ถาม-ตอบ 4 ข้อ กับ ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล ผู้เขียน ว่าทำไมคุณควรอ่าน “จากมือตบถึงนกหวีด: พัฒนาการและพลวัตของขบวนการต่อต้านทักษิณ” ไม่ว่าคุณจะเป็นสีอะไร เหลืองหรือแดง รักหรือเกลียดทักษิณ รักประชาธิปไตยหรือให้ใจเผด็จการ Q1 : ทำความเข้าใจขบวนการต่อต้านทักษิณ แล้วจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ยังไง ?
A : ที่ผ่านมาเราเผชิญการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งตลอดช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา หนังสือเล่มนี้พยายามขยายพรมแดนการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านการศึกษาพัฒนาการและพลวัตของพลังทางการเมืองที่มีส่วนสำคัญในความขัดแย้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะ “ขบวนการต่อต้านอดีตนายกทักษิณและรัฐบาลตัวแทน (nominee government)” เป็นเรื่องที่สำคัญมาก การทำความเข้าใจขบวนการดังกล่าวนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความเข้าใจให้กับสาธารณะแล้ว ยังช่วยสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างขั้วขัดแย้งต่างๆ ให้เห็นถึงความซับซ้อน ความหลากหลาย พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจขบวนการของพวกเขาในกลุ่มสมาชิกขบวนการต่อต้านทักษิณเอง หรือการขยายความเข้าใจของฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณและระบอบประชาธิปไตย ให้เข้าใจความซับซ้อนของขบวนการขั้วตรงข้ามด้วย
Q2 : ขบวนการต่อต้านทักษิณมีลักษณะและพลวัตอย่างไร ?
A : ในช่วงแรกของการเคลื่อนไหว ขบวนการต่อต้านทักษิณมีลักษณะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ประกอบไปด้วยพลังทางการเมืองที่หลากหลายทั้งด้านฐานความคิดและจุดยืนทางการเมือง ตั้งแต่กลุ่มอนุรักษ์นิยม ที่ต่อต้านประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง เชื่อในชาตินิยมและกษัตริย์นิยม ไปจนถึงกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแบบชาตินิยมและกษัตริย์นิยม ดังนั้นตลอดช่วงพัฒนาการของการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ เราได้เห็นการต่อสู้และความขัดแย้งของพลังกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งบ่อยครั้งก็ย้อนแย้งและขัดแย้งกันเองเหล่านี้
แต่เมื่อการเคลื่อนไหวเริ่มเติบโตขึ้น ขบวนการต่อต้านทักษิณกลับเคลื่อนตัวไปทิศทางอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของขบวนการฯ ค่อยๆ ถูกรื้อและสร้างขึ้นใหม่ ผ่านการผสมผสานระหว่างกรอบคิดแบบกษัตริย์นิยม (royalism) ชาตินิยม (nationalism) และการต่อต้านประชาธิปไตย (anti-democratic) พลังอนุรักษ์นิยมในขบวนการเคลื่อนไหวค่อยๆ พัฒนากลายเป็นพลังหลักมีอิทธิพลเหนือกลุ่มอื่นๆ ในท้ายที่สุด พลังอื่น ๆ ที่ในช่วงต้นไม่เห็นด้วยกับการชูแนวทางกษัตริย์นิยมและชาตินิยมในการเคลื่อนไหว แต่เชื่อในแนวทางประชาธิปไตย บางส่วนค่อย ๆ ยอมประนีประนอมกับปีกอนุรักษ์นิยม ส่วนกลุ่มที่ยืนยันไม่เห็นด้วยก็ถูกเบียดขับออกจากขบวนการฯ ท้ายที่สุดขบวนการต่อต้านทักษิณซึ่งแต่เดิมเคยมีความหลากหลาย ก็เคลื่อนไปสู่แนวทางอนุรักษ์นิยม และกลายเป็นพลังสำคัญในผลักดันประเด็นอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะแนวคิดต่อต้านประชาธิปไตย (anti-electoral democracy) แนวคิดชาตินิยมแบบสุดขั้ว (ultra-nationalism) และแนวคิดกษัตริย์นิยมแบบสุดขั้ว (ultra-royalism)
การชุมนุมประท้วงของ กปปส.แถวสีลม (ที่มา: Wikimedia Commons)
การเคลื่อนไหวครั้งต่อมาของขบวนการต่อต้านทักษิณเติบโตขึ้นช่วงรัฐบาลของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ในครั้งนี้ขบวนการ ฯ เติบโตและประสบความสำเร็จภายใต้แกนนำกลุ่มใหม่ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มหนึ่งลาออกจากพรรค เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มดังกล่าวได้จัดตั้งองค์กรการเคลื่อนไหวขึ้นใหม่เพื่อแทนที่ พธม. ที่มีความขัดแย้งกันก่อนหน้านี้ โดยใช้ชื่อใหม่ในนาม “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่รู้จักกันในนาม กปปส. (the People's Democratic Reform Committee: PDRC)”
แม้ว่าภายใต้แกนนำใหม่จะมีการรณรงค์บางประเด็นที่ดูเหมือนจะก้าวหน้า เช่น การเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจ การต่อต้านคอร์รัปชัน ฯลฯ แต่โดยภาพรวมของขบวนการฯ ก็ถูกครอบงำโดยพลังทางการเมืองและประเด็นข้อเรียกร้องของฝ่ายขวา ขบวนการ ฯ เริ่มต้นด้วยรณรงค์ต่อต้านความพยายามของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการผลักดัน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นกลไกในการล้างมลทินและทำให้ทักษิณสามารกลับประเทศไทยได้ (The Guardian, 2013) แต่ในเวลาไม่นานขบวนก็หันไปเน้นประเด็นกษัตริย์นิยมและการต่อต้านประชาธิปไตย กปปส. ไม่ได้เพียงแค่เรียกร้องให้นายก ยิ่งลักษณ์ยุบสภา แต่พวกเขายังเรียกร้องให้ทหารเข้ามายึดอำนาจทางการเมือง และยกเลิกการเลือกตั้งจนกว่าจะสามารถขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากไป พวกเขาเรียกตัวเองกว่า “ทหารของพระราชา” และใช้ “ธงชาติ” เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พวกเขาสามารถระดมมวลชนครั้งใหญ่อีกครั้ง เข้ายึดกุมสถานที่ราชการและย่านธุรกิจการค้าสำคัญๆ ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มีการรณรงค์ระดมมวลชนเข้าล้อมเขตคูหาเลือกตั้งจำนวนหลายแห่งทั่วประเทศ เพื่อขัดขวางประชาชนที่ต้องการไปลงคะแนนเสียง และท้ายที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการขัดขวางการเลือกตั้งและกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญซึ่งปูทางไปสู่การให้ทหารเข้ายึดอำนาจ ในการรัฐประหาร พฤษภาคม พ.ศ. 2557
Q3 : งานชิ้นนี้แตกต่างจากงานก่อนหน้านี้ที่ศึกษาเสื้อเหลือง หรือขบวนการต่อต้านทักษิณชิ้นอื่นๆ อย่างไร ?
A : เบื้องต้นงานชิ้นนี้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามต่อการก่อตัว พัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงของขบวนการต่อต้านทักษิณ จากการเริ่มต้นด้วยการเป็นขบวนการที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความคิดทางการเมืองที่หลากหลายในช่วงต้น แต่เหตุใดต่อมาจึงพัฒนาไปสู่ขบวนการที่มีแนวทางเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้น และเหตุใดท้ายที่สุดพลังทางความคิดอื่น ๆ จึงยอมประนีประนอมกับพลังและแนวทางอนุรักษ์นิยม หรือไม่ก็ยอมถอยออกจากขบวนการ ฯ ไปในที่สุด
ที่ผ่านมางานส่วนใหญ่ตอบคำถามเดียวกันนี้ผ่าน กรอบการวิเคราะห์ 3 แบบ หนึ่ง การเคลื่อนไปสู่แนวทางอนุรักษ์นิยมและต่อต้านประชาธิปไตยนั้น เป็นผลสำเร็จของชนชั้นนำฝ่ายกษัตริย์และอนุรักษ์นิยมในการวางรากฐานสังคมไทยให้เป็นสังคมอนุรักษ์นิยมอยู่แล้วสอง งานจำนวนมากเน้นที่บทบาทของแกนนำการเคลื่อนไหว ที่นำพาการเคลื่อนไปสู่ทิศทางอนุรักษ์นิยมและลดทอนความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งสาม การหันไปหาแนวทางอนุรักษ์นิยมของขบวนการต่อต้านทักษิณ เป็นผลมาจากการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ที่แตกต่างกันระหว่างชนชั้นกลาง กับชนชั้นล่างผู้สนับสนุนทักษิณและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อเหลือง (ที่มา: Wikimedia Commons)
แต่ยังไงก็ดี งานก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่ เน้นศึกษาผ่านข้อมูลจากกลุ่มแกนนำ และความขัดแย้งในกลุ่มแกนนำและบทบาทของชนชั้นนำปีกอนุรักษ์นิยมเป็นหลัก ดังนั้นงานชิ้นนี้จึงพยายามทำความเข้าใจขบวนการต่อต้านทักษิณผ่านการเก็บข้อมูลจากแกนนำและมวลชนผู้สนับสนุนขบวนการ ฯ ในต่างจังหวัด มากกว่าการเน้นที่แกนนำหรือชนชั้นนำที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวในกรุงเทพ
จากการศึกษาผ่านข้อมูลงานชิ้นนี้พบว่า ในช่วงเริ่มต้นขบวนการฯ ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านยุทธศาสตร์เชิงอุดมการณ์ (ideological strategy) อันมี 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มอนุรักษ์นิยมเหนียวแน่น (unswerving conservatives) กลุ่มเสรีนิยมผู้ยอมประนีประนอม (compromised liberal) และกลุ่มเสรีนิยมผู้ถูกทำให้เป็นชายขอบ (marginalised liberals) แต่ในช่วงเวลาต่อมาพลังอนุรักษ์นิยมเหนียวแน่นประสบชัยชนะในการต่อสู้ภายในขบวนการฯ จนกลายเป็นกลุ่มที่มีพลังเหนือกลุ่มอื่นและมีอำนาจครอบงำทั้งในเชิงอุดมการณ์และการตัดสินใจในองค์กร หนังสือเล่มนี้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าเป็นผลมาจาก หนึ่ง การเติบใหญ่ของพลังอนุรักษ์นิยมเกิดจากความสำเร็จในการระดมปัจเจกชนอนุรักษ์นิยมที่เคยกระจัดกระจายและยังไม่เคยได้รับการจัดตั้งมาก่อน เพื่อมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบมวลชน (mass politics) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มชาตินิยมสุดขั้ว กลุ่มกษัตริย์นิยม กลุ่มศาสนา และชนชั้นกลางหน้าใหม่ จนกระทั่งกลายเป็นมวลชนกลุ่มหลักผู้ให้การสนับสนุนขบวนการต่อต้านทักษิณในเวลาต่อมา กลุ่มพลังเหล่านี้ที่เคยกระจัดกระจายไร้การจัดตั้งได้รวมตัวกัน จนกลายเป็นกลุ่มก้อนและสามารถเข้ายึดกุมการนำของขบวนการ ฯ ได้ในที่สุด สอง พลังเสรีนิยมบางกลุ่มยอมประนีประนอมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมเพื่อแลกเปลี่ยนกับทรัพยากร อำนาจ และการสร้างพันธมิตร เพื่อให้สามารถคงบทบาทอยู่ในขบวนการฯ ได้ต่อไป นอกจากนั้นบางส่วนยังเชื่อตามกรอบโครงความคิดหลักของขบวนการฯ ที่ว่า “ภัยคุกคาม-วิกฤตครั้งใหญ่-ต้องทำอะไรเดี๋ยวนี้ (Threat-Mega Crisis-Action Now)” กล่าวคือ ทุกฝ่ายกำลังเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกัน ซึ่งคือทักษิณที่พยายามผูกขาดอำนาจทางการเมือง และกำลังสร้างวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับสังคมไทย ทุกฝ่ายจึงต้องเข้าร่วมขบวนการต่อต้านทักษิณ เนื่องจากเป็นวิธีการเดียวที่จะขจัดทักษิณได้ สาม กลุ่มเสรีนิยมที่เคยมีบทบาทนำขบวนการฯ ตั้งแต่ต้นและพยายามต่อสู้คัดค้านพลังอนุรักษ์นิยม เป็นกลุ่มที่อ่อนแอ ทั้งในเชิงจำนวนและอำนาจการต่อรองทางการเมือง ดังนั้นในแต่ละช่วงของความขัดแย้งภายในขบวนการฯ จึงค่อยๆ พ่ายแพ้ให้กับพลังอนุรักษ์นิยม จนท้ายที่สุดกลุ่มเสรีนิยมเหล่านี้ก็ถูกเบียดขับออกจากขบวนการฯ และถูกแทนที่ด้วยพลังอนุรักษ์นิยม
Q4 : ในการเก็บข้อมูลมวลชนในระดับท้องถิ่น เห็นว่าไปคุยกับสมาชิกขบวนการต่อต้านทักษิณเป็น 100 คนเลยหรือครับ ไม่ทราบว่ามีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล
A : ในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของพัฒนาการของขบวนการ งานชิ้นนี้พยายามพัฒนาการวิเคราะห์ผ่านข้อมูลและกรอบวิเคราะห์ที่แตกต่างจากงานอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-dept interview) และประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า (oral history) ของผู้นำและผู้สนับสนุนขบวนการต่อต้านทักษิณจำนวน 100 คน ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด โดยพยายามครอบคลุมกลุ่มผู้สนับสนุนที่หลากหลายในหลากหลายมิติ ทั้งในแง่ความหลากหลายด้านภูมิหลังทางสังคมเศรษฐกิจ (socio-economic background) ด้านบทบาทหน้าที่และระดับการมีส่วนร่วมในขบวนการ ฯ (political function and degree of political engagement) ด้านชุดความสัมพันธ์กับขบวนการฯ ในช่วงเวลาต่างๆ (the pattern of relationship with the movement in different political trajectories) และด้านลักษณะทางภูมิศาสตร์การเมือง (geo-political condition)
___________________________________________________________________________________________________________________
จากมือตบถึงนกหวีด
โดย กนกรัตน์ เลิศชูสกุล