โดย พระณรงค์ วุฑฺฒิเมธี (สังขวิจิตร)
กรุงนิวเดลลี ประเทศอินเดีย
ต้องขอออกตัวชมสุรพศ ทวีศักดิ์ ก่อนที่จะไปวิจารณ์ก่อนว่า เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันวาระความเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนาและการเมือง อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะถ้าไม่อย่างเช่นนั้นแล้ว สุรพศคงท้อล้มเลิกไปเพียง เพราะความเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยเวลาที่ไม่ใช่ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่จะประสบความสำเร็จได้ อีกทั้งการประสบกับความท้าท้ายพบปะความยากลำบากอันหลากหลาย สุรพศหยุดพักไม่เป็นเลย สิ่งนี้สะท้อนได้จากหนังสือที่สุรพศเขียนออกมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดถึงการโพสต์ข้อความใน Facebook ที่บ้างก็ถกกับหลวงพ่อเสาร์และโยมชาวพุทธที่เข้ามาแลกเปลี่ยน คิดต่างกับสุรพศ อย่างถึงพริกถึงขิง กระทั่งถึงการได้รับเกียรติเชิญให้ไปพูดในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความสัมพันธ์ของพุทธศาสนาและรัฐในประเด็นต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ ชื่อของสุรพศ ทวีศักดิ์น่าจะดังอยู่ในโสตประสาทมิขาดหายจากผู้คนที่มาสนใจประเด็น ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับรัฐ จึงกล่าวได้ว่า สุรพศมีแรงผลักดันที่อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงต่อโฉมหน้าของพุทธศาสนาจริงๆ
สำหรับในหนังสือเรื่อง อำลาพุทธราชาชาตินิยมวิพากษ์แนวคิดชาตินิยมแบบพุทธของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) สุรพศยังได้ แนะนำไว้ในหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า “หวังว่างานชิ้นนี้จะได้รับการวิจารณ์ถกเถียงจากทั้งผู้ที่เห็นด้วยและเห็นแย้งในวงกว้าง” ดังนั้นผู้เขียนจึงขอทำหน้าที่วิจารณ์สุรพศตามที่ได้คาดหวังไว้ โดยใช้ฐานคิดของ secularism จากบริบทของอินเดียเป็นหลัก และรวมถึงฐานคิดบางส่วนจากในสหรัฐอเมริกาบ้าง โดยการพูดถึงในส่วนนี้นอกจากต้องการโต้แย้งและแสดงความไม่เห็นด้วยแล้วยังเป็นการเปิดมุมมองปัญหาของ Secularism
แน่นอนผู้เขียนไม่ได้ต้องการบอกว่า Secularism มีปัญหาแล้วต้องการ Religion State หากเพียงแต่จะช่วยเปิดทางให้ทราบถึงข้อเท็จจริงของปัญหาและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้อย่างไรหากนำหลักการ Secularism มาใช้ในกรณีประเทศไทย
ประเด็นว่าด้วย หากจะลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะนักการเมือง ก็ต้องลาสิกขาบทออกมาลงสมัครในมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการและบุคคลอาชีพต่างๆ ที่ลาออกมาเล่นการเมือง
หน้า 168 สรุพศกล่าวว่า
“เป็นไปได้ว่าหากแยกศาสนากับรัฐ สถาบันสงฆ์ของรัฐเปลี่ยนสภาพเป็นองค์กรศาสนาเอกชน และองค์กรศาสนาทุกศาสนาเป็นเอกชนเท่าเทียมกันพระสงฆ์มีสิทธิเลือกตั้งเหมือนพลเมืองทั่วไป แต่หากจะลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะนักการเมือง ก็ต้องลาสิกขาบทออกมาลงสมัครในมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการและบุคคลอาชีพต่างๆ ที่ลาออกมาเล่นการเมือง เมื่อองค์กรสงฆ์เอกชน และพระสงฆ์ในฐานะปัจเจกบุคคลอยู่บนจุดยืนที่ฟรีและแฟร์บนหลักความยุติธรรมสาธารณะในระบอบเสรีประชาธิปไตยแล้ว” [1]
จากข้อความนี้ สุรพศ เริ่มต้นด้วยการใช้คำว่า เป็นไปได้ว่า ผู้เขียนเดาว่า สุรพศคงคาดการณ์ว่าหากเป็นไปได้ เขาคงหวังให้เป็นไปตามนี้คือ “หากจะลงสมัครรับเลือกตั้งในฐานะนักการเมือง ก็ต้องลาสิกขาบทออกมาลงสมัครในมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการและบุคคลอาชีพต่างๆ ที่ลากออกมาเล่นการเมือง เมื่อองค์กรสงฆ์เอกชน” ตรงนี้เองที่ผู้เขียนต้องการชี้ว่า ไม่สามารถเห็นด้วยกับสุรพศ เนื่องจาก หากมองจากหลักการประชาธิปไตยที่เปิดทางให้พระเลือกตั้งได้นั้นก็เพราะประชาธิปไตยมองพระสงฆ์ในฐานะเป็นพลเมืองอยู่แล้ว อีกประเด็นสำคัญ Secularism ในอินเดีย ก็เปิดทางให้พระ นักบวชสามารถเข้าไปมีส่วนในการมีตำแหน่งในทางการเมืองได้ หรือหากพระสงฆ์รูปนั้นมีสถานะเป็นหัวหน้าองค์กรหรือมูลนิธิเอกชนแล้วพบว่ามีเงินมากมายหมุนเวียน ผู้เขียนคิดว่าเราสามารถแก้ปัญหาให้ท่านลาออกจากองค์กรนี้ได้หรือให้ท่านยืนทรัพย์สินชี้แจง ได้ ผู้เขียนได้เคยแลกเปลี่ยนประเด็นนี้เป็นการส่วนตัวกับเจษฎา บัวบาล บก. วารมานุษยวิทยาศาสนาเช่นเดียวกัน และได้ข้อสรุปว่าประเด็นนี้เราเห็นตรงกัน แต่ไม่ควรให้ลาสิกขา
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าการที่สุรพศบอกว่าให้พระสงฆ์ลาสิกขานี้หมายถึงการเห็นควรให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นข้อปฏิบัติหรือไม่ หากไปถึงขนาดนี้ ความเป็น Secularism ที่สุรพศต้องการให้เห็นมันคือการเบียนบังสิทธิของพลเมืองต่อผู้ที่มีสถานะเป็นนักบวช ส่วนประเด็นว่า พระจะไปลงเลือกตั้งหรือไปมีตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของวัด สำนักนิกายทางศาสนาจะไปจัดการกันเองภายใน ไม่ควรจะเป็นเรื่องของจารีตการปฏิบัติในทางเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง หรือระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าให้พระควรลาสิกขาหากประสงค์จะเข้าสู่ตำแหน่งในทางการเมือง
ประเด็นนี้สำหรับในอินเดีย ปัจจุบันเรามี Yogi Adityanath ซึ่งเป็นพระฮินดูเป็นผู้นำใน รัฐอุตตรประเทศ สังกัดพรรค Bharatiya Janata Party (BJP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอยู่ในขณะนี้ เขาเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเขตเลือกตั้งโกรัขปูร์ (Gorakhpur) รัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) เป็นเวลาห้าวาระติดต่อกัน Adityanath ยังเป็น Mahant หรือหัวหน้านักบวชของ Gorakhnath Math ซึ่งเป็นวัดฮินดูในโกรัขปูร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงตำแหน่งตั้งแต่การตายของ "พ่อ" เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Hindu Yuva Vahini ซึ่งเป็นองค์กรชาตินิยมฮินดูอีกด้วย Yogi Adityanath ยังมีภาพลักษณ์ในฐานะนักปราชญ์ชาวฮินดูฝ่ายขวามือขวา [2]
Yogi Adityanath
จากกรณีนี้เราจะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติรัฐธรรมนูญอินเดียเปิดทางให้พระนักบวชเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งทางการเมืองได้ อีกเหตุผลสำคัญผู้เขียนมองว่า หากสุรพศปิดกั้นไม่ให้นักบวชเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองเพียงเพราะเหตุผลของการกังวลว่าคำสอนทางศาสนาหรือบทบาทางศาสนาจะเข้าไปมีบทบาทการทางการเมือง หรือในพื้นที่สาธารณะ จึงต้องปิดทางนี้โดยให้พระไปลาสิกขาก่อน ผู้เขียนมองว่าเหตุผลนี้ไม่สามารถใช้งานได้เลย เนื่องจากว่า ระบบศาสนาอื่น อย่างมุสลิม โปรเตสแตนต์ ไม่มีระบบนักบวชก็จริงหากแต่ผู้นับถือศาสนาที่ไม่มีระบบนักบวชก็ยังสามารถนำความคิดทางศาสนาไปผลักดันทางการเมืองได้อยู่ดี อย่างเช่น ในกรณีของสหรัฐฯ เจสสิก้า ฟาร์ราร์ นักการเมืองหญิงจากพรรคเดโมแครต (Democratic) ในรัฐเท็กซัส ได้ยื่นกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ชายต้องโทษปรับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (82 ปอนด์) จากการช่วยตัวเอง เว้นแต่จะทำในที่โรงพยาบาลหรือคลินิก [3]
นี้คือตัวอย่างว่า นักการเมืองท่านนี้ไม่ใช่นักบวชแต่กลับในแนวคิดทางศาสนามาผลักดันในทางการเมือง เพราะเรื่องการห้ามช่วยตัวเอง เป็นแนวคิดทางศาสนาคริสต์ แน่นอนในการช่วยตัวเองเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพระภิกษุในศาสนาพุทธเช่นกัน ดั่งมีข้อห้ามปรับอาบัติหนักสังฆาทิเสส หรือกรณีอเมริกาอีกเช่นเดียวกันซึ่งเป็นตัวอย่างในคริสต์ศาสนาจากนิกายโปรเตสแตนต์ เช่นท่านสาธุคุณ เจสซี่ แจ็คสัน เคยสมัครชิงตำแหน่งผู้แทนพรรคเดโมแครต เพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2527 และ 2531 เป็นรัฐมนตรีแบ๊บติสต์ สาขาหนึ่งของนิกายโปรเตสแตนต์ (ในศาสนาคริสต์ รัฐมนตรีคือบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากคริสตจักรหรือองค์กรทางศาสนาอื่น ๆ ให้ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การสอนความเชื่อ บริการชั้นนำ เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรืองานศพ หรือให้คำแนะนำทางจิตวิญญาณแก่ชุมชน) [4]
ต่อมาแม้นกระทั่งว่าหากเป็นศาสนาที่มีระบบนักบวชก็สามารถมีฆราวาส ใช้ความเชื่อทางศาสนาไปกำหนดเป็นคำสั่งหรือสื่อสารออกไปยังที่สาธารณะ ดั่งนายกโมดี ของอินเดียเคยพูดว่า "ไม่มีบุคคลใดในประเทศนี้มีสิทธิที่จะนำกฎหมายมาอยู่ในมือของตนเองในประเทศนี้" ในขณะที่กล่าวว่าการปกป้องวัวซึ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวฮินดูเป็นสิ่งจำเป็น - "ไม่มีใครพูดถึงการปกป้องวัวมากกว่ามหาตมะ คานธีและอชายา วิโนบา ภเว" "นี้ (ความรุนแรง) ไม่ใช่สิ่งที่มหาตมะ คานธีจะยอมรับ [5]
ประเด็นเรื่องการห้ามฆ่าตัวเป็นความเชื่อทางศาสนาอินดูและในท้ายที่สุดในตอนนี้ ได้กลายเป็นการออกกฎหมายไปแล้วในรัฐธรรมนูญของอินเดีย (ประเทศที่มีคนนับถือศาสนาฮินดูประมาณ 80%) จึงได้ระบุข้อกำหนดเรื่องการฆ่าวัวไว้ชัดเจนโดยได้ให้อำนาจแก่รัฐต่างๆ ในการออกกฎหมายห้ามการฆ่าวัว ทำให้ในปัจจุบัน มีรัฐที่อนุญาตให้ฆ่าวัวได้เพียง 8 รัฐจาก 29 รัฐในอินเดีย ได้แก่ เกรละ อรุณาจัลประเทศ มณีปุระ เมฆาลัย มิโซรัม นาคาแลนด์ สิกขิมและตริปุร [6] แน่นอนการออกนโยบายการฆ่าวัวมันย้อนแย้งกับหลักการ Secularism อย่างชัดเจน
ประเด็นต่อมาสุรพศเขียนถึง ตรุงปะ (Chögyam Trungpa) และองค์ทะไลลามะ (His Holiness Dalai Lama) ในหนังสือเรื่อง อำลาพุทธราชาชาตินิยม: วิพากษ์แนวคิดชาตินิยมแบบพุทธของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป.อ. ปยุตโต) สุรพศอ้าง ถึงทะไลลามะว่าเป็นผู้นำรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต และอ้างถึงตรุงปะ รินโปเชจากนิกายกาจู ว่า
“ที่ภูมิปัญญาแบบวัชรยานได้มาปะทะสังสรรค์กับภูมิปัญญาโลกวิสัย ภายใต้เงื่อนไขที่จำเป็นต้องปรับตัวตามหลักการและวัฒนธรรมแบบโลกวิสัย เพราะตรุงปะต้องปรับวิถีชีวิตและวิธีการสื่อสารของตนเองให้ชาวอเมริกันรับได้ ขณะที่ทะไลลามาะ คือ ผู้นำ รัฐบาล พลัดถิ่นของชาวทิเบตเรือนแสนที่อพยพหนีการยึดครองของรัฐบาลจีนมาพำนักอาศัยอยู่ในอินเดีย และจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับโลก เพื่อประท้วงรัฐบาลจีนและทวงคืนอิสรภาพให้แก่ชาวทิเบต ภายใต้เงื่อนไขนี้ทำ ให้ทะไลลามะต้องใช้จุดยืนสิทธิมนุษยชน สันติภาพภาพโลก และประชาธิปไตยในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และการสื่อสารกับนานาชาติโดยเฉพาะต้องการได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ”
ประเด็นนี้ขอเรียนชี้แจงอย่างนี้ก่อนว่า ผู้เขียนได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตในเมืองธรัมศาลา ราว ๆ สามปีเห็นจะได้ และได้เข้าเฝ้าพบปะองค์ทะไลลามะอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่กิจกรรมทางพุทธศาสนาวัชรยานที่วัดองค์ทะไลลามะและร่วมเรียนพุทธวัชรยานกับรินโปเชท่านอื่น ๆ ร่วมถึงการอาศัยอยู่ในอินเดียในพื้นที่อื่นด้วย แต่ผู้เขียนอาศัยอยู่ในเมืองธรัมศาลานานกว่าเมืองอื่น ๆ การอ้างเรื่องนี้ก็เพียงเพื่อจะยืนยันว่า ผู้เขียนอธิบายเรื่องนี้จากคนที่มีประสบการณ์เข้าไปใช้ชีวิตจริง แต่ไม่ได้กำลังจะบอกว่า ข้อเขียนที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่สามารถสร้างโต้แย้งหรือเห็นต่างได้
Dalai Lama
ประเด็นแรก ทะไลลามะไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลทิเบตในความหมายนักการเมืองหรือผู้นำประเทศแล้ว เนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554 องค์ทะไลลามะได้สละบทบาทจากการเป็นผู้นำประเทศสู่นายลอบซัง ซังเกย์ (Lobsang Sangay) ซึ่งต่อมาได้รับเลือกตั้งจากประชาชนผลัดถิ่นทิเบตในอินเดียและที่อื่น ๆ ให้เป็น ประธานาธิบดีของชาวทิเบตพลัดถิ่น [7]
ประเด็นต่อมาบทบาทขององค์ทะไลลามะไม่ได้ใช้หรือตีความพุทธศาสนาวัชรยานเพื่อให้สอดรับกับคุณค่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน คุณค่าของโลกวิสัยอย่างที่สุรพศจะพยายามเน้นย้ำเท่านั้น ถ้าเราดูจากงานเขียนของ Stephanie Romer ในเรื่อง The Tibetan government-in-exile: Politics at large ในหัวข้อเรื่อง The Tibetan Buddhist nationalism องค์ทะไลลามะถึงกลับยอมรับว่า สัญลักษณ์ประจำชาติทิเบตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในทิเบต และตามความเห็นขององค์ทะไลลามะ องค์ที่ 14 มองว่า ‘พิธีกรรมทางพุทธศาสนาทิเบต เป็นประโยชน์ในการรักษาความรักชาติของชาวทิเบต' เพราะทุกครั้งที่องค์ทะไลลามะแสดงธรรมที่เมืองธรัมศาลา ก็จะมีผู้ฟังจากหลากหลายประเทศราวเรือนพันมาฟังทะไลลามะ ส่วนในด้านชาวทิเบต ก็จะแต่งชุดประจำชาติ นักการเมืองข้าราชการก็จะแต่งตัวใส่ชุดประจำชาติทิเบตเช่นเดียวกัน บางครั้งมีการแสดงดนตรีทิเบตดั่งเดิม สิ่งเหล่านี้ชี้ชัดว่าทะไลลามะก็ใช้พุทธศาสนาวัชรยาน สร้างความเป็นชาตินิยมต่อชาวทิเบตเพื่อให้ชาวทิเบตสามารถร่วมตัวกันได้ ตั้งแต่การให้มีการใส่ชุดทิเบต โรงเรียนทางด้านทิเบตจะปิดการสอนทุกครั้งหากพบว่าวันดั่งกล่าวทะไลลามะจะสอนธรรมะให้กับชาวต่างชาติ ในเมืองธรัมศาลา
Chögyam Trungpa
ประเด็นสุดท้ายเป็นความจริงที่ว่าในเริ่มแรกของการนำพุทธศาสนทิเบตเข้าสู่ตะวันตก ตรุงปะ นำพุทธศาสนาวัชรยานเข้าไปในอังกฤษ โดยเฉพาะในอเมริกา โดยพยายามวางจารีตทางพุทธทิเบตลง ในหนังสือเรื่อง ร่ายรำชีวิต 17 ภพ แห่งองค์กรรมาปะ (The Dance of 17 Lives: The Incredible True Story of Tibet's 17th Karmapa) ได้เล่าถึงว่า ตรุงปะ ถูกเพื่อนสนิทอย่างจัมกอล พูดว่า ไม่น่าจะไปจีบหรือยุ่งเกี่ยวกับสตรีสาวทั้งที่ตัวเองยังไม่ถอดจีวรพระออกเลย (ตอนนั้นตรุงปะยังไม่ลาสิกขา) การกระทำของตรุงปะท้าท้ายจารีตดั่งเดิมของพุทธทิเบตมาก แต่กระนั้นการวางตัวของตรุงปะก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้คนสนใจในตัวตรุงปะลดน้อยลง กลับถูกได้รับการนิยมจากผู้คนที่เชื่อในกระแส่ฮิปปี้ (hipster) จิตวิญญาณแห่งบุปผาชนมากขึ้น ตุรงปะจากนักบวช สินใจถอดจีวรออก แล้วเข้าคลุกคลีใช้ชีวิตเป็นเนื้อเดียวกันกับชาวบุปผาชน แต่งตัวแบบเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน แถมยังร่วมวงดื่มเหล้าเมายากับบรรดาฮิปปี้หนุ่มสาวเหล่านั้นด้วย หากตัดสินด้วยสายตาแบบ “คนดี” ตามจารีตนิยมของพุทธศาสนา เราอาจชี้นิ้วไปที่ตรุงปะแล้วพิพากษาว่าเป็นอดีตนักบวชที่เลอะเทอะ ไม่สมกับที่ครูบาอาจารย์ควรจะเป็น แต่เชอเกียม ตรุงปะ กลับมองสถานะของ “อาจารย์” ต่างไป ท่านไม่ต้องการให้อาจารย์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งอยู่บนแท่นบูชา กลับมองว่าอาจารย์ควรเป็นคนคนหนึ่งที่เข้าถึงง่าย ผูกมิตรด้วยได้ และใช้ชีวิตไปด้วยกัน [8] ในประเด็นนี้ไม่แน่ใจว่า ตรุงปะต้องปรับตัวเช่นนั้นเพราะด้วยบริบทของความเป็นสมัยใหม่ ชูคุณค่าสากล หรือตามที่สุรพศอ้างว่า “ที่ภูมิปัญญาแบบวัชรยานได้มาปะทะสังสรรค์กับภูมิปัญญาโลกวิสัย ภายใต้เงื่อนไขที่จำเป็นต้องปรับตัวตามหลักการและวัฒนธรรมแบบโลกวิสัย” ที่ผู้เขียนไม่แน่ใจนั้นก็เพราะในสหรัฐฯ ในปัจจุบันพุทธแบบทิเบตที่เข้าไปในระยะหลังเป็นการเผยแผ่ที่ต่างออกไปจากยุคของตรุงปะ ยุคปัจจุบันพุทธทิเบตที่ไปเผยแผ่เป็นการเน้นไปที่สายจารีต (Tibetan Buddhism traditional) เช่น
ตัวอย่างของสถาบันทางพุทธศาสนาขนาดใหญ่ที่จัดตั้งขึ้นทางทิศตะวันตกคือเครือข่ายของศูนย์พุทธที่มุ่งเน้นไปที่ พุทธนิกายเกลุก หรือเกลุกปะ (Geluk) ซึ่งก่อตั้งในปี 1970 โดย ลามะทุบเทน เยเช (Lamas Thubten Yeshe) และ ท่านรินโปเชทุบเทน โสปะ (Thubten Zopa Rinpoche) ได้เติบโตขึ้นเพื่อครอบคลุมศูนย์การสอนมากกว่า 142 แห่งใน 32 ประเทศ นอกจากองค์กรหรือเครือข่ายขนาดใหญ่ที่กล่าวมา พุทธศาสนาเส้นทางไดมอน (Diamond Way), ชุมชน ซกเซน (Dzogchen) และ ซัมบาลา (Shambhala International) แล้ว ยังมีวัด ศูนย์ และชุมชนอิสระอีกจำนวนมาก เหล่านี้รวมถึงสวาสติ (Sravasti Abbey) ในสหรัฐอเมริกา, การจู ซัมเย ลิง(Kagyu Samye Ling) ในสกอตแลนด์ และเลรัปลิง (Lerab Ling) ในฝรั่งเศส สถาบัน วัดหรือองค์กร เหล่านี้ล้วนเป็นพุทธศาสนาทิเบตสายจารีตทั้งนั้น กล่าวคือเป็นพุทธศาสนาทิเบตที่เน้นนักบวช พระภิกษุ (เกลอง) แม่ชี (อนิลา) และภิกษุณีชาวอเมริกันอย่างท่าน ทุบเทน ซูวรอน (Thubten Chodron) กระทั่ง การปฏิบัติธรรมสายโยคี หรืองักปะในภาษาทิเบต อย่าง บี อลัน วาเลส (B. Alan Wallace) นักเขียนและงักปะชาวอเมริกัน
พุทธศาสนาทิเบตในตะวันตกของปัจจุบัน เป็นกระแสของสายจารีตพุทธทิเบตตามที่ได้กล่าวมาไม่ได้มีภาพของสายสมัยใหม่มากนักเมื่อเทียบกับตรุงปะก่อนหน้านั้นในยุคฮิปปี้ ตามที่ผู้เขียนเข้าใจและคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของ Secularism มากนัก เพราะถ้าไม่อยากนั้น พุทธศาสนาทิเบตสายเลรัปลิง (Lerab Ling) ในฝรั่งเศสคงไม่สามารถเติบโตได้ เพราะตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ Secularism ในที่นี้ ค่อนข้างมีท่าทีที่เข้มงวดกับศาสนา แต่ผู้เขียนคิดว่าในฝรั่งเศส ความเข้มข้นของ Secularism เป็นเพราะมีท่าทีไม่รู้สึกปลอดภัยต่อมุสลิมมากกว่า ไม่ใช่ต่อพุทธศาสนา และคิดว่าไม่ใช่เพราะความเข้มของ Secularism ภายในตัวของมันเอง หรือเพราะตัว Secularism ส่งผลต่อรูปแบบหรือการปรับเปลี่ยนรูปทรงของพุทธศาสนาทิเบตในอเมริกาดั่งที่ได้กล่าวมา แต่เป็นเพราะบริบทที่ผู้คนต้องการศาสนาแบบไหน หรือเพราะผู้เผยแผ่ต้องการประสบผลสำเร็จในการที่จะเผยแผ่ศาสนาได้อย่างไร จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
[1] สุรพศ ทวีศักดิ์. (2021). อำลาพุทธราชาชาตินิยม วิพากษ์แนวคิดชาตินิยมแบบพุทธของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต), 168.
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Yogi_Adityanath accessed on 15thSeptembe, 2021.
[3] https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/jessica-farrar-mans-right-to-know-masturbation-fine-texas-abortion-law-emission-a7626441.html accessed on 15th Septembe, 2021.
[4] https://en.wikipedia.org/wiki/Jesse_Jackson accessed on 16th Septembe, 2021
[5]https://www.ndtv.com/india-news/killing-people-in-name-of-gau-bhakti-not-acceptable-says-pm-narendra-modi-1718368 accessed on 15th Septembe, 2021.
[6] https://www.thaiindia.net/knowledge/2014-12-30-14-09-50/item/1849-beef-ban-maharashtra.html on 15th Septembe, 2021.
[7] พระ ณรงค์ วุ ฑฺ ฒิ เมธี, & ศุภ กิจ ภักดี แสน. (2019). บทบาท การ บริหาร การ พัฒนา ของ องค์ ทะ ไลลา มะ ที่ 14 และ รัฐบาล พลัดถิ่น ทิเบต ต่อ ชุมชน ผู้ อพยพ ทิเบต ใน เมือง ธ รัม ศาลา ประเทศ อินเดีย. วารสาร สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหา ม กุ ฏ ราช วิทยาลัย, 2(2), 63-74.
[8] https://www.matichonweekly.com/column/article_22678 accessed on 16th Septembe, 2021
________________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 197,001 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 130,272 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 10 ต.ค. 2568 |