เราอยู่ในยุคสมัยที่คนเดินเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคซึมเศร้าเป็นว่าเล่น คนจำนวนมากฝืนทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ ความเหลื่อมล้ำกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครอยากจะสนใจมัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร บางทีหนังสือ "เมื่อโลกซึมเศร้า" ของสรวิศ ชัยนาม อาจจะช่วยตอบคุณได้บ้าง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เป็นหนังสือภาษาไทยเล่มแรกที่อธิบายความคิดของ Mark Fisher
ที่ผ่านมาเราอาจจะเคยได้ยินชื่อของ Mark Fisher ในบทความทางวิชาการหรือเว็บไซต์ต่างๆ กันมาบ้าง แต่หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปทำความรู้จักนักทฤษฎีวัฒนธรรมชาวอังกฤษผู้นี้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น อ.สรวิศ ได้นำเอาแนวคิดสัจนิยมแบบทุน (capital realism) ของ Fisher มาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเจ็บป่วยทางจิตที่เกิดจากทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ถูกผลักภาระให้กลายเป็นเรื่องส่วนตัว และวิถีทางที่มนุษย์จะปลดปล่อยตนเองจากระบบทุนนิยมที่ปิดกั้นจินตนาการ นอกจากนี้ยังนำเอาการวิเคราะห์ภาพยนตร์มาทำให้เราเห็นว่าทุนนิยมนั้นทำลายชีวิตของเราอย่างไร
ทำให้มองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ
สัจนิยมแบบทุนนั้นปิดกั้นให้เราไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากระบบทุนนิยม มันสร้างภาพให้ทางเลือกเหล่านั้นเป็นปีศาจร้าย การพูดถึงสังคมที่ปราศจากทุนนิยมนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะต่อให้ทุนนิยมจะแย่ สามานย์ เลวร้าย ไร้ศีลธรรมเพียงใด เราก็ถูกทำให้เชื่อว่ามันเป็นระบบที่ดีที่สุดในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่เราจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว "สังคมไม่มีจริง" แต่สิ่งนี้ก็แลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล ผู้คนมีความป่วยไข้ทางจิต วิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้ปัจเจกรับผิดชอบตัวเองในขณะที่นายทุนถูกโอบอุ้มโดยรัฐ ความเหลื่อมล้ำที่ไม่มีวันแก้ได้ งานไร้ประโยชน์ที่ไม่รู้จะมีไปทำไม และผีที่ตามหลอกหลอนผู้คนเพราะต้องการแก้แค้นจากการตกเป็นเหยื่อของระบบ ลองคิดดูสิว่านี่เป็นโลกที่เราอยากมีชีวิตอยู่งั้นหรือ เราคุ้นชินกับโลกแบบดิสโทเปีย แต่เราไม่กล้าจินตนาการถึงโลกยูโทเปีย เพราะทันทีที่ทำแบบนั้นก็จะมีใครบางคนบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน "จงกลับไปสู่โลกแห่งความจริงซะ" อย่างน้อยการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะทำให้เราเลิกสนใจคำพูดแบบนั้นและกล้าคิดถึงระบบอื่นๆ นอกจากทุนนิยมเสียบ้าง
ปัญหาของเราไม่ใช่ของเราคนเดียว
เราอยู่ในยุคที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ความล้มเหลวเป็นเรื่องส่วนตัว และความป่วยไข้ทางจิตก็เป็นแค่เรื่องของสารเคมีในสมอง เราถูกบอกว่าสิ่งเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยจิตวิทยาเชิงบวก เราต้องคิดบวกเข้าไว้ จงทำให้ความล้มเหลวเป็นบทเรียน หรือถ้าเป็นซึมเศร้าก็ไปหายามากินซะ มันจะทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้ แต่เราไม่เคยถูกบอกว่าปัญหาเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบทุนนิยมเลย สัจนิยมแบบทุนจะไม่ยอมให้เราโทษระบบ คนที่รับผิดชอบตัวเราได้ก็คือตัวเราเองเท่านั้น อ.สรวิศ ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความป่วยไข้ทางจิตนั้นเป็นผลผลิตของระบบทุนนิยม เพราะเราต้องทำงานที่มันห่วยแตก ทำให้เราหมดแรง เครียด ค่าตอบแทนน้อย รวมถึงสร้างความอับอายและกัดกร่อนจิตวิญญาณของเรา ที่สำคัญคือเราไม่สามารถปฏิเสธการทำงานได้ เพราะมันคือความจำเป็นเรื่องปากท้อง เราเป็นซึมเศร้าเพราะเราอยู่ในภาวะการณ์เช่นนี้ ผลสำรวจพบว่าสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงนั้นส่งผลให้อัตราการเจ็บป่วยทางจิตเพิ่มสูงตามไปด้วย ดังนั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของสารเคมีในสมองเพียงอย่างเดียว จงเลิกโทษแต่ตัวเอง และหยุดลงโทษตัวเองได้แล้ว
ผีอาจจะทำให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่าง
ในหนังสือเล่มนี้ อ.สรวิศ ใช้การวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องลัดดาแลนด์มาทำให้เราเห็นถึงสิ่งที่ทุนนิยมกระทำต่อเรา ในภาพยนตร์เรื่องนี้ถ้ามองเผินๆ อาจจะเป็นเรื่องดราม่าครอบครัวผสมกับเรื่อสยองขวัญ แต่ถ้าเราดูอย่างตั้งอกตั้งใจ (แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องตั้งใจมันก็ชัด) ก็จะเห็นว่ามันพูดถึงครอบครัวที่เผชิญหน้ากับสัจจนิยมแบบทุนและอาการป่วยไข้ทางจิตที่เป็นผลมาจากระบบทุนนิยม ตัวเอกอย่างธีร์ซึ่งมาจากชนชั้นแรงงานยังคงถูกหลอกหลอนจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางประสบความสำเร็จ ในฐานะครอบครัวเขาต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้โดยมีแม่ยายที่เป็นชนชั้นกลางคอยบั่นทอนจิตใจอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นคนที่ดีพอได้ แน่นอนว่าธีร์ก็มองว่าปัญหาที่เขาเผชิญนั้นเป็นเพียงความผิดของตัวเอง ทุนนิยมไม่ได้ทำร้ายแค่คนเป็น แต่ผีก็เป็นเหยื่อยของมันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมะขิ่น สาวใช้ชาวพม่าที่ถูกสังคมทุนนิยมกดทับตั้งแต่ยังมีชีวิต เธอต้องทำงานอย่างหนักและตกเป็นที่ระบายอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย เป็นชนชั้นที่อยู่ส่วนล่างของสังคม (ผู้หญิง คนต่างด้าว แม่บ้าน) หรือสมเกียรตินักธุรกิจที่ฆ่าตัวตายยกครอบครัวเพราะต้องเผชิญหน้ากับพิษเศรษฐกิจ และตอนมีชีวิตอยู่เขาก็เป็นตัวอย่างที่ดีของมนุษย์ในระบบทุนนิยม ที่แสวงหาแต่กำไรและอำนาจ นั่นไม่ได้หมายความว่าทุนนิยมทำร้ายแม้กระทั่งคนที่สรรเสริญมันหรอกหรือ สุดท้ายแล้วสมเกียรติก็ลงโทษตัวเองด้วยการปลิดชีวิตคนทั้งครอบครัวรวมทั้งตัวเขา ปล่อยให้ทุนนิยมลอยนวลและไม่ถูกนำมาพิจารณาความเลวร้ายของมัน เพราะอย่าลืมว่าความล้มเหลวของคุณก็เป็นความผิดของคุณเพียงคนเดียว และผีก็ทำได้แค่กลับมาแก้แค้นคนมีชีวิตซึ่งก็เป็นเหยื่อจากระบบเช่นเดียวกัน
เพราะทำให้รู้ว่าตัวคุณไม่ได้โดดเดี่ยว
เมื่ออ่านหนังสือจิตวิทยาเชิงบวก คุณอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่คนเขียนบอกนั้นเป็นการผลักภาระให้กับปัจเจกต้องดูแลตัวเอง แต่เราไม่ค่อยมีหนังสือที่สอนให้เราร่วมมือกับคนอื่นเพื่อคิดถึงทางเลือกที่ดีกว่าทุนนิยมในปัจจุบัน หนังสือ "เมื่อโลกซึมเศร้า" พยายามที่จะบอกว่าคุณไม่ควรต่อสู้คนเดียว เพราะปัญหาที่คุณเผชิญมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากสังคม สาเหตุของความซึมเศร้าไม่ใช่เพราะสารเคมีในสมองผิดปกติ แต่เป็นเพราะเรากำลังอยู่ในโลกที่มันซึมเศร้าต่างหาก ครอบครัวคุณ เพื่อนคุณ คนรู้จักของคุณ อาจจะกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งเดียวกัน นั่นคือความเหนื่อยล้าซึมเศร้าที่ต้องอยู่ในสัจนิยมแบบทุนที่สอนให้โทษแต่ตัวเอง ดังนั้นคุณไม่ได้โดดเดี่ยว แต่จะทำยังไงให้เราร่วมใจกันไปสู่วันที่ดีกว่านี้ได้ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องหาคำตอบต่อไป
_______________________________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |