"เธอยังทำได้ดีกว่านี้นะ"
คำพูดที่ทิ่มแทงราวกับใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งในทุนนิยมปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความล้มเหลว แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จที่ไม่เคยมาถึงต่างหาก หนังสืออ.สรวิศเล่มนี้จะนำพาเราไปสำรวจการเมืองของเรื่องส่วนตัวที่สุด นั่นคือการเมืองว่าด้วยอารมณ์ความรู้สึกของปัจเจก โดยเฉพาะเจาะจงไปที่โรค/อาการซึมเศร้า และแสดงให้เราเห็นว่าโรค กับโลก ไม่ได้เพียงแค่พ้องเสียงกันอย่างเดียว แต่มันเกี่ยวเนื่องเชื่อมถึงกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเราทั้งหลายถูกบังคับให้ลืมมันไป

หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยบทนำ ตามด้วยสามบทหลัก และลงเอยด้วยบทสัมภาษณ์ Mark Fisher หนังสือเล่มนี้เรียกร้องให้เราจินตนาการถึงโลกใบใหม่ ถอดรื้ออุดมการณ์สังคมแห่งการประสบความสำเร็จ และพาเราไปอ่านลัดดาแลนด์อย่างมหัศจรรย์พันลึก ด้วยลีลาท่าทางจังหวะจะโคนที่ให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายคลึงกับการเล่าเรื่องแนวสืบสวนสอบสวน ที่ปูพื้นโดยสองบทแรก แล้วจบสมบูรณ์ด้วยลัดดาแลนด์ ผู้อ่านจะรู้สึกว่าตนเองได้ติดอาวุธอันเปรียบเสมือนพยานหลักฐานครบถ้วน เพื่อไขคดีปริศนาอย่างลัดดาแลนด์ในตอนท้ายไปพร้อมกับผู้เขียนได้อย่างเพลิดเพลิน
ด้วยเหตุนั้นเอง บทความที่ท่านกำลังจะอ่านอยู่นี้ จึงอาจทำให้ท่านสูญเสียอรรถรสจากวิธีการดำเนินเรื่องในหนังสือได้ ผมเลยขอแนะนำว่าให้รีบหยิบสอยมาอ่านกันก่อน แต่หากท่านไม่ซีเรียสกับการสปอยล์แล้วไซร้ ก็มาอ่านบททัวร์(ทิพย์)ของหนังสือเล่มนี้ ที่แทรกสอดความเห็นเพิ่มเติมของผมไปด้วยได้เลยครับ
ความเศร้าที่ปรากฏ กับการไม่ปรากฏของการเมือง
โดยทั่วไปแล้ว วิวาทะว่าด้วยเรื่องโรคซึมเศร้าดูราวกับจะวนเวียนอยู่กับเรื่องระดับสารเคมี และชีวะ-จิต-สังคม ซึ่งอย่างหลังเป็นมโนทัศน์ที่นักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่เรียนรู้กันดีว่าเป็นพื้นฐานของโรคแทบจะทั้งหมดทุกอย่างแล้ว เพราะร่างกาย จิตใจ และสังคม ต่างก็มีผลซึ่งกันและกัน แต่กระนั้นทั้งสองสายธารความคิดที่ปรากฏอยู่ในสนามรบของวงการวิชาแพทย์ศาสตร์ก็ไปไม่พ้นเรื่องของความไม่เป็นการเมืองอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะอยู่ฝากฝั่งไหน หรือกระทั่งสุดท้ายมารวมผสานกันเข้าแล้วก็ตามที ทั้งหมดที่ว่าก็ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของความเป็นมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ
หนังสือของคุณสรวิศจึงกระตุกต่อมเอ๊ะของเราขึ้นอีกครั้ง ให้มองหาการเมืองที่หายไปจากอาณาบริเวณของโรคซึมเศร้า เพราะแม้แต่คำว่าโลกในมโนทัศน์ชีวะ-จิต-สังคม ก็ยังเป็นโลกที่ปราศจากความเป็นการเมือง และความไม่เป็นการเมืองนั้นก็สอดคล้องกับวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยในยุคปัจจุบัน ที่ใช้ยา (ตามมโนทัศน์แรก) ร่วมกับการบำบัดปรึกษาดูแลอย่างเป็นองค์รวม (ตามมโนทัศน์หลัง) แต่ขาดการมองปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ-การเมือง (และจึงไม่มีหนทางแก้ไข) ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่มิตรสหายแพทย์พยาบาลทุกท่านรู้กันดี (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขาดแคลนเงิน ที่อยู่อาศัย เป็นหนี้ หรือความล้มเหลวในหน้าที่การงาน ฯลฯ) แต่เราก็ทำได้แค่ปล่อยวาง… การใช้สองมโนทัศน์ดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือผู้ป่วยได้พอสมควร แต่การเมินเฉยเรื่องการเมืองออกทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้จนถึงราก หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้ต่อต้านการรักษาในระบบแต่อย่างใด เพียงแค่มันพยายามสะกิดใจเราว่า เรามองไปไกลกว่านี้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกสิ่งอย่างจึงหลงเหลือแค่สิ่งที่นับได้ หรือคิดคำนวณได้ และอยู่ในขอบข่ายที่โลกแห่งผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการมันได้ ประชาธิปไตยและความเป็นการเมืองจึงถูกละเลย เพราะในขณะที่อย่างแรกเป็นการกระทำที่เป็นไปได้ อย่างหลังกลับเป็นเรื่องของการทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อโรคต่างๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรคซึมเศร้า ถูกปัดเป่าความเป็นการเมืองออกไป ชีวิตจึงเหลือแต่เพียงตัวเลขแห่งการคิดคำนวณบริหาร และจัดการอย่างเป็นระบบเท่านั้น การแพทย์บริสุทธิ์เช่นนี้ จึงบ่มเพาะความเป็นตัวตนอันโดดเดี่ยว ติดต่อกันแค่เพียงในรูปแบบธุรกรรมที่มีเวลา หัวข้อ และเป้าหมายแน่นอน กิจกรรมที่ไม่ส่งเสริมประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจึงถูกเขี่ยทิ้งไปโดยปริยาย
สัจนิยมแบบทุน หรือความคิดว่าด้วยการที่ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่นอกจากทุนนิยมจึงเข้มข้นขึ้น และการจัดการกับโรคต่างๆ โดยปราศจากการเมือง จึงเหมือนกับการซ่อมฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบ ให้เข้าไปใส่ในจักรกลแห่งการทำลายล้างที่บิดเบี้ยวอีกครั้งนั้นเอง ความท้าท้ายของเล่มนี้ก็คือการเรียกร้องว่าเราต้องหยุดจักรกลแห่งความฉิบหาย (ระบบทุนนิยม) นี้ลงนั่นเอง
การนำทางโดยตัวเลข กับความมืดบอดที่คุณก็รู้ดี
นอกจากตัวเลขระดับสารเคมีภายในแล้ว ตัวเลขภายนอกก็เข้ามาทับถมเติมแต่งความวินาศสันตะโรให้กับโรคและโลกที่ซึมเศร้าเข้าไปอีก ตัวเลขการวัดประสิทธิภาพประสิทธิผล และหนทางการกดดันผ่านตัวเลขทั้งหลายทั้งปวง กองอยู่ตรงหน้ารอให้เราปั้นแต่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น KPI, จำนวนการตีพิมพ์วารสารวิชาการ, ยอดขาย, อัตราการ admit, GDP หรืออะไรก็ตามแต่ที่อาชีพที่คุณกำลังทำอยู่จะต้องเผชิญ และแน่นอนว่าคุณสรวิศผู้เป็นนักวิชาการ ก็ต้องสาธยายความฉิบหายวายป่วงของวงการ KPI ในแวดวงของตนได้อย่างวิจิตรสะใจเหลือหลาย
ตัวเลขต่างๆ ที่หลายต่อหลายคนต้องเผชิญและโดนบังคับให้เสกสันปั้นแต่งขึ้นมา เราทั้งหลายก็รู้ดีว่ามันไร้สาระ กระทั่งผู้สั่งงานยังบอกกับเราว่า ‘ทำๆ ไปเถอะ’ เลยด้วยซ้ำ ความบ้าบิ่นเช่นนี้เป็นสิ่งที่ระบอบเสรีนิยมใหม่กำลังกระทำต่อเราอย่างหน้าด้านๆ มันสั่งให้เราทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำอ้างของมันเต็มๆ นั่นคือการผลาญเวลาไปกับสิ่งไร้ประโยชน์ต่างๆ วัดในสิ่งที่ไร้แก่นสาร และบอกลาสิ่งที่สร้างสรรค์ไป พวกเราเป็นแค่หนูปั่นจักรที่วนอยู่ที่เดิม

ความไร้สาระที่เกิดขึ้นกับวงการวิชาการและการงานโดยทั่วไปของยุคนี้กลายเป็นว่าไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรดีๆ ขึ้นมา ยกเว้นแต่ความรู้สึกว่าได้ทำงาน และได้ทำบางอย่างสำเร็จตามเป้าเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะไร้สาระในสายตาของเราเองสักเพียงได้ เอาล่ะฉันได้ตีพิมพ์งานแล้ว เอาล่ะทำยอดขายถึงเป้าแล้ว ฯลฯ ไม่ว่างานนั้นจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ ไม่ว่าสินค้าจะดีสักแค่ไหน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ แต่เรื่องที่ต้องใส่ใจคือตีพิมพ์ที่ไหน ตีพิมพ์เยอะเท่าไหร่ ขายได้ถึงเป้าไหม เป็นต้น
สุดท้ายความมืดบอดที่เรากำลังเดินหน้า(?)ไปหานั้นมีอะไรรอเราอยู่ นอกเสียจากตัวเราที่ต้องดีกว่าเดิมในทุกวัน มนุษย์ในระบบเสรีนิยมใหม่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่ต้องเอาชนะตัวตนเก่าของเขาทุกวินาที ‘รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน’ ‘ทำให้ดีกว่าเดิม’ กลายเป็นคำขวัญที่กดดันให้เกิดการเปรียบเทียบ กลายเป็นแส่ที่เหล่าแรงงานทั้งหลายใช้ฟาดตัวเองเพื่อไปให้ไกลกว่าเดิม ชีวิตเหลือเพียงแค่มิติของการเปรียบเทียบ ชั้นวางของร้านหนังสือเต็มไปด้วยหมวด ‘พัฒนาตนเอง’ พูดง่ายๆ ก็คือ ตรรกะการเติบโตอันไม่จบสิ้นของทุนซึ่งเคยต้องบังคับใช้แรงงานด้วยมาตรการต่างๆ เริ่มเข้ามาภายในจิตใจและบังคับใช้ในระดับภายในตัวตนของเราแล้ว
เมื่อผีควรกลัวคน และคนที่กำลังกลายเป็นผี ไม่มีใครให้สดุดีในลัดดาแลนด์
คุณสรวิศนำเรื่องลัดดาแลนด์มาอ่านใหม่ในลักษณะที่ดึงเอาความเป็นการเมืองของมันออกมา ไม่ว่ามันจะโดนฉาบเคลือบด้วยเรื่อง ‘ความล้มเหลวของครอบครัวชายเป็นใหญ่’ หรือการตีความแบบไหนก็ตามที แต่ดังนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะพอรู้แล้วว่า เจ้าตัวความล้มเหลว นี่แหละ ที่มีความเป็นการเมืองสุดขั้ว
เรื่องผีๆ ในฐานะเสียงสะท้อนกลับของผู้ที่กดทับ และการตายทับลงไปในโลกเหล่านั้น กลายเป็นใจความหลักของการตีความในหนังสือเล่มนี้ ผีที่ปรากฏตัวน้อย เสียงโทรศัพท์จากคนที่ผู้ชมก็รู้ว่าใคร และการพยายามวิ่งไล่ความฝันที่คนนั้นหยิบยื่นให้ อันก่อเกิดผลิตซ้ำอยู่ภายใน ทำให้คนอย่างเราๆ ผู้ที่อาจกลายเป็นประชากรส่วนเกินได้ทุกเมื่อนั้น ถูกบีบคั้นจากทุกทิศทุกทาง ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งด้านบนและด้านล่าง ราวกับว่าไม่มีศูนย์กลางของความรุนแรงที่แผ่ซ่านอยู่เลย

สิ่งเหล่านี้ถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดบรรจง แสดงให้เราเห็นถึงความรุนแรงของสังคมทุนนิยมบั้นปลายที่กระทำต่อเราทุกผู้ทุกคน มโนทัศน์ต่างๆ ที่ปูพื้นมาตั้งแต่สองบทที่แล้ว นำเราเข้าสู่จุดสุดยอดของการวิเคราะห์วิพากษ์อย่างสุขสันต์ และต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะนำพาการเมืองเข้าสู่เรื่องประจำวันหรือไม่ หรือจะจบอย่างแฟนตาซีในโลกที่สอดประสานกลมกลืน ราวกับว่าไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังที่ลัดดาแลนด์พยายามจะปั้นแต่งให้มันเป็น เราจะปล่อยให้เรื่องทุกเรื่อง เป็นเพียงความผิดพลาดส่วนบุคคล หรือทำให้มันเป็นเรื่องการเมือง แล้วขับเคลื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป สิ่งนั้นก็อยู่ที่เรา
“โลกใบใหม่เป็นไปได้”
________________________________

สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก