลี่ยงการใส่ความเห็นของผู้เขียน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เนื้อหาของหนังสือน่าเบื่อแต่อย่างใด เนื่องจากผู้เขียนเอาใส่ใจต่อการเล่าเรื่อง โดยให้ความสำคัญกับการก่อรูปทางความคิดที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ของไทยในต้นทศวรรษ 2500 ไว้อย่างมาก เราจะเห็นว่าสิ่งนี้จะแทรกไว้ในทุกบท
ขณะที่บริบทของเหตุการณ์สำคัญ ก็ถูกเล่าอย่างมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละคร ซึ่งผู้เขียนไม่ลืมที่จะให้ภูมิหลังทางความคิดและข้อมูลเบื้องต้น วิธีการนี้เอื้อแก่ผู้ที่สนใจใคร่รู้ในการค้นคว้าต่อไป เช่น บทที่ว่าด้วยการก่อตัวของขบวนการนักศึกษา ที่อาจจะทำให้เรามองขบวนการเป็นเอกภาพภายในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง ทว่า หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นพลวัตของตัวละครทั้งฝ่ายอำนาจรัฐและฝ่ายต่อต้าน
ฉะนั้นเมื่อมาถึงบทที่ 3 การก่อตัวของขบวนการนักศึกษา เราจึงได้เห็นหลักฐานที่หายากจำนวนมาก ซึ่งกำหนดการเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษา ว่าพวกเขาอ่านอะไร คิดอะไร พูดคุยเรื่องอะไร สนใจเรื่องอะไร และนำไปสู่การกำหนดกรอบวิธีปฏิบัติอย่างไร และนั่นเอง ในฐานะคนรุ่นหลังที่ได้อ่านย่อมจะมองเห็นทั้งโอกาสและข้อจำกัดที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมการเมือง
อิทธิพลของสิ่งพิมพ์ฝ่ายซ้ายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ท้องฟ้าสีแดงฉาน
การเฟื่องฟูของอุดมการณ์สังคมนิยม ดูจะเป็นลักษณะโดดเด่นที่หนังสือเล่มนี้ นำมาเสนอต่างออกไปจากประวัติศาสตร์เดือนตุลาเล่มอื่น ๆ เนื่องจากแม้จะเป็นการศึกษาขบวนการนักศึกษา แต่งานชิ้นนี้ไม่ปฏิเสธอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในการชี้นำการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว
อาจจะกล่าวได้ว่า ปลายปี 2517 ต่อ ต้นปี 2518 กระแสฝ่ายซ้ายที่ได้รับอิทธิพลจาก พคท. เริ่มเข้ายึดกุมความคิดชี้นำในองค์การนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลักๆ การได้อ่านเรื่องราวความคิดความขัดแย้งภายในขบวนการที่หนังสือเล่มนี้บอกเล่า ช่วยทำให้ทราบว่าผู้นำนักศึกษามีส่วนในการกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ทั้งเอื้อให้เกิดความสำเร็จ และหลายกรณีนำมาสู่ความล้มเหลวอย่างไร ที่สำคัญมากกว่านั้นเนื้อหาที่หนังสือกล่าวถึงยังเกี่ยวพันกับตัวละครทางประวัติศาสตร์หลายคนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เราอาจจะใช้ต่อยอดในการสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมกับ ‘คนเดือนตุลา’ เหล่านั้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มรดกอย่างหนึ่งที่หลงเหลือคือการทลายลงของการผูกขาดความคิดโดยรัฐ ผู้เขียนประเมินว่า นี่เป็นครั้งแรกที่สังคมไทยมีเสรีภาพทางความคิดอย่างเต็มที่ หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการมาช้านาน ดังนั้น เสรีภาพในการแสวงหาความรู้ใหม่จึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ความรู้และความคิดแบบสังคมนิยมที่เคยเป็นความคิดต้องห้ามในสมัยก่อนกรณี 14 ตุลาคม 2516 จึงได้รับความสนใจอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งเริ่มต้นจากความสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกกันว่าจีนคอมมิวนิสต์ (น.84)
หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ทำให้ความคิดสังคมนิยมเป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก็คือการที่องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัด ‘นิทรรศการจีนแดง’ ที่หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2517 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนต้องมีการขยายวันจัดงานออกไป
ถึงตรงนี้ การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในระดับถึงราก มิได้ถูกตีกรอบในหมู่ขบวนการนักศึกษาเท่านั้น หากแต่ความคิดนั้นยังแพร่กระจายออกไปยังกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบในสังคม เช่น ขบวนการกรรมกร ชาวนา และประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ตัวอย่างเช่นระหว่างปี 2514-2517 สถิติการนัดหยุดงานของขบวนการกรรมกรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง (น.96) ซึ่งผู้เขียนเสนอว่าการเกิดขึ้นขององค์กรกรรมกรเหล่านี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมกร เป็นระบบและเป็นขบวนการมากยิ่งขึ้น
เอกสารเผยแพร่ที่ได้รับอิทธิพลจากพคท.
พิราบไม่ได้มีแค่สีขาว
เช่นเดียวกันขบวนการชาวนา ในช่วงเวลานั้นที่มีสมาชิกนับล้านคน และต้องแลกมาด้วยการสังเวยชีวิตและเลือดเนื้อ โดยหาคนรับผิดไม่ได้ ผู้เขียนเผยให้เห็นทั้งปัจจัยและตัวแสดงที่แวดล้อมขบวนการชาวนาว่า เหตุใดขบวนการที่ยิ่งใหญ่นี้จึงสามารถก่อตัวขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาพ้นไปจากสำนึกแห่งการต่อสู้จากการถูกรีดนาทาเร้น มีตัวละครใด อุดมการณ์ใด เข้ามาสนับสนุนให้การต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกิน และราคาผลผลิตที่เป็นธรรม ปรากฏขึ้นจริง
อนึ่ง นอกเหนือไปจากการเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญ ภูมิหลังตัวแสดง การก่อตัวขององค์กรเคลื่อนไหว ผ่านเอกสารแถลงการณ์ ใบปลิว บันทึกข้อถกเถียงแล้ว ผู้เขียนยังนำบทกวีที่สำคัญ แต่ถูกพูดถึงน้อยในปัจจุบันกลับมา บางบทยังแถมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้ด้วย ช่วยให้เห็นชีวิตและจิตใจของคนหนุ่มสาวในช่วงเวลานั้น เช่น ในหนังสือรวบรวมทัศนะเกี่ยวกับสตรีที่ก้าวหน้า ได้ตีพิมพ์บทกวีหนึ่งที่จับความได้คมชัดถึงแนวทางการต่อสู้ใจความว่า
บทเรียนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 4-5 ทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนส่องสะท้อนถึงปัจจุบัน เพราะในขณะที่สังคมเคลื่อนไปข้างหน้า การเหนี่ยวรั้งของชนชั้นผู้ได้เปรียบย่อมเกิดขึ้น ผู้เขียนไม่ลืมที่จะชี้ให้เห็นการก่อตัวของความขัดแย้งระลอกใหม่ จนก่อเป็นความรุนแรงถึงตายในช่วงปี 2518-2519 ซึ่งนับเป็นจุดลั่นไกให้คนหนุ่มสาวเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับขบวนการที่ต่อสู้มาก่อนหน้านั้นนับทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ดูจะมีเสน่ห์มากที่สุดของหนังสือเล่มนี้สำหรับข้าพเจ้า กลับเป็นบทสั้น ๆ ในตอนท้าย อันนับเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านกล้าที่จะมองโลกอย่างภววิสัย ที่แม้จะโหดร้าย ทารุน แต่ยังดูดซับความปวดร้าวนั้นด้วยการรักษาจิตใจให้เข็มแข็ง ให้กล้าที่จะปรารถนาถึงสิ่งที่ดีกว่าและต่อสู้เพื่อให้ได้มัน
ชื่อหนังสือเล่มนี้คงพอจะยืนกรานให้เห็นถึงโลกทัศน์และชีวทัศน์ของผู้เขียนหนังสือที่ล่วงลับไป แต่ยังฝากมรดกการทำงานค้นคว้าอย่างจริงจังไว้เตือนใจแก่คนรุ่นหลัง
___________________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |