พูดคุยกับ รศ.สรวิศ ชัยนาม อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของผลงานหนังสือ ทำไมต้องตกหลุมรัก: Alain Badiou ความรัก และ The Lobster เมื่อผู้เขียนใช้แนวคิดของ Alain Badiou นักปรัชญาฝรั่งเศสที่พูดถึงความรักแล้วยกตัวอย่างหนัง The Lobster (2015) ของ Yorgos Lanthimos เพื่อรื้อฟื้นความหมายของการตกหลุมรัก ในรายการ คิดระหว่างบรรทัด FM 96.5 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562 สัมภาษณ์โดย อริสรา ประดิษฐสุวรรณ และวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
อริสรา : ต้อนรับผู้ฟังเข้าสู่ “คิดระหว่างบรรทัด” ค่ะ วันนี้วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562 ดิฉันอริสรา ประดิษฐสุวรรณค่ะ
วิไลรัตน์ : และดิฉันวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
อริสรา : เพลงเมื่อสักครู่ชื่อว่าเพลงรักคุณเข้าอีกแล้ว เป็นเสียงร้องของคุณ ป๊อด โมเดิร์นด็อกค่ะ
วิไลรัตน์ : อันนี้เป็นเพลงอมตะ
อริสรา : ใช่ค่ะๆ และเพลงนี้เป็นเพลงที่พูดถึงเรื่องความรัก
วิไลรัตน์ : เหตุผลที่คุณอริสราเลือกเพลงนี้มาเนื่องจากมันสัมพันธ์กับสิ่งที่เราจะคุยกันต่อไปนี้
อริสรา : เป็นเรื่องราวของความรักและก็เป็นเรื่องราวของการตกหลุมรัก
วิไลรัตน์ : ใช่ค่ะ เพราะว่าล่าสุดมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่พวกเราไปซื้อมาอ่านกัน แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าจะ ถามคนเขียนเพื่อทำความเข้าใจในบางที
อริสรา : ถามว่าทำไมเราต้องตกหลุมรักอย่างนี้หรอ?
วิไลรัตน์ : เออ นั้นหน่ะซิ อยากรู้ นี่คือชื่อหนังสือเลยนะ
อริสรา : ทำไมต้องตกหลุมรัก ผู้เขียนก็คือรองศาสตราจารย์สรวิศ ชัยนาม อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้ท่านอยู่ในสายแล้ว เราไปพูดคุยกันดีกว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สวัสดีค่ะอาจารย์
รองศาสตราจารย์สรวิศ ชัยนาม
สรวิศ : สวัสดีครับท่านผู้ดำเนินรายการทั้งสองท่านครับ
อริสรา : ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ที่ให้เกียรติในรายการคิดระหว่างบรรทัดนะคะ
วิไลรัตน์ : อาจารย์ไปเลือกตั้งล่วงหน้ารึยังคะ?
สรวิศ : ยังเลยครับ
วิไลรัตน์ : วันนี้เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้านะคะ
อริสรา : ใช่ค่ะ หลายคนที่ลงทะเบียนไว้ก็รีบๆ เดินทางไปนะคะ ตอนนี้เห็นว่าคนเยอะอยู่
วิไลรัตน์ : เอาหล่ะ คืออาจารย์เป็นอาจารย์สอนทางด้านรัฐศาสตร์ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ออกแนวปรัชญาเลยแหละ หลายคนตอนแรกที่หยิบหนังสือเล่มนี้มา ทำไมต้องตกหลุมรัก เขาก็คงคาดหวังตามประสาคนอ่านว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือที่ว่าด้วยความรักเชิงความรู้สึกที่สวยงามอ่อนหวาน
อริสรา : เรื่องของจิตวิทยาอะไรแบบนี้
วิไลรัตน์ : แต่ปรากฏว่าเมื่อเราอ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว เรารู้สึกว่ามันไปไกลกว่านั้น เราขอนิยามส่วนตัวเลยละกันว่าหนังสือเล่มนี้มันไม่ใช่หนังสือ How to love แต่มันว่าด้วยเรื่องอะไรให้อาจารย์อธิบายดีกว่า
หนังสือ In Praise of Love ของ Alain Badiou
สรวิศ : โอเคครับ แน่นอนเลยว่าหนังสือเล่มนี้มันไม่ใช่คู่มือที่คนอ่านจะเข้าใจความรักมากขึ้นหรือมันไม่ใช่คู่มือที่ให้คนอ่านนำไปแก้ไขความผิดพลาดในความรักของตนเอง ส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือกึ่งปรัชญาและพยายามท้าทายมโนทัศน์ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีเกี่ยวกับความรักโดยอาศัยปรัชญาเรื่องความรักของ นักปรัชญาฝรั่งเศสที่ชื่อ Alain Badiou อย่างเช่นมันก็พยายามท้าทายเรื่องความรักที่คนส่วนใหญ่มองว่าความรักเป็นเรื่องที่สองรวมเป็นหนึ่ง
วิไลรัตน์ : ใช่ค่ะ สองคนรวมเป็นหนึ่งเดียว
สรวิศ : ใช่ ที่เปรียบเสมือนเป็นหยินหยางที่เข้ากันด้วยดี เปรียบเสมือนกับจิ๊กซอว์สองชิ้นที่สร้างมาเพื่อกันและกันประมาณนี้ หนังสือเล่มนี้ก็พยายามจะบอกว่ามันไม่ใช่ในลักษณะนั้น ความรักมันเป็นเรื่องของคน สองคนที่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่สามารถเข้ากันได้ แต่ในขณะเดียวกันความมหัศจรรย์ก็คือคนสองคนนี้ สามารถสร้างพื้นที่ สามารถสร้างโลกที่ทั้งสองคนสามารถปรากฏร่วมกันอย่างเสมอภาคที่เรียกว่าความรักได้
วิไลรัตน์ : อันนี้คือหลักโดยรวมเลยนะคะ อย่างที่อาจารย์บอกก็คือเรื่องนี้มันท้าทายความคิดหรือมโน ทัศน์หรือเอาง่ายๆ เลยก็คือคอนเซปที่เรามองความรักนั้นแหละ แต่ทีนี้มันมีประเด็นหนึ่งที่เมื่อกี้เราคุยกัน หลังไมค์ก็ถกเถียงกันว่าความรักมันต้องมาพร้อมความเสี่ยง ถ้าเราไม่เสี่ยงมันจะเรียกว่าอะไร อยากให้ อาจารย์อธิบายนิดหนึ่งเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์นี้ค่ะ
สรวิศ : อีกส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่องที่มันไปท้าทายความรักรูปแบบหนึ่งที่ปรากฏแพร่หลายคือความรักที่ ปราศจากความเสี่ยง ความรักปลอดภัยสำหรับตัวเอง ความรักที่ได้มาแล้วก็จะเกื้อกูลดีกับตัวเองแล้วทุก อย่างมันก็จะราบรื้น อันนี้ความรักก็เหมือนกับสายบริษัทจัดหาคู่เหมือนกับสายแอพพริเคชั่นทั้งหลายที่ ขายความรักที่ค่อนปราศจากความเสี่ยงหรือที่ผมมักจะพูดว่าเป็นความรักที่ปราศจากน้ำตาล คือมันดีต่อ สุขภาพ หรือปราศจากไขมัน อารมณ์ประมาณนี้คือไม่มีความเสี่ยงเลย แต่สิ่งนี้ ไม่ใช่ผมอ่ะ ผมขโมยคำของแมกกาแว้นซึ่งเป็นนักทฤษฏีและนักปรัชญาท่านหนึ่ง แมกกาแว้นบอกว่าความรักในลักษณะนี้มันเป็นโรแมนซ์มากกว่าความรัก โรแมนซ์ก็คือความรักที่ปราศจากความเสี่ยง โรแมนซ์ก็คือสินค้าประเภทหนึ่งที่ทุนนิยม ขายที่เรารู้สึกว่าเมื่อได้มาแล้วเราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ แบบขึ้นมาเหมือนเป็นสิ่งที่มาช่วยเติมเต็มชีวิตของเราครับ ก็เลยสรุปว่าความรักมันต้องเสี่ยงเพราะเราไม่รู้เลยว่าทำไมต้องตกหลุมรักใช่ไหม
วิไลรัตน์ : มันต้องเสี่ยง เพราะเราต้องไป
สรวิศ : มันเป็นกระบวนการที่ไร้เหตุผล และมันไม่ต้องอาศัยเหตุผลเสียมากกว่า เราไม่เข้าใจว่าทำไมเรา จึงต้องตกหลุมรักใครคนหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าความรักครั้งนี้มันจะพัฒนาไปอย่างไร และมันจะมีความสุข มัน จะล้มเหลว และมันจะสิ้นสุดไปเมื่อไหร่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เหนือการคาดเดาทั้งสิ้น มันก็เลยสร้างความกังวลกับ เรา มันก็เลยเป็นความเสี่ยงบางอย่าง แต่เราก็ต้องเสี่ยง เพราะอย่างที่เขียนไว้ก็คือถ้าไม่ยอมตกลงไปใน หลุดของความรักเราก็จะไม่ได้ความรักใช่ไหม
วิไลรัตน์ : คือพูดง่ายๆ คือเราต้องตกหลุมรักเข้าไปก่อน เผลอๆ อาจจะเป็นการเรียนรู้ตนเอง ทัศนะคติ ตนเองที่มีต่อความรัก
สรวิศ : หลายๆ ครั้ง เราต้องรักใครคนหนึ่งก่อนด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเห็นข้อดีของเขา หรือพูดง่ายๆ คือเมื่อ เราตกหลุมรักเข้าไปแล้ว คนๆ เลยดูน่ารักสำหรับเรา
วิไลรัตน์ : แต่ถ้าเกิดเราไม่เสี่ยง สมมติว่าเราใช่แอพพริเคชั่นหาคู่ เราอาจจะใช่ทุกอย่างเลยเพื่อที่จะเช็ค อาจารย์ลืมเขียนไปเรื่องหนึ่งคือดูหมอ มันจะมีนะ ดูก่อนว่าใช่ไหม เสี่ยงไหม เพราะทุกคนไม่อยากผิดหวัง อธิบายกันนิดหนึ่งว่าถ้าเราไม่เสี่ยงแล้วทำไม
หนังสือ ทำไมต้องตกหลุมรัก Alain Badiou ความรัก และ The Lobster ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2
สรวิศ : อ๋อ โอเค สำหรับผม ความเสี่ยงมันเป็นสิ่งที่จะช่วยพิสูจน์ว่าคุณให้คุณค่ากับคนรักคุณอย่างไร พูด ง่ายๆ ว่าความรักคุณมีค่าอย่างที่ประเมินค่ามิได้ มีค่าสูงมาก คุณเลยพร้อมที่จะเสี่ยง คุณก็ไม่คิดเลยว่าคุณจะได้อะไรกลับคืนมาด้วยซ้ำ เพราะคุณจะไม่ได้คิดแบบธุรกิจว่าราคาเท่าไหร่ ต้นทุนเท่าไหร่ ฉันเสี่ยงเท่านี้จะได้กลับคืนมาเท่าไหร แต่คุณก็จะชอบคนๆ นี้ เพราะคนๆ นี้มีหนึ่งเดียวไม่สามารถทดแทนได้ และคนนี้ก็มีคุณค่าต่อคุณจนไม่สามารถประเมินค่าได้ คุณก็เลยพร้อมที่จะเสี่ยง คล้ายๆ กับการเทหน้าตักโดยแทบจะไม่สนใจเลยว่าจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ในส่วนนี้มันก็เป็นเครื่องชี้วัดเครื่องพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าคุณให้คุณค่ากับคนๆ หนึ่งแค่ไหน ตรงกันข้าม ถ้ามาในแบบปลอดภัย คือคุณต้องการความรักที่ดีสำหรับคุณที่ไม่เสี่ยง ซึ่งนั้นหมายความว่า เมื่อใดที่คุณรักเขาเนี่ย แต่ต่างไปจากสิ่งที่คุณคาดหวัง ผิดแปลกไปจากสิ่งที่คุณคาดหวัง ทำให้คุณเสียใจ เหมือนทะเลาะครั้งแรกก็เลิกกันแล้ว เพราะว่าเมื่อคุณมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนสินค้าที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตคุณที่จะมาทำให้ชีวิตคุณราบรื่นขึ้นเนี่ย เมื่อมันไม่สามารถทำได้เช่นนั้นคุณก็จะพยายามหาสินค้าตัวใหม่ พยายามหาคนๆ ใหม่มาเติมเต็มชีวิตคุณ ประเด็นของผมคือมันไม่มีสินค้าที่มาเติมเต็มชีวิตคุณได้ สินค้าทุกตัวมันทำให้คุณผิดหวัง และไม่มีใครที่สามารถมาเติมเต็มชีวิตคุณได้ คุณก็ต้องยอมรับข้อนี้ให้ได้เหมือนกัน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเติมเต็มชีวิตคุณได้ แต่เขาก็สามารถเป็นคนสำคัญในชีวิตคุณได้เช่นเดียวกัน
วิไลรัตน์ : ก็คือหนังสือเล่มนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของความรักที่ไม่ได้เพอร์เฟค ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และก็อย่าไปหาเลยความสมบูรณ์แบบ เพราะมันเป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องเจอ เหมือนที่อาจารย์เขียนว่า อย่างไรก็ต้องเจอความผิดหวัง
สรวิศ : เราชอบพูดกันว่าความรักเป็นเรื่องสวยงาม ใช่อันนี้ก็จริง แต่นอกเหนือจากนี้ก็มีอะไรอีกมากมาย ที่เป็นองค์ประกอบของความรักนะ ก็คือความรักทำให้เรากังวล ทำให้เราเสียใจ ความรักทำให้เราทนทุกข์ ความรักทำให้เรานอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญสำหรับความรัก ความรักทำให้เราเจ็บปวดเพราะอะไร ก็เพราะว่าแน่นอนเลย คนๆ นี้สำคัญที่สุดสำหรับเรา คนที่เรารักคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เขาก็ย่อมทำให้เราเจ็บปวดได้อย่างที่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ถ้าต้องการความรักที่ปราศจากความทุกข์ ปราศจากความกังวล หรือที่ปราศจากความทรมานทั้งสิ้น คุณจะไม่ได้ความรักสมบูรณ์และคุณจะสูญเสียความรักไป ทั้งหมด
วิไลรัตน์ : กลายเป็นตรงกันข้าม
สรวิศ : ใช่ๆ ยิ่งพยายามสร้างความรักที่สมบูรณ์เท่าไหร่ มันยิ่งกลายเป็นว่าคุณยิ่งสูญเสียความรักไป
วิไลรัตน์ : เป็นอีกมุมเลย ขอถามย้อนกลับไปตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เขียนจากไอเดียอะไรคะ ทำไมถึงคิดที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้
สรวิศ : จริงๆ มันมาจากวิชาที่ผมสอน ผมสอนวิชาหนึ่งที่คณะ ผมสอนวิชาชื่อว่าการเมืองโลกผ่านสื่อและภาพยนตร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาด้านหนึ่งคืออยากให้นิสิตรัฐศาสตร์มาอ่านงานด้านปรัชญาบ้าง แต่จะ ให้อ่านงานปรัชญาโดยไปเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ แล้วนิสิตก็ดูเหมือนจะชอบก็สนใจในเรื่องความรัก ยิ่งได้ดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความรัก บางคนก็จะชอบ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าให้คนอื่นได้อ่านนอกเหนือจากที่นิสิตอ่าน มันก็อาจเป็นอะไรที่น่าสนใจ
วิไลรัตน์ : แต่กลายเป็นว่าเล่มนี้มันไม่ได้เขียนง่ายๆ คือมันไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายให้คนมองว่าความรักมัน ไม่ใช่อย่างนี้แต่มันเป็นสิ่งนี้ และเราก็พยายามที่จะให้เหตุผลกับมันว่าเออ ที่บอกว่าเขียนยากก็คือมัน อธิบายยาก
สรวิศ : ส่วนหนึ่งก็มาจากการสอน ก็คือถ้าเราไม่สามารถอธิบายให้นิสิตเข้าใจได้ เราก็จะไม่สามารถเขียน อะไรให้คนอื่นเข้าใจง่าย
The Lobster ชื่อไทยคือ "โสด เหงา เป็นล็อบสเตอร์"
วิไลรัตน์ : ทีนี้มันมีประเด็นหนึ่ง ขออนุญาตแทรกนิดนึง แต่ว่ามันก็ไม่ถึงกับเข้าใจยากเกินไป เพราะมันก็มี เรื่องของภาพยนตร์เข้ามา อย่างอาจารย์ยกตัวอย่างภาพยนตร์หลักๆ มาหนึ่งเรื่องก็คือเรื่อง The Lobster ซึ่งถ้าหลายคนเคยดูมันก็จะแบบอะไรคือคนกลายเป็นกุ้งลอบสเตอร์ คือดูแล้วแบบ อันนี้ก็เป็นเรื่องเข้าใจ ยาก แต่อาจารย์ก็หยิบเรื่องนี้เข้ามาเพื่อเปรียบเทียบประเด็นนี้ ซึ่งขอให้ชี้แจงนิดหนึ่ง ทำไมเรื่องนี้ถึง เหมาะกับเล่มนี้
สรวิศ : จริงๆ ใช้เรื่องอื่นก็น่าจะได้เหมือนกัน แต่เผอิญเรื่องนี้ผมคิดว่ามันค่อนข้างตรงไปตรงมาและมันก็ทำ ให้เราเข้าใจปรัชญาความรักของ Badiou ได้ค่อนข้างตรงทีเดียว จริง ๆ แล้วก็คงเป็นความบังเอิญ คือผมดูหลายเรื่องมาก ด้วยความที่ต้องสอนหลายสัปดาห์ ผมจึงต้องพยายามหาภาพยนตร์อยู่หลายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับความรักบ้าง และก็คงเป็นความบังเอิญที่มาเจอเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันก็น่าที่จะนำมาประยุกต์ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ค่อนข้างตรงเหมือนกัน สำหรับผมแล้วมันเป็นเมืองที่แทบจะทำลายความรัก มันเป็น เมืองที่ความรักที่โรแมนซ์ที่ต่างคนต่างเสาะแสวงหาคนรักที่เหมือนเรา คนรักที่เหมือนเรา เพราะเราคิดว่า มันดีสำหรับเรา มันปลอดภัยสำหรับเรา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ตัวเอกจะต้องดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งนี้ ในต้นเรื่องภรรยา ของตัวเอกทิ้งไปเพื่อให้แต่งงานกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่น่าจะสายตาสั้นกว่าเขา แล้วเขาก็ไปติดอยู่ที่ โรงแรม เป้าหมายของเขาก็คือต้องหาคนที่เป็นคู่ชีวิตของเขาให้ได้ เสร็จแล้วก็แน่นอนว่าเขาก็ระหกระเหินเข้า ไปในป่า ซึ่งเป็นป่าของคนโสด แต่ถึงอยู่ในหมู่ของคนโสดเขาก็ไม่ได้ละทิ้งความคิดที่ว่าความรักนั้นก็ต้อง อาศัยความเหมือน สุดท้ายเขาค้นพบว่าผู้หญิงที่อยู่ในป่าคนหนึ่งสายตาสั้นเหมือนเขา ตอนแรกที่เขาไม่รู้ เพราะเธอใส่คอนแทคเลนส์ เขาก็หลงรักเธอ เรื่องมันยาวไปเอาสั้นๆ ทีนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นตาบอดปัญหา มันก็เริ่ม เกิดขึ้นแล้ว หมายความว่า เอาหล่ะ เราจะไปกันรอดไหม เราต่างกันแล้ว ก็เลยกลายเป็นฉากปิด ท้ายว่าสุดท้ายแล้วพระเอกจะเอายังไง จะทำให้ตัวเองตาบอดเพื่อจะได้ไปอยู่กับผู้หญิงคนนี้ที่ตาบอดหรือ เขาจะกล้าพอที่จะยอมรับตัวเธอในสถานะที่แตกต่างกว่าเขาและก็มั่นใจว่าถึงเธอจะแตกต่างจากเขาแต่ความรักระหว่างคนสองคนคือสิ่งที่เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
วิไลรัตน์ : เอาเป็นว่าต้องแนะนำเลย เล่มนี้คือให้อ่านเพื่อ หนึ่งไม่ได้เพื่อความโรแมนติคอะไร แต่อ่านเพื่อ ทำความเข้าใจดีกว่าว่าแบบไหนที่จะทำให้เราทุกข์น้อยที่สุดกับความรัก เล่มนี้มันไม่ได้เป็นคู่มือที่จะทำให้ คุณหลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่เป็นหนังสือที่ทำให้เข้าใจกระบวนการที่เราต้องเจอหรือความทุกข์ต่างๆ ที่เรา ต้องเจอนั้นเป็นเพราะวิธีคิดอะไรของเรา และก็แนะนำเล่มอื่นด้วยเผื่อที่ว่าอ่านงานของอาจารย์เล่มนี้จะ เข้าใจยากไป ไปอ่านเกี่ยวกับหนังเรื่องอื่น เช่น จากการปฏิวัติถึงโลกาภิวัตน์, ดิสโทเปียไม่สิ้นหวัง: ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและการเมืองโลก อันนี้ก็น่าอ่านเหมือนกัน รวมไปถึงเล่มนี้ด้วยนะคะ ถ้าเกิดใครชอบ เรื่องราวของการเมืองหรือปรัชญาบางอย่างที่เราอยากทำความเข้าใจและมันก็ไปเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ หรือเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันได้ อ่านล็อตนี้เลยค่ะ ทั้ง 3 เล่ม สุดท้ายให้อาจารย์ฝากอะไรถึงเล่มนี้หน่อยค่ะ
อริสรา : สำหรับเล่มนี้อยากให้อาจารย์แนะนำคุณผู้ฟังหน่อยค่ะ
วิไลรัตน์ : ใครที่ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำไมต้องตกหลุมรัก
สรวิศ : ใครก็ได้ แต่พูดง่ายๆ ว่า อย่าไปคาดหวังว่าจะเป็นคู่มือที่ทำให้ชีวิตรักของคุณหวานชื่นเท่านั้นเอง
วิไลรัตน์ : อาจจะเป็นคู่มือที่ทำให้คุณเห็นความจริงของความรัก
สรวิศ : บางคนก็อาจจะไม่ชอบ บางคนก็อาจจะบอกว่า เอ๊ มายุ่งอะไรกับความรักของฉัน นี่มันโลกส่วนตัวของฉัน เธอจะมาติติงได้ไงว่าความรักของฉันเป็นแค่โรแมนซ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ผมก็พยายามเขียนให้มันไม่ยากไปและไม่ง่ายไปค่อนข้างที่จะอยู่ตรงกลาง คิดว่าได้ทุกเพศทุกวัยละกันนะครับ
วิไลรัตน์ : สนุกค่ะ เล่มนี้สนุก
อริสรา : ขอขอบคุณอาจารย์มากๆ นะคะ
วิไลรัตน์ : ถ้ามีโอกาสคราหน้าเราอาจจะได้เชิญมาพูดคุยในเล่มอื่นๆ กันต่อไป
วิไลรัตน์/อริสรา : ขอบพระคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
สรวิศ : ขอบคุณมากครับ
อริสรา : ขอขอบคุณรองศาสตราจารย์สรวิช ชัยนาม อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วิไลรัตน์ : ขอฝากไว้อีกเล่มคือ ทำไมต้องตกหลุมรัก ของสำนักพิมพ์ อิลลูมิเนชั่น เอดิชั่นส์ ค่ะ
อริสรา : ใครที่เคยดูหนังเรื่อง The Lobster ก็น่าจะต้องอ่านเล่มนี้แหละ เพราะอาจารย์ยกตัวอย่างไว้ เยอะมาก
วิไลรัตน์ : คือไม่ดูไม่เป็นไรนะ คืออย่างตุ๊กเองก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน แต่ก็เคยคิดเรื่องความรักเหมือนกันว่า หลายคนเขียนไว้ก็หลากหลายแบบ แต่อันนี้จะแปลก
อริสรา : เล่มนี้ก็จะเขียนในอีกแบบหนึ่ง คือเอาปรัชญามาจับ แบบนี้ก็น่าสนใจ เดี๋ยวขอสักพักสักครู่ ช่วง หน้ามาพูดคุยกันต่อค่ะ