ผู้เขียน ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
ก่อนอื่นผู้เขียนขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ในการวิพากษ์หนังสือ “อำลาพุทธราชาชาตินิยม” ของ สุรพศ ทวีศักดิ์ ในครั้งนี้ผู้เขียนจึงเน้นการวิพากษ์ในปัญหาหลักการทางการเมืองและประวัติศาสตร์ยุโรปที่ถูกอ้างขึ้นเพื่อใช้วิพากษ์ ป.อ. ปยุตฺโต เป็นสำคัญ โดยบทวิจารณ์นี้จะเป็นงานกึ่งวิชาการเท่านั้นและไม่ได้มุ่งโจมตีข้อเสนอหลักของหนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด
ปัญหาสำคัญที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือ ศัพท์คำว่า “พุทธราชาชาตินิยม” ศัพท์คำนี้นับเป็นหัวใจของหนังสือตั้งแต่ปกจนถึงบทสรุปในการอำลา โดยใช้ศัพท์คำนี้ในการอธิบายสังคมไทยตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 3 เมื่อ วชิรญาณภิกษุ (รัชกาลที่ 4) พยายามปฏิรูปศาสนาตั้งแต่ยังทรงผนวช จนมาถึงปัจจุบันโดยมีป.อ. ปยุตฺโต เป็นตัวแทนของแนวคิดดังกล่าว
ป.อ. ปยุตฺโต
สุรพศ มิได้ให้นิยามที่ชัดเจนไว้ในหนังสือว่า “พุทธราชาชาตินิยม” หมายถึงอะไรอย่างแน่ชัด ข้อความที่ดูจะให้ความหมายได้ชัดเจนที่สุดคือ การวงเล็บความหมายในภาษาอังกฤษว่า “Buddhist monarchy nationalism” ซึ่งน่าจะถอดความหมายได้ว่า “ชาตินิยมของกษัตริย์พุทธ” การใช้ศัพท์คำนี้อธิบายสังคมไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 นับว่าเป็นข้อเสนอใหม่ทางวิชาการอย่างแท้จริง เนื่องจากข้อถกเถียงทางวิชาการกว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมาเรื่องการสร้างชาติของรัฐไทย ถอยหลังไปไกลที่สุดคือในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสยามก้าวเข้าสู่การเป็น “รัฐสมัยใหม่” (modern state) อันเป็นที่ยอมรับกันแล้ว เนื่องจากในช่วงเวลา (รัชกาลที่ 4-6) ดังกล่าวมีการ 1. ยืนยันความต่อเนื่องของรัฐพุทธที่เชื่อว่า พุทธศาสนากับสถาบันกษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตั้งแต่สุโขทัย 2.เน้นภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก และรู้เท่าทันตะวันตก 3.แยกคำสอนที่แท้จริงออกจากความเชื่องมงายในศาสนาพุทธ 4.รวมศูนย์อำนาจปกครองคณะสงฆ์ให้ขึ้นกับเถรสมาคม ซึ่งเป็นศาสนาจักรที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และ 5. ยืนยันว่าชาติไทยมีศาสนาประจำชาติคือพุทธ
ผู้เขียนเห็นว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีปัญหาหลายประการในทางวิชาการ ชาตินิยมโดยพื้นฐานแล้วเป็นการเน้นให้มวลชน (mass) สมาทานตัวเองเข้ากับอุมการณ์ชาติหนึ่ง ๆ เช่น เป็นคนเชื้อชาติ (race) เดียวกัน หรือเป็นคนในรัฐเดียวกันในแนวทางแบบสาธารณรัฐ (republic) เป็นต้น การที่มีพุทธราชาชาตินิยมเกิดขึ้นได้นั้น แสดงว่าต้องมีกระบวนการทำให้มวลชนสมาทานตัวเองเข้ากับกษัตริย์และพุทธศาสนา (หรือกษัตริย์พุทธ?) ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 3-5 ที่รัฐพึ่งเริ่มจะมีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและยังไม่มีการพยายามใด ๆ ในการผลักดันอุดมการณ์ชาติหรือศาสนาออกไปสู่มวลชน แม้กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 จะมีการออก พ.ร.บ.การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเครื่องมือสร้างชาติที่ทรงอานุภาพ แต่ก็ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมากว่า “พุทธราชาชาตินิยม” แท้จริงคืออะไร มีความแตกต่างจาก “ราชาชาตินิยม” (royal nationalism) ที่ธงชัย วินิจจะกูลได้เสนอหรือไม่ หรือมีความแตกต่างจาก “ราชานิยม” (royalism) อย่างไร หากจะกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ “พุทธราชาชาตินิยม” มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงวลีที่ใช้ในทางการเมือง (สงฆ์?) เท่านั้น
ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่าศาสนาพุทธมีส่วนสำคัญยิ่งในการส่งเสริมสถานะของกษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีต แต่ผู้เขียนไม่เห็นว่าการที่ศาสนาจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้แก่กษัตริย์จะเป็นเรื่องที่แปลกหรือแตกต่างจากที่อื่น ๆ ในโลกอย่างไร การก้าวขึ้นไปอยู่เหนือผู้คนย่อมต้องมีเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อของคนใต้ปกครองอยู่แล้ว ตั้งแต่กษัตริย์โซโรมอนของยิว เทวสิทธิ์ของคริสต์ สุลต่านของอิสลาม กระทั่งฮ่องเต้ของจีน หากประชากรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธ ข้ออ้างความชอบธรรมของกษัตริย์ไทยย่อมเปลี่ยนไปเช่นกัน
ปัญหาประการต่อมาของหนังสือเล่มนี้คือ การอ้างหลักสากล (ตะวันตก) เพื่อใช้โต้กลับข้อเสนอของ ป.อ. ปยุตฺโต ราวกับว่าหลักการเหล่านั้นบริสุทธิ์ เป็นกฎของธรรมชาติหรือความจริงแท้ ในที่นี้ผู้เขียนจะขออภิปรายแค่ “หลักเรื่องทางโลก” (secular) เท่านั้น
สุรพศระบุว่า “หลักเรื่องทางโลก” เป็นหลักที่ใช้แยกขาดระหว่าง ศาสนาในแง่ความเชื่อ (faith) ออกจากเหตุผล (reason) หรือความเป็นวิทยาศาสตร์ และระบุต่อไปว่า “ศีลธรรมในแบบโลกวิสัย (secular morality) เป็นกฎศีลธรรมสากลที่ทุกคนพึ่งปฏิบัติร่วมกัน” แต่แท้จริงแล้วหลักการเหล่านี้ไม่ได้มีความเป็นสากลแต่อย่างไร เพียงแต่ถูกทำให้กลายเป็นมาตรฐานของโลกในยุคสมัยใหม่ (modern) ผ่านยุคล่าอาณานิคมและกระบวนการจักรวรรดินิยมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
หากจะพูดให้ถึงที่สุด คำว่า “สากล” เองก็ไม่เคย “สากล” มาตั้งแต่แรก คำว่า “สากล” แปลมาจากคำว่า “Universal” มาจากรากศัพท์ของคำว่า ความเป็นหนึ่งเดียว (uni) ที่หมุนกลับ (verso) ซึ่ง uni ในที่นี้ก็คือยุโรปคริสต์ verso ก็คือการหมุนกลับไปหายุโรป “Universal” จึงเป็นการหมุนกลับไปหายุโรปคริสต์หรือพระเจ้าอยู่เสมอตามแนวคิดแบบเอกเทวนิยม (monotheism) กล่าวโดยสรุปคือ ความเป็นสากลจึงเป็นเพียงมาตรฐานของพระเจ้าในศาสนาคริสต์ แต่ในโลกที่นับถือพระเจ้าองค์อื่น ความสากลนั้นย่อมไม่ใช่ความสากลที่แท้จริง
แนวคิดการแยกรัฐออกจากศาสนา ในความเห็นของ เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jurgen Habermas) คือสิ่งที่เบี่ยงเบนออกไปจากวิถีปฏิบัติของชาวโลกหรือ “เส้นทางพิเศษ” (Sonderweg) เพียงแต่การเบี่ยงเบนที่แสดงความพิเศษของยุโรปคริสต์กลับกลายมาเป็นมาตราฐานให้ชาวโลกเท่านั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ในโลกศาสนาไมได้แยกออกจากรัฐหรือการเมือง สภาวะเรื่องทางโลกนั้นจึงแทบไม่อาจตัดขาดได้จากปัญหาภายในของศาสนาศริสต์เอง ลักษณะของการแยกพื้นที่ต่าง ๆ ให้ขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเป็นภาวะที่เกิดในศาสนาอับราฮัม (Abrahamic religions) ความดี-ความชั่ว ขาว-ดำ จริงแท้-หลอกลวง มนุษย์-พระเจ้า ฯลฯ ล้วนเป็นการแบ่งพื้นที่ที่เด็ดขาดอันเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในศาสนาพุทธ (ที่เน้นเรื่อง “อิทัปปัจจยตา”) การแยกตัวเองของคริสต์ออกจากยิวจึงเป็นการแบ่งแยกพื้นที่เชิงจิตวิทยาที่สำคัญของความจริงแท้และจอมปลอม ซึ่งเกิดอย่างต่อเนื่องจนไปถึงการแยกนิกายต่าง ๆ ในศาสนาคริสต์ (นิกายไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง) จนทำให้เกิดสงครามศาสนาที่ยาวนานยุโรป นับตั้งแต่การปฏิรูปศาสนาของโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation) ที่เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1517 จนสิ้นสุดด้วยสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ.1648 (Peace of Westphalia) ที่ถูกสถาปนาให้กลายเป็นระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (สมัยใหม่) จนนำไปสู่การแยกศาสนาออกจากพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ทางการเมือง รากฐานความเป็นเรื่องทางโลกจึงเป็นปัญหาภายในของศาสนาคริสต์ กล่าวคือเป็นการพยายามสถาปนาอำนาจทางการเมืองให้เหนือกว่าอำนาจของพระในกรอบโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) จากพลังของโปรเตสแตนส์ที่ได้รับการผลักดันผ่านอำนาจทางการเมืองโดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดอำนาจองค์กรทางศาสนา
สัญลักษณ์ของ Holy Roman Empire
แท้จริงแล้ว “เรื่องทางโลก” (secular) ตามความหมายดั้งเดิมในทางกฎหมายคือการยึดทรัพย์ของพระหรือทำให้พระกลับมามีสถานะของฆราวาส (secular) ต่อมาคำ ๆ นี้ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นของธรรมดาที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น การทำให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนากลายมาเป็นศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์ หรือการทำให้พระคัมภีร์ไบเบิลกลายมาเป็นวรรณกรรม กล่าวคือเป็นการเปลี่ยนพระคัมภีร์ไบเบิลให้เป็นเรื่องจินตนาการแห่งความฝันเฟื่องจนไปถึงตำนาน (myth) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนพันธสัญญาเก่าจากที่เคยถูกถือว่าคือ “ความจริง” เป็นต้น
เทววิทยาและศาสนาได้แปรรูปและถูกยกระดับขึ้นให้กลายเป็นเรื่องของ “เหตุผล” การเปลี่ยนแปลงรากฐานของพระเจ้าปรากฏอยู่ในรูปของความคิด (eidos) ที่แสดงผ่านเหตุผล (logos) ดังปรากฏอยู่ในพระวรสารนักบุญยอห์น (St.John’s Gospel) ที่แสดงให้เห็นถึงพลังการสร้างสรรค์พสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลของพระผู้เป็นเจ้า หรือพระเจ้าในฐานะ “เหตุแห่งสรรพสิ่ง” (rational being) การผสานพระเจ้าเข้ากับเหตุผลทำให้กรอบคิดแบบเอกเทวนิยมมีความเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาด (despotism) ความสมบูรณ์ของพระเจ้าแยกขาดจากมนุษย์อย่างเด็ดขาด หรือดังที่คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่นส์ (Christopher Hitchens) และริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นเรื่องทางโลกล้วนแต่แสดงอำนาจของวิทยาศาสตร์ (science) และเหตุผลที่แตกต่างไปจากกรอบความคิดของสังคมดั้งเดิมในยุโรปที่ถูกควบคุมภายใต้คริสต์ศาสนา
แนวคิดทางโลกหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในยุคแรก ๆ จึงไม่ได้ตัดขาดจากศาสนาอย่างแท้จริง นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญล้วนมีความเชื่ออย่างหนึ่งเหมือนกันคือ พระเจ้าได้สร้างโลกด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ พวกเขาจึงสามารถค้นพบพระเจ้าได้จากการศึกษาธรรมชาติ ตามที่พวกเขาเรียกมันว่า “หนังสือแห่งธรรมชาติ” (Book of Nature)
แนวคิดการแยกรัฐออกจากศาสนาจึงมีแรงขับดันจากประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์เองอย่างมาก และไม่ได้เป็นการตัดขาดจากศาสนาอย่างเด็ดขาด หลักการต่าง ๆ ทางการเมืองในปัจจุบันจึงมีรากฐานของศาสนาคริสต์อย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น “การรวมศูนย์อำนาจ” ที่มาจากกรอบความคิดของพระเจ้าที่รวบอำนาจแต่เพียงผู้เดียว (The One) แนวคิดนี้ได้การสถาปนาอำนาจทางการเมืองแต่เพียงผู้เดียว กล่าวคือ อำนาจแบบรวม (centre) และ รวมศูนย์ (centralizing) อยู่ที่พระเจ้า โดยพระองค์จะปฏิบัติการผ่านตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ หรือพระทั้งหลาย “ทฤษฎีอำนาจอธิปไตย” (Sovereignty) ของ ฌอง โบแดง (Jean Bodin) ที่ระบุว่าอำนาจอธิปไตยคือ ความสมบูรณ์เด็ดขาด (absolute) ต้องไม่ถูกจำกัดจากสิ่งใด ๆ ถือเป็นอำนาจที่เด็ดขาดและบริบูรณ์ในตัวเอง โดยไม่มีอำนาจใดมาลบล้างได้ การตีความอำนาจอธิปไตยเป็นสิ่งสูงสุดเช่นนี้ย่อมเป็นการเลียนแบบอำนาจของพระเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดบนสวรรค์ “ทฤษฏีสัญญาประชาคม” (social contract) ของทั้งจอห์น ล็อก (John Locke) โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หรือ ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นั้นต้องก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องพันธสัญญาจากคัมภีร์ไบเบิลระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าที่ถูกเปลี่ยนรูปให้เป็นสัญญาระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครอง กระทั่ง “ทฤษฏีการแบ่งแยกอำนาจ” ของมองเตสกิเออร์ (Montesquieu) ที่แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นสามส่วน ได้แก่ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ก็ยืมรูปแบบมาจาก “ตรีเอกภาพ” (The Trinity) ที่แบ่งพระเจ้าออกเป็น “พระบิดา” “พระบุตร” และ “พระจิต” อันแสดงถึงการเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสามพระบุคคล (Being) ซึ่งได้แปลงรูปมาสู่การแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ส่วน โดยในที่นี่ “พระเจ้า” จึงถูกแทนที่ด้วย “อำนาจอธิปไตย” นั่นเอง
ภาพวาดแสดงหลักการตรีเอกภาพ
แม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยอย่างยิ่งต่อข้อเสนอของสุรพศ ให้มีการให้แยกศาสนาออกจากการเมือง โดยเฉพาะไม่ควรบัญญัติให้มีศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ในทางปฏิบัติแล้วหากทำราวกับว่า หลักการต่าง ๆ ที่ยกมาเป็นหลักสากลที่จริงแท้และเหนือศาสนาใด ๆ ย่อมไม่อาจผลักดันได้ในสังคมอื่นที่ไมได้นับถือศาสนาคริสต์อย่างเต็มที่ เพราะหลักการเหล่านั้นต้องการหลักการทางจริยะ (Ethic) หรือแรงขับทางศีลธรรมเพื่อให้ปรากฏ เช่น เราย่อมไม่อาจพูดว่าคนเราเท่าเทียมกันได้อย่างเต็มปากหากยังมีการสอนเรื่อง “บัว 4 เหล่า” “บุญ-กรรม” หรือ “ภพ-ชาติ” การที่หลักสิทธิมนุษยชนสามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่ในโลกตะวันตกเพราะมีแรงขับพื้นฐานว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคน ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงมีคุณค่าเท่ากันจากการที่ถูกพระเจ้าสร้าง ซึ่งความดี-ชั่ว ในชีวิตหนึ่ง ๆ ย่อมถูกตัดสินเมื่อถึงวันพิพากษา แต่หากเราใช้หลักพุทธมาอธิบายความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ย่อมเกิดวลีติดหูอย่าง “จะแข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้” หรือ “คนเราย่อมไม่สามารถเท่ากันได้อย่างแท้จริง ประดุจนิ้วมือที่ไม่เท่ากัน”
คำพูดในลักษณะนี้พูดพิจารณาในปัจจุบันและตีตราว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง (หรือ “สลิ่ม”) หรือถูกดูถูกว่า “ไร้ความเป็นมนุษย์” ซึ่งหากเรามองให้เหนือความเกลียดชังทางการเมือง เราจะพบว่าศีลธรรมที่เป็นแรงขับของพวกเขาก็มาจากคำสอนของศาสนาพุทธ การพยายามยัดเยียด “หลักสากล” โดยไม่พยายามแก้ไขรากฐานศีลธรรมในสังคม ย่อมทำให้การผลักดัน “หลักสากล” ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ความพยายามพิพากษาความชั่วให้เด็ดขาด (judge) ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่จะถูกปล่อยเลื่อนลอยไปตาม “กรรม” ของผู้นั้นเอง
ในระดับรัฐประชาชาติ (nation-state) การแทนที่ของอำนาจอธิปไตยในรัฐคริสต์กับพุทธก็ย่อมต่างกัน ดังที่ธเนศ วงศ์ยานนาวา ได้สรุปไว้ว่า “การสร้างรัฐประชาชาติจึงเป็นการสร้างอาณาจักรของชาวคริสต์ที่ไร้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า เพราะรัฐประชาชาติได้เข้ามาแทนค่าพระผู้เป็นเจ้าในสมการ” แต่กับรัฐพุทธอย่างไทยแล้ว รัฐประชาติไม่ได้มาแทนที่พระเจ้าแต่แทนที่ “กษัตริย์” เพราะกษัตริย์พุทธไม่ได้รับเทวสิทธิ์ (divine right) จากพระเจ้า แต่เกิดจากการสะสมบุญบารด้วยพระองค์เองตั้งแต่แรก การแยกอำนาจอธิปไตยที่ล้อมาจาก “ตรีเอกภาพ” จึงเป็นการแบ่งอำนาจของกษัตริย์ออกเป็น 3 ส่วน ไม่ใช่อำนาจของพระเจ้าแบบในยุโรปที่เคยแบ่งให้อำนาจของกษัตริย์อยู่ในส่วนของ “บริหาร” เท่านั้น กล่าวคืออำนาจอธิปไตยอยู่เหนือกษัตริย์ตั้งแต่ต้น
แต่ในสังคมไทยเมื่อการแบ่งแยกอำนาจมีรากฐานมาจากการแบ่งแยกอำนาจของ “กษัตริย์” กษัตริย์ไทยจึงเป็นแหล่งที่มาของอำนาจอธิปไตยด้วยพระองค์เองซึ่งถูกบัญญัติไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2475 ความว่า “อํานาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” และถูกใช้เรื่อยมาจนปัจจุบัน ประกอบกับคำอธิบายของเนติบริกรอย่าง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ระบุว่า “เมื่อมีการรัฐประหารเลิกรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่าอำนาจอธิปไตยที่เคยพระราชทานให้ประชาชน กลับคืนมายังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินเดิมมาก่อน 24 มิถุนายน 2475” ในสังคมไทยที่ผ่านมาจึงเกิดความพยายามเรียกร้องให้มีการถวายคืนพระราชอำนาจแก่กษัตริย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในสังคมคริสต์ เหล่านี้คือความลักลั่นไม่ลงรอยระหว่างหลักการ “สากล” ที่ขับเคลื่อนด้วยศาสนาคริสต์และพุทธ
ประเด็นสุดท้าย (ในบทวิจารณ์นี้) หากใช้สายตาของศาสนาคริสต์มอง ศาสนาพุทธเองก็แทบจะมีสถานะเป็นทางโลกอยู่แล้วด้วยซ้ำ เฮเลน เจมส์ (Helen James) ได้กล่าวถึงขนาดว่า สังคมร่วมสมัยของไทยนั้นสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติของตนขึ้นมาจากหลักสำคัญของพุทธศาสนา โดยศาสนาไม่ได้แยกออกจากรัฐ แต่เติบโตบนกายของการเมือง (body politic) ด้วยซ้ำ หรือที่ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ระบุว่า สิ่งที่อาจจะมองยากจากคนภายนอกในประเด็นนี้คือ สถาบันสงฆ์ของไทยมักถูกดึงและใช้เป็นเนื้อเดียวกับชนชั้นปกครอง ไม่ได้แยกและปะทะกับผู้ปกครอง ซึ่งจะต่างจากศาสนาคริสต์อยู่มาก การอภิปรายการแยกศาสนาออกจากรัฐในหนังสือเล่มนี้จึงลักลั่นอยู่ไม่น้อย
สุรพศได้ระบุว่า การรวมศูนย์อำนาจคณะสงฆ์ให้ขึ้นกับมหาเถรสมาคมในศตวรรษที่ 19 นั้นเป็น “ศาสนจักรที่มีกษัตริย์เป็นประมุข (คล้ายกับ Church of England ที่มีกษัตริย์หรือพระราชินีอังกฤษเป็นประมุข)” เพื่อบอกว่ารัฐไทยได้รวมศาสนาเข้ากับการเมือง โดยมีการใช้ศาสนาพุทธสนับสนุนความชอบธรรมของกษัตริย์ เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวอยู่มาก คริสตจักรแห่งอังกฤษถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิเสธอำนาจของศาสนาจักรที่วาติกันโดยตรงเพื่อให้กษัตริย์มีอำนาจเหนือศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการสร้างศาสนจักรในความหมายเดิมขึ้นมา แต่เป็นองค์กรทางศาสนาที่ถูกคุมด้วยพลังทางการเมือง
การกระทำของชนชั้นนำไทยในศตวรรษที่ 19 ถูกพิจารณาหลายครั้งว่าเป็นการสถาปนาอำนาจของกษัตริย์เหนือศาสนา กระทั่งปฏิเสธความเชื่อทางศาสนาบางประการ กล่าวคือถูกพิจารณาว่าเป็นการทำให้เป็นทางโลกมากขึ้น กระทั่งถูกพิจารณาโดยชาวตะวันตกร่วมสมัยว่าเป็นการละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติที่ล้าหลังจนได้รับคำชมจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า ชาวสยามมีความเหนือกว่าพม่าถึงความรู้ในอารยธรรมตามมาตรฐานยุโรปเป็นอย่างดี ไม่ได้มีการ “แห่เหินอย่างเอิกเกริก..ปฏิบัติตามแบบประเพณีของชาวอังกฤษที่ไปไกลจนถึงการสัมผัสมือ...” หรือระบุว่า รัชกาลที่ 5 ทรงเป็น “The Civilizer of the East” (ผู้มีอารยะแห่งตะวันออก) ไม่ใช่เป็นเรื่องของการสถาปนาศาสนาจักรหรือเป็นการจุดเริ่มต้นของการเอาศาสนามาปนกับการเมือง
ภาพวาดดอกบัวสี่เหล่า
แม้ว่ากษัตริย์ไทยจะใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความชอบธรรมก็เป็นคนละเรื่องกับการที่จะพิจารณาว่าเป็นเอาศาสนามาปนกับการเมืองหรือไม่ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องเป็นการสถาปนา “พุทธราชาชาตินิยม” แต่เป็นเพียงการส่งเสริม “ราชานิยม” ตรง ๆ อย่างชัดเจนในความเห็นของผู้เขียน ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประวัติศาสตร์ไทย หรือกระทั่งประวัติศาสตร์ในประเทศที่มีกษัตริย์แต่อย่างไร
ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า การแยกศาสนาออกจากการเมืองในสังคมไทยปัจจุบัน มีลักษณะเช่นไร เพราะตามประวัติศาสตร์ยุโรปคริสต์ดังที่ได้กล่าวมาโดยสังเขป จะมีลักษณะของเบียดกัน “ศาสนา” ออกไปจาก “การเมือง” หรือให้การเมืองคุมศาสนาเสียมากกว่า แต่ของไทยดูเหมือนการเมืองจะคุมศาสนาได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ข้อเรียกร้องก็ดูเหมือนจะเป็นการให้ “การเมือง” ออกไปจาก “ศาสนา” เสียมากกว่า จึงไม่แน่ใจว่าในทางปฏิบัติควรจะมีรูปแบบอย่างไร ปล่อยให้ศาสนามีเสรีภาพอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องควบคุม หรือเพิ่มการควบคุมเพื่อรับประกันเสรีภาพ
อนึ่ง ผู้เขียนเห็นกว่าการจะผลักดันสังคมไทยให้ยอมรับหลักสิทธิมนุษยชน หลักความเสมอภาค ฯลฯ ได้อย่างแท้จริง สิ่งแรกที่ต้องทำคือการ วิพากษ์ศาสนาพุทธในภาพรวมอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่โต้เถียงกันไปมาในคำสอนที่ปรากฎเท่านั้น ดังที่จีนได้เคยมีการวิพากษ์คำสอนแบบขงจื้ออย่างเป็นระบบโดย “ขบวนการ 4 พฤษภา” หรือ “อู่ซื้อ” (五四) ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนเองที่เป็นสิ่งถ่วงความเจริญและเป็นต้นเหตุของความตกต่ำและพ่ายแพ้แก่ตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19
________________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |