On Truth ว่าด้วยความจริง
(บรรณาธิการ: คงกฤช ไตรยวงค์) กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2562.
หนังสือเล่มนี้สะท้อนเรื่องราวจากนักปรัชญาภาคพื้นทวีปคนสำคัญ ๆ หลายคน ผูกโยงด้วยแกนเรื่องเดียวกันคือแกนเรื่องเกี่ยวกับ “ความจริง” หรือในภาษาอังกฤษก็คือคำว่า Truth แต่ละเรื่องราวของนักปรัชญาเหล่านั้น ก็ถ่ายทอดโดยนักวิชาการไทยที่ช่ำชองและคร่ำหวอดในวงการการศึกษาปรัชญาภาคพื้นทวีป ผูกโยงเข้าหากันตลอดทั้งเล่มโดยมีอาจารย์คงกฤช ไตรยวงค์ เป็นบรรณาธิการ
ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอกล่าวถึงแกนเรื่องเกี่ยวกับความจริงในหนังสือเล่มนี้ หากผู้อ่านนึกไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องของความจริงตามนัย “ความจริงของประพจน์” ดังที่ปรากฏในวิชาตรรกศาสตร์ที่ผู้อ่านคุ้นเคย ดังเช่นประพจน์ “โลกกลม” เป็นจริง ส่วนประพจน์ “โลกไม่กลม” เป็นเท็จนั้น ผู้อ่านคงต้องทำความเข้าใจใหม่เสียก่อนว่านัยของความจริงในแง่มุมนี้ไม่ได้ปรากฏเป็นหลักใหญ่ใจความในฐานะแกนเรื่องแต่อย่างใด เหตุผลส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นดังเช่นที่ดลวัฒน์ บัวประดิษฐ์ อธิบายเอาไว้แล้วในหนังสือเล่มนี้ว่าไฮเดกเกอร์ก็รู้ตระหนักดีถึงการมโนทัศน์ของการเข้าใจความจริงของประพจน์ว่าทรงอิทธิพล ทว่าใช่ล่ะหรือที่จะเหมาเอาว่าความจริงของประพจน์คือฐานคิดเพียงประการเดียวที่ถูกต้องกับการทำความเข้าใจความจริง ซึ่งแน่นอนว่าไฮเดกเกอร์เป็นผู้หนึ่งที่จะบอกว่าไม่ใช่ (หน้า 202-204) ความสัมพันธ์ระหว่างประพจน์ในตรรกศาสตร์และความจริงในฐานะการไม่ปกปิดนั้น ดลวัฒน์ชี้ว่าไฮเดกเกอร์เองตีความต่อจากแนวคิดของอริสโตเติล และมองว่าสัมพันธ์กับศาสตร์แห่งการตีความเพื่อการทำความเข้าใจหรือก็คือ Hermeneutics มากกว่าจะเป็นไปแต่ในแง่มุมดังที่ตรรกศาสตร์จะชักชวนให้เราเชื่อมาตลอด (หน้า 205-207)
เมื่อทำความเข้าใจเสียก่อนว่าแกนหลักของหนังสือว่าด้วยความจริงนี้กำลังเป็นไปในทิศทางใด ผู้อ่านก็จะเริ่มเปิดใจที่จะพบกับมุมมองที่นักวิชาการได้นำเสนอในเล่มนี้ แม้อาจเป็นได้ว่าในทางปรัชญาจะมองว่าเป็นเพียงการสวมอีกแว่นหนึ่งจากฟากของปรัชญาภาคพื้นทวีปเอาเข้ามามองความจริง แทนที่จะใช้แว่นแห่งปรัชญาวิเคราะห์และตรรกศาสตร์ก่อนหน้านี้ก็ตาม ผู้อ่านก็จะพบได้ว่าแว่นที่สวมใหม่นี้ช่วยให้เกิดการมองเห็นที่เป็นไปได้หลากหลายเรื่อง และหลากหลายแง่มุมได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความจริงเกี่ยวกับโลก การเมือง สังคม การดำรงอยู่ของมนุษย์ ศิลปะ หรือแม้แต่การเขียนสมุดบันทึก
ภววิทยาของโลก การเมือง ความจริง เหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ได้นำเสนอมุมมองของบาดิยูไว้ได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่ปรัชญาวิเคราะห์มักจะชวนให้เราเชื่อว่าทฤษฎีทางภววิทยาที่ดีคือทฤษฎีที่เข้าถึงเนื้อแท้ของการดำรงอยู่ซึ่งมักจะเชื่อไปเฉย ๆ ว่าเนื้อแท้นั้นมีหนึ่งเดียวไม่ได้มีหลากหลาย ทว่าการอธิบายใหม่ของบาดิยูกลับชี้ว่าความหลากหลายที่เป็นอนันต์ต่างหากที่ภววิทยาควรจะกล่าวถึง (หน้า 25) ทั้งนี้บาดิยูมองว่าทรรศนะการมองโลกของทุนนิยมทำให้สิ่งต่าง ๆ รวมแม้กระทั่งมนุษย์ถูกตีค่าเป็นแบบเดียวกันคือในเชิงปริมาณ ผู้ที่ไม่เข้าถึงทุนจึงกลายเป็นเสมือนหนึ่งว่าถูกกันออกและถูกลืม แต่หากเรายอมรับว่าโลกคือที่ที่เหมาะกับการดำรงอยู่ที่หลากหลายเสียแต่ต้น ก็ย่อมไม่มีใครเลยที่ถูกกัดกันออกจากอะไรที่เราอุปโลกน์ขึ้นมาราวกับว่ามันเป็นความจริงหนึ่งเดียวนั้น (หน้า 21-24) นอกจากนี้ หากเรามองในมโนทัศน์เดิมเช่นที่ว่าความจริงเป็นไปโดยไม่ขึ้นกับที่ว่าจะมีมนุษย์อยู่เพื่อตัดสินหรือไม่ มโนทัศน์ใหม่ที่บาดิยูเสนอก็ชี้ได้ว่าเขาจะมองว่าความจริงไม่ใช่ว่าจะอยู่โดยแยกโดดออกจากการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้ ตัวมันเสียอีกที่กลับจะถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยการเมือง (หน้า 42) บาดิยูได้รับการกล่าวถึงในอีกบทหนึ่งของหนังสือคือบทที่เขียนโดย ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย โดยในบทนี้ได้รับการวิเคราะห์ร่วมไปกับชิเชคและเฮเกล แม้รายละเอียดระหว่างบทนี้ของชญาน์ทัตจะแตกต่างกับบทของเก่งกิจ แต่ในภาพรวมก็เป็นไปตามแกนหลักของหนังสือเหมือนกันซึ่งก็คือการแสดงให้เห็นว่านักปรัชญาภาคพื้นทวีปเหล่านี้มองว่าความคิดเกี่ยวกับความจริงนั้นขึ้นกับอะไรบางอย่างข้างนอกตัวมัน ในปรัชญาของเฮเกลเองก็จะมองว่าขึ้นกับจิตสำนึกของมนุษย์ แต่น่าสังเกตว่านักปรัชญาภาคพื้นทวีปอีกคนหนึ่งคือเดอเลิซปฏิเสธที่จะพูดโดยเกี่ยวโยงกับจิตสำนึกมนุษย์ แต่กลับลื่นไหลไปกับสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการของ “ภาวะการกลายเป็น” ซึ่งก็ทำให้ชี้ได้อีกเช่นกันว่าความจริงไม่ใช่ภาวะที่มีลักษณะคงที่ (หน้า 66-79) อย่างไรก็ดี ในอีกบทหนึ่งที่เขียนโดยวัชรพล พุทธรักษา ซึ่งเขียนถึงสมุดบันทึกของกรัมชี่นั้น ก็ชี้ว่ากรัมชี่พัฒนาแนวคิดแบบมาร์กซ์และยอมรับว่าสังคมเป็นไปโดยอิงอาศัยทั้งวิธีคิดและวัตถุไปพร้อมกันมากกว่าจะแยกโดดออกจากกันได้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจึงต้องอิงอาศัยมวลชน (หน้า 267-270) จุดนี้ก็ยังสะท้อนในทางเดียวกันอยู่ที่ว่าความจริงไม่ใช่สิ่งที่มีภาวะดำรงอยู่และแยกต่างหากได้ในตัวมันเอง
คำถามในทางการเมืองอีกประการหนึ่งในหนังสือเล่มนี้คือ หากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมกำลังไม่รับรู้ความจริงที่สำคัญบางประการ ทว่านักปรัชญารู้ตระหนักถึงความจริงเรื่องนั้นเป็นอย่างดีแต่ก็รู้ว่าพูดไปอาจมีผลกระทบกับตนเอง นักปรัชญาควรจะทำอย่างไร อรรถสิทธิ์ สิทธิดำรง กล่าวถึงปัญหานี้โดยมีที่มาจากนิทานเรื่องถ้ำของเพลโตและให้ข้อวิเคราะห์จากแนวคิดของฟูโกต์ว่าการพูดความจริงนั้นแม้ว่าจะรู้ตระหนักเป็นอย่างดีถึงผลกระทบที่จะตามมาเสียอีกที่จะเป็นคำตอบว่านักปรัชญาผู้นั้นกำลังมีเสรีภาพที่แท้จริง ทั้งนี้เพราะการพูดความจริงนั้นหากมองตามนัยที่ฟูโกต์ปรับใช้จากไฮเดกเกอร์แล้วจะหมายถึงว่าหน้าที่ของความจริงคือการเปิดเผย ผู้พูดความจริงจึงกำลังรู้ตระหนักเป็นอย่างดีถึงการดำรงอยู่ของตนในขณะที่พูดความจริงนั้น (หน้า 116) แนวการวิเคราะห์หน้าที่ของความจริงในฐานะการไม่ปกปิดเช่นนี้ คงกฤช ไตรยวงศ์ กล่าวถึงอีกครั้งหนึ่งในบทที่ว่าด้วยกาดาเมอร์ตอนที่พิจารณาความจริงในงานศิลปะว่าไม่ได้เป็นเหมือนกับความจริงที่เรารู้จักตอนที่ตัดสินข้อความว่าเป็นจริง การตัดสินเช่นนั้นเป็นแบบวิธีคิดของวิทยาศาสตร์ที่เข้าไปครอบงำความจริง แต่ศิลปะไม่ได้ทำงานของมันอย่างนั้น (หน้า 184-185)
แนวคิดของนักปรัชญาภาคพื้นทวีปที่มีต่อความจริงนั้น ในความเห็นของข้าพเจ้านักปรัชญาคนหนึ่งที่เห็นว่าจะขาดเสียมิได้ก็คือนีทเชอ ซึ่งน่าจะได้เห็นเป็นอีกสักบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งที่อรรถสิทธิ์เขียนถึงเจตจำนงแห่งอำนาจของนีทเชอในฐานะอิทธิพลต่อฟูโกต์ในการมีข้อพิจารณาความจริง (หน้า 110-111) ก็ทำให้เบาใจได้พอสมควรที่ว่าผู้อ่านก็จะยังได้ทราบถึงทรรศนะทางปรัชญาที่เป็นแกนหลักของหนังสือในการมองความจริงว่าได้รับอิทธิพลจากนีทเชอ หากกล่าวในภาพรวมแล้ว ข้าพเจ้ามองว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นภาพรวมได้อย่างเหมาะสมเกี่ยวกับกระแสของปรัชญาภาคพื้นทวีปที่กำลังทรงอิทธิพลในโลกปรัชญา นักวิชาการมีความสามารถอย่างยิ่งที่ช่วยหยิบยกแนวความคิดมาช่วยย่อยให้เป็นภาษาไทยที่เข้าใจได้ไม่ยากจนเกินไปนักซึ่งก็เป็นการดีต่อผู้อ่านในระดับเริ่มต้นที่สนใจวิชาการด้านปรัชญาการเมืองและสังคมศาสตร์ นอกเหนือไปจากส่วนดีที่หนังสือเล่มนี้ต้องการให้เกิดขึ้นดังที่กล่าวไว้ในช่วงต้นของหนังสือ คือการที่เราควรจะต้องเร่งทำความเข้าใจเรื่องความจริงและปรากฏการณ์หลังความจริง (post-truth) ซึ่งเป็นข้ออภิปรายที่กำลังเข้ามาประชิดโลกวิชาการอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วในปัจจุบันนี้