ปริทัศน์หนังสือ “อเทวนิยม ฉบับกระชับ” ATHEISM A Very Short Introdution
เขียนโดย จูเลียน แบ็กกีนี (Julian Baggini) แปลโดย ธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์
คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าหรือชาติหน้า จะเป็นคนดีมีคุณธรรมได้อย่างไร แบ็กกีนีชวนถามกลับว่า คนที่ทำความดีเพราะเชื่อว่ามีบางอย่างมองดูอยู่ (พระเจ้า/กรรม) ทำดีเพราะหวังว่าจะได้รับการตอบแทนจากสิ่งนั้น และไม่กล้าละเมิดคำสอน (ที่อ้างว่ามาจาก) สิ่งนั้น การทำดีของเขา เป็นความดีหรือคุณธรรมที่ควรยกย่องจริงหรือ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เชื่อสิ่งนั้นและทำความดีเพราะเห็นว่า สิ่งนั้นเป็นความดีโดยตัวมันเอง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นในปัจจุบัน
ภาพ The Last Judgment ของ Michelangelo ที่ Sistine Chapel ณ กรุงวาติกัน
ชีวิตของคนที่ไม่เชื่อศาสนา ไม่เชื่อพระเจ้า จะมีความหมายอะไร ในเมื่อไม่มีโลกหน้าซึ่งมีความสุขกว่านี้ที่รอเราอยู่ ถามกลับเช่นเดิมว่า ทำไมจะต้องนิยามความหมายของชีวิตว่าขึ้นกับโลกหน้า คนที่ใช้โลกนี้เป็นเพียง “ทางผ่าน” เพื่อทำบททดสอบและหวังจะไปมีความสุขชั่วนิรันดร์ในโลกหน้า (ซึ่งยังไม่ทราบว่ามีอยู่จริงไหม) จะเป็นชีวิตที่มีความหมายหรือมีความสุขกว่าอย่างไร เมื่อเทียบกับคนที่เชื่อว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงเมื่อตาย แล้วใช้ชีวิตด้วยวิถีของเขาซึ่งไม่ต้องอ้างสิ่งเหนือธรรมชาติ แน่นอนว่า การนิยามความสุขแบบตนเอง (โดยเฉพาะของศาสนา) แล้วตัดสินว่าวิถีชีวิตแบบอื่นเป็นทุกข์ ไม่มีทางพบสุขได้ เป็นแนวคิดที่คับแคบมาก
ตัวอย่างสั้นๆ 2 ข้อนี้ อาจพอจะชวนให้การถกเถียงแบบเรียบง่ายแต่ฟังขึ้นที่แบกกินีใช้เพื่อยืนยันหลักการของ อเทวนิยม
ในเล่มยังได้อ้างแนวคิดทางปรัชญาต่างๆ มาอธิบาย แบกกีนี่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นฐานคิดของอเทวนิยมเท่านั้น ในเวลาเดียวกันก็ชี้ให้เห็นรากฐานของพวกศาสนิกหรือเทวนิยมด้วย เพื่อจะบอกว่า เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงเชื่อหรือยังจะยืนยันความเชื่อเช่นนั้นต่อ พูดให้โรแมนติกคือ หนังสือเล่มนี้อาจช่วยให้คนสองฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยตรวจสอบฐานคิดของฝ่ายตนเองด้วย

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เคยทรงตรัสว่า ‘นรกไม่มีอยู่จริง’ คำพูดของพระองค์ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในศาสนจักรโดยเฉพาะกรุงวาติกัน
แบกกีนียืนยันสถานะตนเองว่าไม่ได้เป็นพวก militant atheism ตั้งแต่ต้น นั่นคือ การเป็นอเทวนิยมไม่จะเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อจะกวาดล้างพวกเทวนิยม/ศาสนาให้สิ้นซาก หากแต่เป็นการอยู่ร่วมโลกกันกับคนที่ศรัทธา อเทวนิยมควรมีสิทธิที่จะรักษาจุดยืนของตนและถกเถียงกับพวกเทวนิยมบนหลักการ ฉะนั้น รัฐในอุดมคติของ อเทวนิยมจึงไม่ใช่รัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบที่ฝ่ายเทวนิยมยัดเยียดให้ เพราะนอกจากอเทวนิยมจะอยู่บนฐานคิดที่ไม่อิงกับเรื่องเหนือธรรมชาติแล้ว อเทวนิยมยังยืนอยู่บนเสรีภาพทางศาสนา คือใครจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้น รัฐในอุดมคติของเขาจึงเป็น “รัฐโลกวิสัย”

ภาพถ่ายที่แสดงตัวอย่างของแนวคิด “รัฐโลกวิสัย”
พวกอเทวนิยมจึงไม่ได้น่ากลัวในแบบที่ถูกป้ายสี ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายเทวนิยมเองต่างหากที่ดูจะเอนไปทาง militant หรือหัวรุนแรงมากกว่า เพราะหลายครั้งคำสอนในศาสนาจะถูกเอามาตีความเพื่อทำร้ายผู้อื่น ติดป้ายคนคิดต่างว่าเป็นพวกนอกรีต (kafir) แม่มด เดียรถีย์ มิจฉาทิฎฐิ เป็นต้น และเมื่อมีอำนาจก็มักทำให้รัฐตอบสนองศาสนาของตนโดยไม่สนใจความเป็นธรรมที่ควรเคารพต่อศาสนาอื่น สิ่งที่ทำให้อเทวนิยมดูน่ากลัว น่าจะเป็นเพราะการใช้เหตุผลที่อิงอยู่กับความจริงที่พอจะเห็นกันได้ (สัจนิยม) ซึ่งค่อนข้างแข็งแรงที่จะโน้มน้าวให้เชื่อตามนั่นเอง มันจึงกลายเป็นมหันตภัยในสายตาของผู้ศรัทธา
จิตรกรรมฝาผนังวัดทองธรรมชาติ -ภาพตอนเหล่าเทพเทวดามาร่วมยินดีที่องค์พระพุทธเจ้าทรงชนะมาร
สิ่งสำคัญที่ควรเน้น (แม้หนังสือเล่มนี้จะไม่พูดถึงโดยตรง) คือ ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นอเทวนิยม เพราะแม้ชาวพุทธพยายามตีความคำสอนอย่างเปิดกว้างจนนำไปสู่หนังสือพวก Secular Buddhism ของ Noah Rasheta (2013), Beyond Religion: Ethics for a Whole World ขององค์ทะไลลามะ (2011) หรือ พุทธธรรม ของ ปยุตโต แต่ก็เป็นการเลือกนำเสนอพุทธศาสนาในมิติที่มีเหตุผลโดยละเลยมิติที่เหนือธรรมชาติ เช่น ผี ปาฏิหาริย์ โลกหน้า นรกสวรรค์ กฎแห่งกรรม (ที่ทำงานข้ามภพชาติ หรือมาให้ผลกับชีวิตในวันหน้า) ทั้งที่มีคำสอนนี้ในคัมภีร์ต้นฉบับ

ที่ยิ่งกว่านั้น การนิยามความสุขที่แท้จริงในมิติเดียว (จิตว่างจากกิเลส/โลกุตตระ) และทางปฏิบัติทางเดียว (สรุปลงในมรรค 8) เป็นการปฏิเสธว่า วิถีแบบอื่นไม่ใช่ทางแห่งความสุขที่แท้จริง ความเชื่อที่ผูกขาดเช่นนี้ก็ขัดกับหลักการของอเทวนิยม ดังนั้นชาวพุทธจึงจัดเป็นฝ่ายเทวนิยมเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ และนี่เป็นเหตุผลที่ชาวพุทธไม่ควรรีบดึงพวก Atheist มาอยู่ฝ่ายตน เพราะวิธีคิดของเขาต่างไปจากพุทธ ตรงที่เขาเชื่อว่าความสุขมีหลากหลาย ไม่เชื่อเรื่องสุขที่สูงสุด (เช่นเดียวกับพวกโพสต์โมเดิลไม่เชื่อเรื่อง Ultimate Truth) หรือไม่เชื่อเรื่องจิตข้ามภพ (แม้จะใช้คำว่า consciousness แทน soul ก็ตาม)
นรกชั้นต่างๆตามที่อธิบายไว้ใน ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง จาก https://www.facebook.com/106985419363126/posts/1581029705292016/?d=n
ในขณะที่กลุ่มเฟสบุคของชาวอเทวนิยม (ในไทยและอินโดฯ) มักโพสต์เน้นไปที่การโจมตีบุคคลหรือตัวแทนศาสนา เช่น ข่าวพระเมาเหล้าจนถูกจับสึก ครูโรงเรียนปอเนาะลวนลามเด็กจนถูกชาวบ้านไล่ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อ แน่นอนว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น ตัวอย่างปรากฏการณ์ร่วมสมัยที่เขายกมา เช่น กลุ่มเนสซี กลับน่าสนใจในแง่ที่ปูให้เห็นพัฒนาการของความเชื่อ ที่จะพามาสู่ข้อถกเถียงกันบนวิธีคิดของศาสนา/ปรัชญาสายต่างๆ ซึ่งธรรมดาว่าอาจจะอ่านยากในบางช่วง (กรณีที่ผู้อ่านไม่มีพื้นทางปรัชญาเลย) แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะบริบทรายรอบที่แบกกีนีใช้อภิปราย พอจะช่วยให้เห็นข้อเสนอและเหตุผลที่เขาใช้ยืนยัน กอปรกับการแปลที่อ่านง่ายแบบมีทักษะของ ธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ หนังสือนี้จึงช่วยให้เราเข้าใจวิธีคิดทางศาสนาและอเทวนิยมได้ดีทีเดียว
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________
20 มิถุนายน 2563