บทสัมภาษณ์ 6 ข้อ กับตวงทิพย์ พรมเขต อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม
ผู้เขียนหนังสือ ทีปะ นุสันตารา ไอดิต กับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย
Q1 : ก่อนจะชวนคุยกันยาวๆ อยากจะขอเริ่มต้นให้อาจารย์ช่วยเล่าให้เราฟังก่อนครับว่า ทีปะ นุสันตารา ไอดิต เป็นใคร สำคัญยังไง และพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียนี้มีความโดดเด่นหรือน่าสนใจอย่างไรครับ
ทีปะ นุสันตารา ไอดิต ขณะกล่าวสุนทรพจน์แก่กลุ่มขบวนการสตรีอินโดนีเซีย (Gerwani) ในจาการ์ตา ปี 1962
(ที่มา www.cnnindonesia.com/nasional/20160930070733-20-162250/gerwani-pki-dan-kemelut-politik-di-belakang-sukarno)
A1 : ทีปะ นุสันตารา ไอดิต (Dipa Nusantara Aidit) เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียหรือเปกาอี (ภาษาอังกฤษ: The Communist Party of Indonesia, ภาษาอินโดนีเซีย: Partai Komunis Indonesia, ตัวย่อ: PKI) ระหว่างปี 1951–1965 ค่ะ ร่วมสมัยกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่นๆ คือ ทรง นพคุณ และเจริญ วรรณงาม ของไทย จีน เป็ง (Chin Peng) ของมลายา และเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) ของจีน
ไอดิตเป็นคนหนุ่ม ไฟแรง มีการศึกษาค่อนข้างดี เริ่มต้นทำงานจากการเป็นบรรณาธิการของ Bintang Merah (แปลว่า: วารสารดาวแดง) วารสารประจำของพรรค ชีวิตทางการเมืองของเขามีสีสันและน่าสนใจมากๆ เขามาจากครอบครัวที่พอจะมีฐานะ แต่ตอนนั้นบ้านเกิดของเขา คือเบอลิตุง (Belitung) ในเกาะสุมาตราค่อนข้างยากจนมากๆ ไอดิตเห็นเพื่อนร่วมชาติต้องกลายเป็นกรรมกรในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของเจ้าอาณานิคมดัตช์ ถูกขูดรีดให้ทำงานหนัก แต่ได้รับค่าจ้างจำนวนน้อย เขายังผ่านประสบการณ์การเมืองในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา เคยเป็นผู้นำกลุ่มคนหนุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น และเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียในเวลาต่อมา
ช่วงที่ไอดิตขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคนั้น เขาเริ่มต้นจากการกู้สถานการณ์พรรคที่กำลังระส่ำระสาย จากการถูกปราบปรามในปี 1948* ตอนนั้นพรรคมีสมาชิกเหลือเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น แต่หลังจากนั้น เขาสามารถนำพรรคให้เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีน มีสมาชิกมากถึง 3.5 ล้านคน และมีแนวร่วมผู้สนับสนุนพรรคร่วม 10 ล้านคน ทั้งหมดนี้เกิดจากความพยายามขยายฐานมวลชนและผู้สนับสนุนพรรค โดยการใช้ยุทธศาสตร์ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ให้เข้ากับสถานการณ์การเมืองภายในอินโดนีเซียเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเชิดชูนโยบายชาตินิยม ต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตกและศักดินา ทำให้ไอดิตเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับประธานาธิบดีสุการโน (Sukarno) ตามมา
ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของไอดิตในช่วงแรก คือทศวรรษ 1950 อิงอยู่กับการต่อสู้ตามแนวทางประชาธิปไตยเป็นหลัก พรรคให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งแรกในกลางปี 1955 อย่างมาก ทำให้พรรคได้รับเลือกตั้งเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่อันดับ 4 คะแนนเสียงที่ได้คิดเป็นร้อยละ 16.4 ของทั้งหมด พรรคได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 39 ที่นั่ง
อย่างไรก็ดี ไอดิตได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ของพรรคในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ไปสู่การระดมมวลชนอย่างหนักโดยเฉพาะกับชาวนา เนื่องจากเงื่อนไขการต่อสู้ตามแนวทางรัฐสภาถูกปิดลง สุการโนประกาศใช้นโยบายประชาธิปไตยแบบชี้นำ ยุบพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ และเลื่อนการเลือกตั้ง ไอดิตยังคงเป็นพันธมิตรกับสุการโน แต่ในช่วงเวลานี้พรรคสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปที่ดิน และมีความพยายามที่จะติดอาวุธให้กับชาวนาเข้าไปยึดที่ดินจากบรรดาเจ้าที่ดินในชนบท ทำให้เกิดความขัดแย้งตามมา และการที่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียมีบทบาทและอิทธิพลในการเมืองอินโดนีเซียสูง ทำให้ขัดแย้งกับกองทัพอินโดนีเซีย จนกระทั่งนำไปสู่การถูกปราบปรามหลังเหตุการณ์เกสตาปู (Gerakan September Tigapuluh, ตัวย่อ: Gestapu)** ในปี 1965 ในที่สุด
ตวงทิพย์ พรมเขต ผู้เขียนหนังสือ "ทีปะ นุสันตารา ไอดิต กับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย"
ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม
(ติดต่อผู้เขียน E-mail: pangztuangthip@gmail.com)
Q2 : เรื่องของไอดิตและพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียที่อาจารย์เล่าให้เราฟังน่าสนใจมากๆ เลยครับ อยากจะขอถามอาจารย์ย้อนกลับไปก่อนหน้านิดนึง ทำไมอาจารย์ถึงหลงเสน่ห์สนใจศึกษาประวัติศาสตร์อินโดนีเซียได้ครับ
A2 : จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจประวัติศาสตร์อินโดนีเซียเกิดจากการเรียนและการอ่านค่ะ ตอนปริญญาตรี เราเรียนโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีโอกาสได้เรียนประวัติศาสตร์อินโดนีเซียกับ อ.อรอนงค์ ทิพย์พิมล จากธรรมศาสตร์ ฯ ซึ่งมาเป็นอาจารย์พิเศษให้กับโครงการ ฯ ตอนนั้นไม่ได้เรียนเฉพาะประวัติศาสตร์และการเมืองอย่างเดียวนะคะ มีเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม แม้แต่วรรณกรรมอินโดนีเซียก็ยังได้เรียน ได้อ่าน สนุกมากๆ
แต่ส่วนตัวสนใจประเด็นการเมืองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเมืองอินโดนีเซียช่วงทศวรรษ 1950 ถึงทศวรรษ 1960 (ช่วงเวลาเดียวกับที่หนังสือเล่มนี้ศึกษา) เพราะน่าสนใจและมีสีสันมากๆ ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติอินโดนีเซียที่เพิ่งจะเป็นเอกราชและอยู่ในกระบวนการสร้างชาติ เลือกใช้ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องประนีประนอมกับกลุ่มการเมืองที่มีความขัดแย้งแตกต่างกันภายในชาติ เช่น กลุ่มนักชาตินิยม กลุ่มที่เรียกร้องให้อินโดนีเซียเป็นรัฐอิสลาม หรือแม้กระทั่งกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่จะค่อยๆ มีอิทธิพลในเวลาต่อมาก็สนับสนุนเรื่องชาตินิยม ต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตกมาตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกัน ยังเป็นช่วงที่การเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในช่วงที่สงครามเย็นเริ่มปะทุขึ้นแล้ว
ส่วนเรื่องของการอ่าน ตัวเองรู้จักประวัติศาสตร์อินโดนีเซียจากงานวิชาการภาษาไทยก่อน เช่น งานของ อ.ทวีศักดิ์ เผือกสม เรื่อง ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย: รัฐจารีตบนหมู่เกาะ ความเป็นสมัยใหม่แบบอาณานิคมและสาธารณรัฐแห่งความหลากหลาย หรือบทความของ อ.อรอนงค์ เรื่อง ความทรงจำกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย กรณีคำสั่งเพิกถอนแบบเรียนประวัติศาสตร์ จากนั้นเริ่มศึกษางานในโลกตะวันตก เช่น งานของ M. C. Ricklefs เรื่อง A History of Modern Indonesia since c. 1200 หรืองานที่คลาสสิคมากๆ คือวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Benedict Anderson เรื่อง Java in a Time of Revolution: Occupation and Resistance, 1944-1946 ที่พูดถึงกลุ่มการเมืองหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนักชาตินิยม กลุ่มคนหนุ่ม และกลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง และมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาและการทำสงครามปฏิวัติอินโดนีเซียเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช
Q3 : แสดงว่าจุดเริ่มต้นจากที่สนใจการเมืองอินโดนีเซียทำให้อาจารย์สนใจประเด็นฝ่ายซ้ายตามมาใช่มั้ยครับ ทำไมอาจารย์ถึงสนใจศึกษาเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียได้ครับ
A3 : จริงๆ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเองสนใจเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย ฟังดูแล้วอาจจะไม่เป็นวิชาการเท่าไหร่นะคะ แต่เกิดจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียที่ถูกปราบปรามหลังเหตุการณ์เกสตาปูในปี 1965** เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปราบปรามสมาชิกและผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์นับล้านคน สร้างประวัติศาสตร์บาดแผลสำคัญให้กับอินโดนีเซียเลย ตอนนั้นสนใจประเด็นนี้ เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมถึงมีการปราบปรามที่รุนแรงได้ขนาดนี้ มีคนเสียชีวิตเยอะมาก การปราบปรามแทบจะเกิดขึ้นทั่วอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในชวา บาหลี และสุมาตรา อะไรคือบริบทหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น พอลงไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงนี้ พบว่าพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียระหว่างปี 1951–1965 นำโดย ทีปะ นุสันตารา ไอดิต อันนี้ก็เลยเป็นเหตุผลว่าตอนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท เราเลยเลือกศึกษาแนวคิดทางการเมือง นโยบาย กลยุทธ์ของไอดิต ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะตอบคำถาม/ความอยากรู้นี้ด้วย

การจับกุมสมาชิกพรรค PKI
Q4 : ทราบมาว่าตอนอาจารย์ทำงานชิ้นนี้ อาจารย์ลงไปเก็บข้อมูลที่อินโดนีเซียด้วย ดูน่าจะสนุกนะครับ อยากให้อาจารย์เล่าประสบการณ์การทำงานให้ฟังหน่อยครับ
A4 : อย่างที่ทราบกันว่าหนังสือเล่มนี้ปรับปรุงมาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาโทเรื่อง “แนวคิดและยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ ดี. เอ็น. ไอดิต ในช่วง ค.ศ. 1951–1965” (ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์เราใช้เวลาระยะหนึ่งไปเรียนภาษาอินโดนีเซียที่มหาวิทยาลัยบราวิจายา (University of Brawijaya) เมืองมาลัง (Malang) ในชวาตะวันออก (East Java) ค่ะ ตอนนั้นโชคดีมากๆ เพราะอาจารย์ที่สอนภาษาอินโดนีเซียหลายคนสนใจประเด็นการเมืองและฝ่ายซ้าย เราจึงได้รับคำแนะนำเรื่องหนังสือและหลักฐานที่หลากหลายมากขึ้น บางชิ้นก็หาซื้อตามตลาดหนังสือเก่า บางชิ้นที่หายากก็อาศัยทำสำเนาจากอาจารย์กลับมา ส่วนเอกสารชั้นต้น เช่น งานเขียนของไอดิต รายงานการประชุม หนังสือพิมพ์และวารสารพรรค ทั้งภาษาอินโดนีเซียและภาษาอังกฤษ สามารถเข้าถึงได้จากจดหมายเหตุอินเทอร์เน็ตมาร์กซิสต์ (The Marxists Internet Archive)
Q5 : ฟังที่อาจารย์เล่ามาข้างต้น เชื่อว่าหลายท่านสนใจและคงอยากหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านบ้างแล้ว อยากให้อาจารย์เชิญชวนผู้อ่านหน่อยครับ ทำไมเราถึงควรอ่านงานนี้ และต้องอ่านงานฝ่ายซ้ายอินโดนีเซียในช่วงเวลานี้ด้วย
A5 : จริงๆ อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่สนใจเรื่องฝ่ายซ้ายอย่างเดียว งานนี้ไม่ได้พูดถึงชีวประวัติหรือชีวิตทางการเมืองของไอดิตอย่างเดียวนะคะ แต่ภาพรวมของหนังสือคือการพูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซีย โดยที่มีพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเป็นตัวแสดงหลัก งานนี้จึงพยายามจะขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อินโดนีเซียสมัยใหม่และพรรคคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในโลกภาษาไทยให้กว้างขวางขึ้น คิดว่าผู้อ่านน่าจะสนุกไปกับงานนี้ เพราะเห็นทั้งการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ความทะเยอทะยาน ความสำเร็จและล้มเหลวของไอดิตและพรรค ขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซียในยุคเริ่มต้นของสงครามเย็นไปด้วย
ส่วนคนที่สนใจประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้ายในอินโดนีเซีย หนังสือเล่มนี้ถือเป็นความพยายามที่จะกลับมาพูดถึงไอดิตและศึกษาพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียอีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่การปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างหนักหลังเหตุการณ์เกสตาปูในปี 1965 เรื่องของคอมมิวนิสต์กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมอินโดนีเซีย (กฎหมายคอมมิวนิสต์ยังคงบังคับใช้จนถึงปัจจุบันโดยไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด) ไอดิตถูกสังหาร หนังสือฝ่ายซ้ายถูกเผาทำลาย ประวัติศาสตร์ของฝ่ายซ้ายถูกกดทับมาร่วม 3 ทศวรรษภายใต้ยุคประธานาธิบดีสุฮารโต (Suharto)

Q6 : ในฐานะผู้เขียน อาจารย์มองว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านในสังคมไทยอย่างไรบ้างครับ
A6 : นอกจากผู้อ่านจะได้รับรู้ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียสมัยใหม่และประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้ายในอินโดนีเซียข้างต้นแล้ว ประเด็นสำคัญถัดมา เราคิดว่าสังคมไทยจำเป็นต้องถอดบทเรียนจากความสูญเสียและผลพวงของเหตุการณ์เกสตาปูนะคะ อย่างน้อยที่สุด สังคมไทยไม่ควรเดินไปถึงจุดที่เกิดความรุนแรงและความสูญเสียมหาศาลเช่นนั้น

ภาพสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียที่ถูกจับกุมในบาหลี หลังเหตุการณ์เกสตาปู 1965
(ที่มา http://thelookofsilence.com/wp-content/uploads/TEMPO_Magazine_ACT_OF_KILLING_Edition.pdf)
อย่างที่บอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล มีการประเมินว่ามีผู้ถูกสังหารร่วมล้านคนหลังเกสตาปู ไม่ใช่แค่คอมมิวนิสต์ที่ถูกปราบปราม แต่ความรุนแรงมันเกิดขึ้นทุกระดับ ตั้งแต่แกนนำพรรคจนถึงผู้ที่ถูกสงสัยว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ เขาเป็นคอมมิวนิสต์จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เขาถูกสังหารเพียงเพราะถูกสงสัยว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ หลายคนกลายเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ การปราบปรามเกิดขึ้นต่อเนื่องระหว่างปี 1965-1967 ไม่ได้เกิดแต่ในเมืองใหญ่ เช่น จาการ์ตา บันดุง และมาลังในชวาเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นที่เกาะบาหลี รวมทั้งในอาเจะห์ และเมดานในสุมาตราด้วย ขณะเดียวกัน การปราบปรามที่รุนแรงนี้ไม่ได้เกิดจากทางการฝ่ายเดียว แต่เราจะเห็นว่าในกรณีนี้พลเมืองมีส่วนสำคัญในการปราบปรามพลเมืองด้วยกันเอง ผ่านการปลุกระดมจากกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น กลุ่มอันธพาลที่ถูกจัดตั้งและมีสายสัมพันธ์กับกองทัพ กลุ่มผู้นำศาสนา กลุ่มนักศึกษาฝ่ายขวา หรือแม้กระทั่งชาวบ้านหรือเพื่อนบ้านกันเองก็มีส่วนทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นทั้งสิ้น***
กระทั่งปัจจุบันคอมมิวนิสต์ก็ยังคงเป็นภัยที่ตามหลอกหลอนสังคมอินโดนีเซียอยู่ อย่างที่ อ.ธนาพล ลิ่มอภิชาตล้อเอาวรรคทองใน Communist Manifesto (1848) ของคาร์ล มากซ์ (Karl Marx) และ ฟรีดริช เองเงิลส์ (Friedrich Engels) มาอธิบายสังคมอินโดนีเซียปัจจุบันว่า “A spectre is haunting Indonesia — the spectre of communism”
แม้หลายคนจะเชื่อว่าความรุนแรง (ทั้งที่รัฐทำต่อพลเมืองหรือพลเมืองทำต่อพลเมืองกันเอง) ระดับเดียวกับที่เคยเกิดในอินโดนีเซียอาจไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในสังคมไทยที่รักสงบนี้ แต่ความรุนแรงในระดับใดๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน การเรียนรู้ประสบการณ์จากสังคมอื่นอาจช่วยประกันไม่ให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ความรุนแรงแม้เพียงเล็กน้อยได้บ้างไม่มากก็น้อย
หมายเหตุ
* พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียพยายามจับอาวุธก่อการปฏิวัติในเมืองการเกษตรอย่างมาดิอุน (Madiun) เขตชวากลางในเดือนกันยายน 1948 ผู้นำพรรคอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับอาณานิคมตะวันตก โดยเฉพาะดัตช์ในสงครามการปฏิวัติอินโดนีเซีย (1945 -1949) แต่ไม่สำเร็จ พรรคจึงถูกรัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐที่นำโดยประธานาธิบดีสุการโนและฮัตตาใช้กำลังเข้าปราบปราม ทำให้สมาชิกร่วม 10,000 คน ถูกสังหารในเหตุการณ์ครั้งนี้
** เกสตาปูคือเหตุการณ์ที่นายทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่งพยายามก่อการรัฐประหารในคืนวันที่ 30 กันยายน 1965 ด้วยการจับตัวกลุ่มนายพลระดับสูงของกองทัพอินโดนีเซียจำนวน 6 คน และนายทหารยศร้อยโทไปสังหาร แต่ความพยายามก่อการรัฐประหารล้มเหลว ทำให้กองทัพอินโดนีเซียนำโดยนายพลสุฮารโต (Suharto) ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษทางยุทธศาสตร์ (Commander of the Army Strategic Reserves Command) เข้ายึดอำนาจและได้กล่าวหาว่าพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารนี้ นำมาสู่การกวาดล้างสมาชิกพรรคและผู้ต้องสงสัยว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ประเมินว่ามีผู้ถูกสังหารในครั้งนี้ร่วมล้านคน
*** หากสนใจเกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงและการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซียช่วงนี้ สามารถศึกษาผ่านงานล่าสุด Geoffrey B. Robinson. The Killing Season: A History of the Indonesian Massacres, 1965-66 (New Jersey: Princeton University Press, 2018) และภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Act of Killing (2012) และ The Look of Silence (2014) ของผู้กำกับ Joshua Oppenheimer
________________________________________________________________________________________________________________________________
D. N. Aidit: ทีปะ นุสันตารา ไอดิต กับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย
โดย ตวงทิพย์ พรมเขต