ชาญ พนารัตน์
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
1.
หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม สะท้อนความจริงขั้นพื้นฐานที่ว่า มนุษย์ต่างก็รับรู้และเข้าใจโลกทางสังคม แต่มนุษย์อาจมิได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเวลาทางสังคม ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อโลกทัศน์ ตลอดจนการมุ่งและการดำเนินไปของชีวิตผู้คนในแต่ละยุคสมัยแต่ละสังคม
การทำความเข้าใจถึง “เวลาทางสังคม” มีความสำคัญต่อการสะท้อนย้อนคิดถึงโลกทัศน์และวิถีชีวิตของตัวนักวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เอง ตลอดจนของผู้ที่ถูกศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในบริบทใดก็ตาม เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วหนังสือเล่มนี้ได้ให้ประโยชน์ในแง่ของการเป็นเครื่องมือในการทำวิจัยที่ช่วยให้ผู้วิจัยรู้เท่าทันอคติของตัวผู้วิจัยเองผ่านการประเมินโลกทัศน์และวิถีชีวิตที่ยึดโยงกับความคิดเรื่องเวลาทางสังคมของสังคมของตนเอง เช่น ความเข้าใจและตระหนักรู้อย่างเท่าทันถึงการแบ่งแยกเวลาทำงานกับเวลาว่างอันถูกกำหนดอย่างเป็นสถาบันตามรูปแบบที่สมาชิกสังคมอุตสาหกรรมคุ้นชิน (ฐานิดา, 2563, น.78) ขณะเดียวกันการรู้เท่าทันอคตินี้ก็ช่วยจำแนกตัวผู้วิจัยออกจากผู้คนที่มีโลกทัศน์และวิถีชีวิตอันยึดโยงกับเวลาทางสังคมที่แตกต่างออกไปได้อย่างชัดเจน อย่างเช่น สังคมของชาวนูเออร์ (the Nuer) ที่ไม่มีเส้นแบ่งเวลาที่แน่ชัดเจน โดยจุดอ้างอิงเวลาจะอิงกับกิจกรรมทางสังคมที่สัมพันธ์อย่างมากกับเวลาทางนิเวศอย่างฤดูฝนและฤดูแล้ง (ฐานิดา, 2563, น.66-74) เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วหนังสือเล่มนี้จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ทั้งในแง่ของญาณวิทยาในการวิจัยและการศึกษาวิจัยสังคมที่จะต้องเกี่ยวข้องยุคสมัยและพื้นที่ต่างๆ
2.
เวลาที่สามารถคำนวณได้ในเชิงปริมาณ เป็นรูปแบบเวลาที่ผู้คนในยุคสมัยนี้คุ้นชินกัน เราคุ้นเคยกับเวลาในรูปแบบนี้จนคิดว่าเวลาเป็นสภาวะอัตวิสัยที่ดำรงอยู่ก่อนและมีความเป็นสากลหนึ่งเดียวทั่วโลก อย่างไรก็ดี หนังสือ หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม ของอาจารย์ฐานิดา บุณวรรโณ เล่มนี้ได้ช่วยให้ผู้อ่านสามารถก้าวข้ามมายาคติดังกล่าว
เวลาแบบกำหนดก่อนไม่ได้ดำรงอยู่จริง เด็กเล็กคนหนึ่งจะเข้าใจความคิดเกี่ยวกับเวลาได้ก็จะต้องเรียนรู้ความคิดดังกล่าวจากสังคมที่เธอหรือเขาสังกัด ความคิดเกี่ยวกับเวลาถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่น
ตัวอย่างหนึ่งจากที่ผู้เขียนรีวิวได้ยินได้ฟังมาก็คือ เด็กเล็กคนหนึ่งในวัยที่เพิ่งเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลเรียนรู้ที่จะต้องซึมซับรับเอาและต่อรองกับเวลาในสังคมอุตสาหกรรมที่กำหนดตารางเวลาสำหรับการทำงานและการพักผ่อนไว้อย่างแบ่งแยกชัดเจน เด็กเล็กคนนั้นเลียนแบบการต่อเวลาเพื่อนอนต่อจากผู้ใหญ่ เด็กเล็กผู้สะลึมสะลือยังไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงจึงร้องขอแม่ของเธอว่าขอนอนต่อเป็นเวลา ๕ ชั่วโมง แม่ของเธอจึงอดที่จะกลั้นหัวเราะไม่ได้ จากตัวอย่างนี้ได้สะท้อนว่า ความเข้าใจต่อเวลาในโลกอุตสาหกรรมและการใช้หน่วยเวลาเป็นเรื่องที่จะต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และตัวอย่างนี้จึงสะท้อนถึงคำกล่าวของนอร์เบิร์ต เอไลอัส (Norbert Elias) นักสังคมวิทยาผู้ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากดูร์ไคม์ไม่มากก็น้อยที่ว่า เวลาต้องดำเนินไปผ่านประสบการณ์ในกระบวนการการเรียนรู้ที่กินเวลานานหลากหลายรุ่น และเด็กก็ต้องเรียนรู้จักเวลาในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสถาบันทางสังคม หรือเป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมตนเองและการควบคุมทางสังคม (Elias, 1992, pp.10-11, 37)
3.
หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม แสดงให้เห็นถึงธรรมเนียมและกระบวนการศึกษาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่เน้นการเจาะลึกลงไปถึงรากฐานทางความคิด การถกเถียงของนักคิด การส่งอิทธิพล การหยิบยืมความคิด การวิพากษ์วิจารณ์ และการปรับเปลี่ยนเพื่อการทำความเข้าใจ “ความจริงทางสังคม” งานชิ้นนี้จึงเป็นการสอนกระบวนการเรียนรู้ของนักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไปในตัว
หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม นำผู้อ่านมาสู่จุดเริ่มต้นหนึ่งของการถกเถียงประเด็นเรื่อง “สังคมวิทยาเวลา” ที่ริเริ่มบุกเบิกโดยนักสังคมวิทยาอย่าง เอมิล ดูร์ไกม์ (Émile Durkheim) หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของดูร์ไกม์ ก็คือ มนุษย์ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเวลาทางสังคม ปฏิทินเป็นเครื่องยืนยันถึงประเด็นนี้ เพราะ “[…]ปฏิทินคือเครื่องกำกับจังหวะของกิจกรรมส่วนรวม ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันถึงความสม่ำเสมอแก่กิจกรรมนั้นๆ” และ “เวลาเป็นสิ่งที่ทั้งถูกกำหนดโดยสังคมและเวลาก็เป็นสิ่งที่เข้าควบคุมสังคมอีกที” (ฐานิดา, 2563, น.21, 31)
และจากการศึกษาของศิษย์สำนักดูร์ไกม์เมียนอีกหลายคนก็นำมาสู่ปัญหาในการมองเรื่องเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่ลงรอยกันระหว่างเวลาของสังคมกับปัจเจกบุคคล มนุษย์สามารถมีเวลาร่วมกันหรือความทรงจำร่วมกันกับคนอื่นๆ ได้ในหลากหลายกลุ่มทางสังคมที่เขาสังกัดไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ เพราะฉะนั้น เวลาแยกย่อย หรือ กาละจำเพาะ (temporality) ของปัจเจกบุคคลจะถูกจัดวางให้สัมพันธ์หรือขัดแย้งกับเวลาของสังคมอย่างไร จึงเป็นคำถามที่หนังสือของอาจารย์ฐานิดายกมาถกเถียง (ฐานิดา, 2563, น.36-42) นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังเจาะลึกถึงการพยายามก้าวข้ามสภาวะคู่ตรงข้ามระหว่างเวลาในฐานะจังหวะชีวิตส่วนรวมกับกาละจำเพาะ เช่น การพินิจพิเคราะห์โดยเอไลอัสว่าเวลาเป็นประสบการณ์จำเพาะของมนุษย์แต่ละคน ซึ่งอาจถูกจัดการปรับจังหวะเวลาให้มีจังหวะร่วมกันเพื่อสนองต่อความต้องการในการบูรณาการทางสังคม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐ) อันมีความแตกต่างและสลับซับซ้อนมากขึ้นบนประวัติศาสตร์ช่วงยาวของมนุษย์ (ฐานิดา, 2563, น.94-104; Elias, 1992, pp.53-57)
4.
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เราสามารถนำประเด็นทางสังคมวิทยาเวลากลับมาถกเถียงถึงความคิดเกี่ยวกับเวลาได้ในหลากหลายแง่มุมในสังคมไทยเองก็วิวัฒน์ไปพร้อมกับความคิดเรื่องเวลาที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย สังคมไทยเปลี่ยนผ่านจากยุคจารีตที่มองเวลาภายใต้กรอบคิดทางศาสนาพุทธที่เชื่อในหลักปัญจอัตรธาน ซึ่งมองว่าเมื่อเวลาผ่านไปพุทธศาสนาจะเสื่อมลงไปตามกาล และเคลื่อนไปสู่เวลาของสังคมสมัยใหม่ที่มองว่ากาลข้างหน้าสังคมจะต้องเจริญขึ้นเรื่อยๆ ในด้านต่างๆ (ดู อรรถจักร์, 2538) และต่อมาก็เคลื่อนมาสู่การตั้งคำถามต่อความคิดเรื่องเวลาในสังคมหลังสมัยใหม่ โดยมีการตั้งคำถามกับความเชื่อเกี่ยวกับความก้าวหน้าของมนุษย์ของสังคมสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการศึกษาความคิดเรื่องเวลาของผู้คนในแต่ละยุคสมัยไปแล้ว ประเด็นหนึ่งจากหนังสือ หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม ที่เราพึงจะมองข้ามไปไม่ได้เลยคือ ความคิดเรื่องเวลาในแต่ละยุคสมัยของสังคมหนึ่งๆ ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงหนึ่งเดียว และประเด็นนี้เองก็เป็นประเด็นที่อาจารย์ฐานิดาเน้นย้ำอย่างยิ่ง
ความคิดเรื่องเวลาอาจมีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มทางสังคมที่มีความหลากหลาย ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนรีวิวขอยกขึ้นมาก็คือ ในสังคมไทยสมัยอยุธยาราวปลายสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๑ (พ.ศ. 2018-2112) ความคิดเรื่องเวลาของชนชั้นปกครองและไพร่ ก็มีทั้งเวลาของสังคมร่วมกันภายใต้ความพยายามควบคุมกำกับสังคมรัฐและการเผชิญหน้ากับเวลาแยกย่อยหรือกาละจำเพาะของไพร่ ผู้มีความคิดเรื่องเวลาที่อยู่นอกกรอบคิดเรื่องเวลาของสังคมรัฐด้วย กล่าวคือ กษัตริย์อยุธยากำหนดปฏิทินพระราชพิธีในแต่ละเดือนอันเป็นการพยายามควบคุมผู้คนแต่ละช่วงชั้นให้มีจังหวะชีวิตตามฐานันดรแต่ดำรงอยู่ร่วมกันภายในสังคมรัฐ พระราชพิธีที่มีทั้งกีฬาของชนชั้นสูงและไพร่เป็นองค์ประกอบ (เช่น ขี่ม้าตีคลีและหัวล้านชนกัน ตามลำดับ) ก็สะท้อนกรอบการมองนี้ แต่ทว่าไพร่เองก็มีกาละจำเพาะตามประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอันไม่มีกำหนดเวลาชัดเจนเหมือนกับของกษัตริย์ ไพร่ชาวไร่คนหนึ่งออกจากบ้านมาเดินตระเวนท้าแข่งหัวล้านชนกันโดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้ปะทะแข่งขันหรือไม่ ขณะที่ชายหัวล้านหลายคนอาจถูกท้าทายให้เข้าแข่งขันหัวล้านชนกันได้ทุกเมื่อ (ดู สมุทรโฆษ คำฉันท์, 2504; วินัย (บ.ก.), 2548) ในกรณีนี้ดูเหมือนจะยืนยันว่า “[...]เวลาทางสังคมมีลักษณะหลากหลายและยิบย่อย[...]” และคำกล่าวที่ว่า “[...]เวลาย่อยๆ ต้องไปหลอมรวมเป็นเวลาของสังคมที่มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน” ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป (ฐานิดา, 2563, น.42) เพราะฉะนั้น เวลาทางสังคมของพื้นที่และเวลาหนึ่งๆ และของปัจเจกบุคคลคนหนึ่งจึงมีหลากหลายรูปแบบได้ ดังข้อเสนอของนักคิดสกุลหน้าที่นิยมและนักสังคมวิทยาสำนักดูร์ไกม์เมียนรุ่นหลัง (ฐานิดา, 2563, น.56, 76, 81-83) อีกทั้งการกำหนดจังหวะเวลาร่วมกันโดยรัฐ/กษัตริย์อยุธยายังสะท้อนถึงการพยายามบูรณาการสังคมรัฐที่มีความกว้างขวางและสลับซับซ้อนมากขึ้นตามที่เอไลอัสได้เสนอไว้อีกด้วย
หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม จึงเปิดไปสู่คำถามมากมายที่ได้ท้าทายให้ผู้อ่านได้ลองย้อนกลับไปทบทวนอดีต และทบทวนปัจจุบันขณะอันเป็นสภาวะที่ผู้อ่านกำลังประสบอยู่
เอกสารอ้างอิง
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |