ผู้เขียน ปฐมพงศ์ กวางทอง
โดยทั่วไป เมื่อเกิดภาวะวิกฤตทางการแพทย์ ประชาชนย่อมพร้อมจะฟังนักวิชาการสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา และแพทย์ผู้เป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลอยู่เสมอ แต่วิกฤตครั้งนี้กลับทำให้เราเห็นแล้วว่า ความเชื่อถือศรัทธาที่เราให้พวกเขาหมดใจ บางทีอาจเสียไปเปล่าๆ ด้วยว่าอำนาจเถื่อนได้บิดเบือนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในทางมิชอบเข้าเสียแล้ว
อันที่จริง วิกฤตการณ์ความน่าเชื่อถือของอำมาตย์ผู้ใช้อำนาจในทางมิชอบหลายคน ทำให้กระทั่งแพทย์ พยาบาล และพนักงานด้านสุขภาพด่านหน้าทั้งหลายยังหมดสิ้นความเชื่อถือในพวกเขา และได้ออกมาป่าวร้องคัดค้านการกระทำป่าเถื่อนโหดร้ายภายใต้ข้อจำกัดทางการแสดงออกในปัจจุบันอยู่หลายกรณีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตยแล้วนั้น ปุถุชนคนธรรมดาสามัญ ก็มีสิทธิจะได้รับรู้รับทราบ และศึกษาความรู้ที่จะช่วยทำความเข้าใจวิกฤตการณ์โรคระบาดใหญ่ระดับโรคครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงความแข็งกร้าว ไม่สยบยอมต่ออำนาจเถื่อนจากบนลงล่าง ที่สวมหน้ากากอันมีนามว่าวิทยาศาสตร์เข้าใช้ปกครองเรา – ผู้ซึ่งพวกเขาคิดว่าไม่มีความรู้ หรือไม่สมควรหาความรู้ด้วยตัวเอง – แล้วนั้น ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการยืนยันว่า สามัญชนคนธรรมดาทั่วไป พร้อมยืนยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ใช้แรงงานด่านหน้าทั้งหลายด้วย และสิ่งที่เราต่อสู้นั้น คงไม่ใช่ตัวไวรัสเอง แต่เป็นระบบการหลอกลวง บงการ และสังหารทางอ้อม ในนามของไวรัส ด้วยมาตรการรุนแรงโดยไม่มีการเยียวยาอย่างที่เราเราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด ผู้เขียน
ไวรัส ฉบับกระชับจึงเป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่ม ที่จะช่วยเป็นเครื่องมือให้เราได้ทำความเข้าใจกลไกอันสลับซับซ้อนของสิ่งกึ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เรียกกันว่าไวรัส (และที่มาของชื่อนี้ด้วย!) ในรูปแบบสั้นกระชับ เพื่อประชาชนทั่วไป ตามจิตวิญญาณของโครงการ A Very Short Introduction จากสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ที่ยังคงความน่าเชื่อถือแก่สาธารณชนทั่วไปอยู่
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของไวรัสโดยทั่วไปตามชื่อ ตัวเล่มแบ่งออกเป็นสิบบท ผู้เขียนใช้วิธีการเริ่มเล่าจากตัวไวรัส พาไปสำรวจโลกของมัน แล้วเล่าเรื่องให้ย้อนกลับเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ จากความหมายของมัน โลกของไวรัส ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับมัน ทั้งที่มีตัวคั่นกลางและโดยตรง จนมาจบลงด้วยวิธีการที่เราจัดการกับเจ้าไวรัสตัวจิ๋วนี้ ผู้เขียนอธิบายกลไกชีวิต พร้อมยกตัวอย่างไวรัสบางสายพันธ์ เพื่อให้เราเห็นภาพชีวิตของมันเชื่อมโยงเข้ากับระบบนิเวศโลกและมนุษย์ เราจะได้ทำความเข้าใจพื้นฐานของคำศัพท์ต่างๆ จากเล่มนี้ อาทิ DNA, RNA, กลไกการกลายพันธุ์, Antigen, เชื้อตาย และเชื้ออ่อนกำลัง – หรือที่บางท่านเรียกได้น่าสนใจว่า เชื้อเปลี้ย – อันเป็นความรู้ในศัพท์พื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์และคนทำงานทางการแพทย์ทั้งหลาย ใช้ในการต่อยอดทำความเข้าใจตัวไวรัส กลไกอันสลับซับซ้อนของมันในธรรมชาติ และการดูแลรักษาผู้ที่ประสบกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากไวรัสทั้งหลายนี้ต่อไป และด้วยความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นนี่เอง ที่ทำให้สามัญชนอย่างเราสามารถรู้เท่าทันพวกเขา สู้เคียงข้างคนทำงานด่านหน้า อีกทั้งร่วมถกเถียง และผลักดันการเมืองในประเด็นพื้นฐานที่สำคัญ เรื่องการจัดการกับการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด-19 พร้อมๆ กับสหายคนทำงานด้านการดูแลในด่านหน้าของวิกฤตการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และอนาคตได้อีกด้วย
ไวรัสประกอบประกอบไปด้วยส่วนประกอบง่ายๆ เพียงสองส่วน คือ สารพันธุกรรมกับโปรตีนที่ห่อหุ้มมันอยู่ ไวรัสบางตัวอาจมีโปรตีนช่วยในการทำสำเนารหัสพันธุกรรมของมันอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ไม่มีไวรัสไหนเลยที่จะออกลูกหลานได้ด้วยตัวมันเอง อันที่จริง พวกมันไม่ต่างจากก้อนรหัสลึกลับบางอย่าง ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือกที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ไวรัสจึงอยู่กับสิ่งมีชีวิตอื่นตลอดมา จึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกมันมีบทบาทในระบบนิเวศสูงมาก อาทิการควบคุมประชากรสิ่งมีชีวิตพื้นฐานในทะเล หรือกระทั่งมีบทบาทหลักในสงครามระหว่างเพลี้ยกับตัวต่อ ฯลฯ อีกทั้งไวรัสหลายต่อหลายตัว ก็ดำรงอยู่และขยายพันธ์ตัวมันเอง ผ่านตัวกลางอย่างแมลง เช่นตัวอย่างที่เรารู้ดี อย่างไวรัสเด็งกี่ที่ก่อโรคไข้เลือดออกในไทย เป็นต้น
เนื่องจากไวรัสมีองค์ประกอบง่ายๆ ดังที่กล่าวไปนั้น การผลิตซ้ำตัวมันเอง ที่เรียกกันว่าการทำสำเนา หรือคัดลอกตัวเอง ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นการออกลูกออกหลานเพื่อการสืบพันธ์ของมันนั้น ก็เป็นกระบวนการที่เรียบง่าย จนทำให้มีข้อผิดพลาดตามมา เพราะกระบวนการคัดลอกรหัสพันธุกรรมของตัวมันนั้น เป็นกระบวนการที่ไม่มีการพิสูจน์อักษร หรือไม่ก็พิสูจน์อย่างลวกๆ จนเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ยิ่งมันแพร่พันธ์มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งผิดพลาดได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะการแพร่พันธ์หมายถึงการทำสำเนาตัวเอง ไม่ต่างจากการลอกการบ้านหลายต่อหลายครั้งซ้ำๆ จนตาลาย และสิ่งนี้ก็เป็นที่มาของการกลายพันธุ์หรือจะเรียกว่าวิวัฒนาการก็ได้ สิ่งนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านการไล่ล่าจัดทำวัคซีน หรือกระทั่งตัวไวรัสอาจก่อโรคที่รุนแรงเพิ่มขึ้นได้ แน่นอนว่ามันอาจเป็นไปในทางตรงข้ามได้เช่นเดียวกัน แต่มันจะเป็นไปในทางใด และเมื่อไหร่นั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทราบได้จริงๆ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับไวรัสก็คือ ไวรัสดำรงอยู่กับเราและในเรา ไวรัสบางตัวสอดแทรกสารพันธุกรรมของมันเข้ามาอาศัยในสารพันธุกรรมของเรา กระทั่งปรับตัวอยู่กับเรามาเนิ่นนาน แน่นอนว่าไวรัสส่วนมากไม่ก่อโรคในคน ไวรัสบางส่วนก่อโรคระดับต่ำ ด้วยการอาศัยกลเม็ดเด็ดพรายที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญผ่านวิวัฒนาการ ทำให้พวกมันอยู่กับเราจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น ไวรัสอีสุกอีใส/งูสวัด อย่างไรก็ดี มีกรณีที่น่ากลัวอย่างเช่น ไวรัสบางชนิดอาจเป็นเหตุแห่งการเกิดมะเร็ง หรือบางส่วนก็เพิ่งมาอยู่กับเราเมื่อไม่นานมานี้ แต่ทำให้เกิดหายนะมากมายมหาศาลทั้งระยะสั้นและระยะยาว อย่างไวรัส HIV เป็นต้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เป็นผลมาจากการที่ชนชั้นปกครองกดข่มวงการวิทยาศาสตร์และการสาธารณสุขไว้ จนทำให้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ต่อการรับมือวิกฤตการณ์ขนาดใหญ่เช่นในปัจจุบันที่พร้อมจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ได้ทุกเมื่อ ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ชนชั้นปกครองคาดว่า ไวรัสที่น่ากลัวแค่ไหน ก็ไม่อาจก่อโรคระบาดขนาดใหญ่ทั่วโลกได้อีกแล้ว เพราะถ้ามันก่อโรคที่รุนแรงมาก โรคนั้นก็จะคร่าชีวิตผู้คนที่ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว ทำให้แพร่กระจายได้แค่ในวงแคบๆ แต่ถ้ามันก่อโรคที่รุนแรงน้อย แล้วแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้ ก็จะไม่เป็นปัญหาแก่ระบบสาธารณสุขเท่าใด เพราะเราจะรับมือได้ และมีเวลาในการคิดหาทางสู้ แต่ครั้งนี้การณ์กลับตบหน้าพวกเขาเข้าฉาดใหญ่ โรคโควิด-19 เป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงพอประมาณ แต่แพร่กระจายได้เยอะ เร็ว ง่าย มีระยะฟักตัวนาน แถมเรายังข้อสรุปตรงกันในทางวิชาการว่า ผู้ที่ติดเชื้อ สามารถแพร่กระจายไวรัสออกไปได้ก่อนที่ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวว่ามีอาการผิดปกติเสียอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องนำมาตรการที่เข้มงวดมาใช้ ที่ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งผู้ที่ไม่มีอาการใดๆ เลยก็ตาม พูดง่ายๆ เลยว่า ไวรัสตัวนี้เป็นฝันร้ายที่หลายคนไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ระบบสาธารณสุขที่เสื่อมโทรมจากระบบเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในและนอกประเทศ ยังถูกซ้ำเติมด้วยความยากลำบาก ของการผลิตสร้างชุดตรวจ วัคซีน และยาต้านไวรัสให้ทันการณ์ ด้วยเหตุที่ไวรัสแต่ละตัวก็มีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างหลากหลายออกไป อีกทั้งระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เราเอง ที่ป้องกันตนจากการบุกรุกของสิ่งอื่นเช่นไวรัส ก็มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเช่นเดียวกัน กระนั้น ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ มนุษย์เราก็สามารถผลิตวัคซีนที่มีศักยภาพพอประมาณ ในการต้านทานไวรัสโควิด-19 นี้ขึ้นมาได้ ผ่านการเร่งกระบวนการทดลอง และความร่วมมือนานาชาติ อีกทั้งแหล่งทุนจากหลากหลายรัฐบาลด้วยกัน หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายความรู้พื้นฐาน ที่จำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจการผลิตวัคซีนตั้งแต่เทคโนโลยีเก่าแก่อย่างเชื้ออ่อนแรง มาจนถึงโปรตีนซับยูนิต แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษ จึงน่าเสียดายว่ายังไม่มีส่วนพูดถึงเทคโนโลยีวัคซีน mRNA อันเป็นที่โจษจันกันทั่วบ้านทั่วเมืองในขณะนี้
ภาพแผนที่ผู้ป่วยโควิดที่รอการช่วยเหลือ (จาก jitasa.care)
สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ครั้งใหญ่ที่ประจักษ์แก่สายตาสามัญชนทั่วไทยในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุล้มตายกลางถนนอย่างโดดเดี่ยว หรือการจำกัดปิดตายทั้งการเคลื่อนที่ อาการ อุปกรณ์ และความช่วยเหลือจากผู้ทรงอำนาจในทางมิชอบ อีกทั้งยอดติดเชื้อของประเทศสารขัณฑ์ ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ ที่ได้ทะยานแซงหน้ามหาอำนาจสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ได้เห็นว่า เราจำเป็นต้องแย่งยึดเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นของสามัญชนคนธรรมดา ไม่ใช่ปล่อยให้พวกชนชั้นปกครองผูกขาดความรู้ แล้วนำไปใช้เล่นตลกเพื่อยกระดับความก้าวหน้านามธรรม หรือเป็นเครื่องมือเพื่อการกดขี่บีฑาพวกเราอย่างโหดร้าย สามัญชนอย่างเรา ต้องทวงคืนวิทยาศาสตร์มาเพื่อใช้ในการดูแลซึ่งกันและกัน ใช้ในการประคับประคองชีวิต ร่วมกันจัดการภาวะวิกฤตที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ อย่างรอบคอบ มีเป็นระบบ มีความเห็นอกเห็นใจ และใช้เพื่อเยียวยาความทุกข์โศกของเรา ดังที่กำลังปรากฏขึ้นจริง เป็นทีมงานช่วยเหลือกันเองในยามที่รัฐไม่ใยดีเช่นนี้
ท้ายที่สุด สิ่งที่ไวรัสและการวิวัฒน์ของมันกับเราในทางชีววิทยาและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปได้บอกผมก็คือ เอาเข้าจริงไม่ใช่แค่ไวรัสที่ไม่อาจอยู่ตัวคนเดียวได้ เราทั้งหลายก็เช่นกัน เราพึ่งพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลา วิกฤตโควิด-19 ได้เผยให้เห็นโลกแห่งการดูแลที่ขาดหาย โลกแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้างมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่ามกลางความหดหู่เช่นนี้ พื้นฐานความร่วมมือและการดูแลกันที่ก้าวข้ามรัฐชาติ ทุน หรือกระทั่งเผ่าพันธุ์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าอาวุธอย่างรัฐและทุน เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงพอที่จะกดข่มเราได้ แต่อาวุธของความรู้ ความห่วงใจ และการเดินเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ไปด้วยกันของสามัญชน การติดอาวุธทางความคิดด้วยวิทยาศาสตร์ของประชาชน พร้อมด้วยความร่วมมือจากอารมณ์ความรู้สึกห่วงใยซึ่งกันและกัน อีกทั้งไฟแค้นต่อผู้กดขี่ ย่อมพาให้เราอยู่รอด แล้วนำวิทยาศาสตร์ของเรา ไปคัดง้างท้าทายกับวิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือนของชนชั้นปกครอง เพื่อสร้างสังคมใหม่ร่วมกัน
_________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |