โดย นันทิพัฒน์ พรเลิศ ในยุคปัจจุบันที่สภาพทางเศรษฐกิจการเมืองของทั้งโลกและไทยต้องเผชิญกับการขยายตัวของความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนบรรษัท 1% ที่กอบโกยทรัพยากรจนร่ำรวยมากขึ้นทุกวัน กับประชาชนคนธรรมดา 99% รวมทั้งการเติบโตของการเมืองแบบขวาจัดชาตินิยม ปฏิเสธไม่ได้ว่าระเบียบโลกแบบ “เสรีนิยมใหม่” ตามแนวทางแบบฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) และการจงใจลดทอนอำนาจของรัฐในการดำเนินนโยบายรัฐสวัสดิการที่เกิดขึ้นทั้งโลกอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีความสอดคล้องกันอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นทุกวัน จนส่งผลให้ไฟแห่งความโกรธแค้นของประชาชนกำลังพุ่งตรงไปหาแนวคิดเสรีนิยมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และทำให้คนบางกลุ่มหันไปทางขวามากขึ้นในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาโต้กลับต่อเสรีนิยมใหม่ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ปฏิบัติการทางการเมืองแห่งยุคสมัยของภาคประชาชนในการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจการเมืองให้มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น การหมั่นทบทวนทางความคิดรวมถึงการทบทวนนิยามทางการเมืองโดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความไม่ชัดเจนของคำว่า ‘เสรีนิยมใหม่’ เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การต่อสู้มีความแหลมคมมากขึ้น แม้ว่าการทบทวนทางความคิดนั้นอาจจะทำให้ฝ่ายซ้ายและฝ่ายก้าวหน้าอาจรู้สึกขัดใจไปบ้าง กล่าวในแง่นี้ การได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง Foucault and Neoliberalism ซึ่งคุณพิพัฒน์ พสุธารชาติได้รวบรวมบทความของนักวิชาการที่ศึกษาด้านเสรีนิยมใหม่หลายคน จึงนับเป็นโอกาสดีที่เราทุกคนจะได้ทบทวนเป้าหมายและศัตรูที่แท้จริงของภาคประชาชน รวมทั้งเพื่อลดโอกาสในการตีกินของฝ่ายขวาจัด แทนการไล่ตีหุ่นฟางโจมตีเสรีนิยมใหม่เสมือนว่าพวกเขาเป็นเนื้อเดียวกันจนทำให้ฝ่ายซ้ายอาจสูญเสียพลังงานและความมั่นใจเกินความจำเป็น
ลดความเป็นปีศาจในเสรีนิยมใหม่ให้ลดลง: เมื่อเสรีนิยมใหม่ไม่ได้มีแบบเดียว
อาจกล่าวได้ว่าโดยรากฐาน ลัทธิเสรีนิยมใหม่ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันเหมือนอย่างที่ฝ่ายซ้ายและขบวนการภาคประชาชนเชื่อ กล่าวคือ ในขณะที่ภาพจำของนักคิดและงานวิชาการฝ่ายซ้ายจำนวนมากมักวาดภาพเสรีนิยมใหม่ในฐานะปีศาจหนึ่งเดียวที่เป็นต้นตอแห่งความเหลื่อมล้ำ และวิกฤติทางเศรษฐกิจการเมืองทั้งหลายทั้งปวง แต่ในทางประวัติศาสตร์ ผู้ที่ควรรับผิดชอบต่อวิกฤติเหล่านั้นควรต้องเป็นกลุ่มลัทธิการเงินนิยม (Monetarism) และกลุ่มฝ่ายขวาทางเศรษฐกิจทั้งหลายเสียมากกว่าที่นำคำว่าเสรีนิยมใหม่มาห่อหุ้มและแทรกซึมแนวคิดการตัดทอนรัฐสวัสดิการและการจำกัดอำนาจรัฐทางเศรษฐกิจ จนทำให้ความหมายในแง่ลบของเสรีนิยมใหม่แพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ไปในหลายประเทศตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ถึงปัจจุบัน เช่น ชิลียุคปิโนเช่ต์ อังกฤษยุคแทตเชอร์ บราซิลยุคปัจจุบัน ฯลฯ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรากฐานเริ่มต้นของคำว่า “เสรีนิยมใหม่” ซึ่งมีที่มาจากยุโรปภาคพื้นทวีปหรือ Ordoliberalism ในเยอรมนีนั้นไม่ได้มีนัยยะแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเสรีนิยมใหม่ในความหมายหลังนี้มีนัยยะถึงกระแสการฟื้นฟูความคิดเสรีนิยมแบบคลาสสิค (Classical Liberalism) ที่ไร้การควบคุมและมือใครยาวสาวได้สาวเอาให้อยู่ภายใต้การควบคุมภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์ของรัฐบนพื้นฐานของประชาธิปไตย เพื่อเป้าหมายในการสร้างระบบที่เอื้อต่อการแข่งขัน แต่ไม่ละเลยความยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคมของผู้ที่ด้อยกว่า กล่าวในแง่นี้ ความคิดของเสรีนิยมใหม่ในความหมายหลังจึงอาจนับว่าไม่ใช่สิ่งที่แปลกแยกและเป็นคู่ตรงข้ามจากความคิดแบบฝ่ายซ้ายมากเกินไปเมื่อเทียบกับเสรีนิยมใหม่ในความหมายแรก และการทบทวนกระบวนการสร้างมิตร/ศัตรูต่อฝ่ายเสรีนิยมเสียใหม่จึงอาจเป็นเรื่องจำเป็น
ประการที่สอง จากปัญหาประการแรกที่หนังสือได้ขยายให้เห็นถึงความคลุมเครือที่ซ้อนทับแต่ความหมายแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของเสรีนิยมใหม่ทั้งสองรูปแบบ เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์ของการเมืองร่วมสมัยในยุคปัจจุบัน การเติบโตขึ้นมาของกระบวนการฝ่ายขวาประชานิยมที่เติบโตขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลกจึงอาจไม่ใช่เรื่องที่ดูอธิบายยากเท่าที่ควร เมื่อการสร้างวาทกรรมของฝ่ายซ้ายกระแสหลักได้วาดภาพเสรีนิยมทุกชนิดให้กลายเป็น “ปีศาจเสรีนิยมใหม่แบบชิคาโก” จนเสรีนิยมใหม่ความหมายดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจสังคมได้ถูกผลักไปเป็นความหมายชายขอบที่คนหลงลืม กระบวนการของกลุ่มอำนาจนิยมฝ่ายขวาจึงฉวยใช้จังหวะนี้ในการโจมตีวิธีคิดและของเสรีนิยมทุกรูปแบบไม่เว้นแม้แต่เสรีนิยมแบบดั้งเดิมดังกล่าว และสถาปนาความชอบธรรมของการเมืองแบบขวาจัดขึ้นมาแทน โดยกีดกันทุกกลุ่มความคิดทางการเมืองที่อยู่ซ้ายกว่าตัวเองไปอยู่ชายขอบแห่งความพ่ายแพ้ทั้งหมด กล่าวในแง่นี้ ภายใต้ยุคแห่งการเมืองประชานิยมแบบฝ่ายขวา ทั้งฝ่ายซ้าย ภาคประชาชน และกลุ่มเสรีนิยมแบบออร์โดจึงกลับกลายเป็นว่าต้องเผชิญยุคที่การกีดกันทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่รุนแรงไม่แตกต่างจากยุคแห่งฉันทามติวอชิงตัน (ในบางกรณีอาจรุนแรงเสียมากกว่าด้วย เช่นไทย เป็นต้น) รวมทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำและความเป็นธรรมทางสังคมก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลเหมือนเดิม จนกล่าวได้ว่าเราทุกคนกำลังเผชิญสภาวะแห่งการ “หนีเสือปะจระเข้” อย่างน่าเสียดาย
เพิ่มความเข้มแข็งของขบวนการประชาชนให้มากขึ้น: ให้การแบ่งแยกและปกครองจบในรุ่นเรา
จากสภาวะปัจจุบันที่การเมืองภาคประชาชนยังไม่สามารถหาทางออกจากวังวนของวงจรอุบาทว์ที่สลับกันไปมาระหว่างระบอบเสรีนิยมใหม่แบบชิคาโก และการเมืองแบบอำนาจนิยมขวาจัดที่ต่างล้วนไม่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมมากเพียงพอ จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า เราจะออกจากสภาวะเช่นนี้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อเสนอหนึ่งที่เป็นทางออกที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้วเสรีนิยม (ใหม่) ในแต่ละภูมิภาคแต่ละสังคมไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว และเสรีนิยมไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์เย็นชาที่อยากแข่งขันอย่างเดียวจนเพิกเฉยต่อความเป็นไปของสังคม เหมือนดั่งที่เสรีนิยมออร์โดในยุโรปก็ไม่ได้มีวิธีคิดที่ใจร้ายต่อผู้ที่ด้อยกว่าเหมือนเสรีนิยมแบบอเมริกา กล่าวในแง่นี้ ฝ่ายซ้ายและภาคประชาชนอาจจำเป็นต้องทบทวนภววิสัยที่เป็นจริงของสภาพการณ์ทางการเมืองในสังคมหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะเหมารวมเสรีนิยมทั้งมวลในฐานะกลุ่มที่เลวร้าย เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของการแบ่งแยกและปกครองซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชนชั้นนำทั่วโลกล้วนใช้งานมาอย่างชำนาญ

การประท้วงในชิลี 2019 / Photo by Carlos Figueroa
กล่าวในแง่นี้ เมื่อหันกลับมามองบริบทของการเมืองภาคประชาชนไทยในปีปัจจุบันที่อาจกระแสตกไปบ้างเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว กลุ่มที่นิยมความคิดแบบฝ่ายซ้าย รวมถึงกลุ่มที่ขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาขนทุกกลุ่มทั้ง REDEM กลุ่มราษฎร และอื่น ๆ จึงอาจจำเป็นต้องหันกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์และการสร้างแนวร่วมในแนวกว้างที่มากขึ้น และอาจมีความจำเป็นต้องหันมาใช้ภาษาแบบเสรีนิยม (ที่ไม่ใช่เสรีนิยมแบบอเมริกัน) มาใช้ในการพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ และความเป็นธรรมทางสังคมบ้างโดยไม่ให้เสียแก่นของการต่อสู้เพื่อประชาชนไป เหมือนดั่งในอดีตที่ชาวยุโรปสามารถใช้ภาษาแบบเสรีนิยมในการฟื้นฟูและประนีประนอมเพื่อให้สามารถหาจุดที่ฝ่ายซ้าย กลุ่มเสรีนิยม และฝ่ายขวา สามารถอยู่ร่วมกันได้ในระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางสังคมและการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน เพื่อลดโอกาสที่สังคมจะสุดโต่งทั้งไปในรูปแบบอำนาจนิยมแบบนาซี และทุนนิยมแบบไร้ข้อจำกัดแบบอเมริกันในท้ายที่สุด