
บทรีวิวหนังสือ ‘Vita Activa: “การรื้อฟื้นมนุษย์ภาวะ”
ของฮันนาห์ อาเรนท์’ ของพิศาล มุกดารัศมี
โดย ณฐิญาณ์ งามขำ อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ผลงานของ พิศาล มุกดารัศมี ในชื่อ Vita Activa : “การรื้อฟื้นมนุษย์ภาวะ” ของฮันนาห์ อาเรนท์ ถูกตีพิมพ์ขึ้นมาอย่างถูก “กาละเทศะ” กล่าวคือมันถูกตีพิมพ์ขึ้นมาในช่วงเวลาและโอกาสที่เหมาะสมทั้งในแง่ของความร่วมสมัยกับแวดวงวิชาการของโลกตะวันตกและความทันสมัยต่อสภาพการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน การกลับมาผงาดของฝ่ายขวาและลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง ความเสื่อมถอยของความนิยมในระบอบประชาธิปไตยและความเฉยชาของผู้คนที่มีต่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความพร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงในการจัดการกับปัญหาทางการเมืองและผู้ที่ไม่ใช่ “พวกเรา” ต่างก็เป็นเหตุผลที่ทำให้การกลับมาอ่านอาเรนท์อีกครั้งในโลกยุคปัจจุบันไม่เพียงแต่ไม่ล้าสมัยแต่ยังช่วยให้เกิดมุมมองใหม่ๆต่อคำถามและคำตอบที่ท้าทายในศตวรรษนี้ได้เป็นอย่างดี
หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ถูกเขียนขึ้นในกรอบของการนำเสนอที่ชัดเจนว่าจะทำการอธิบายและพิจารณาเพียงส่วนของ vita activa และไม่รวมเอาเนื้อหาสาระในส่วนของ vita contemplativa เข้ามาร่วมอภิปรายด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายที่เจาะจงอยู่ที่การเสนอแนวคิดอันเกี่ยวกับการสร้างและคงรักษาไว้ซึ่งพื้นที่ทางการเมือง เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของอาเรนท์เป็นสำคัญ พิศาลใช้งานเขียนสองเล่มหลักของ อาเรนท์อันได้แก่ The Human Condition และ The Origin of Totalitarianism เป็นฐานของการนำเสนอ แน่นอนว่าสำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษาแนวความคิดของอาเรนท์มาก่อนอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ในภาพรวมของทฤษฎีจากการเลือกเทน้ำหนักไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของทฤษฎีการเมืองของเธอเพียงด้านเดียว
แต่กระนั้นความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ก็เป็นไปในลักษณะของความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เสียมากกว่าความผิดพลาด ในแง่นี้จึงอาจกล่าวได้ว่ามันอาจไม่ได้เป็นความเข้าใจผิดที่สลักสำคัญเท่าไรนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้อ่านจะพึงระลึกว่าหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่ใช่หนังสือประเภท Introduction to Arendt ที่จำต้องทำการอธิบายแนวคิดของเธอไว้อย่างกว้างๆ ง่ายๆ และตรงไปตรงมาแต่เน้นให้ครอบคลุมในทุกมิติและสาระสำคัญของทฤษฎี
หากแต่เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นโดยมีกรอบของความคิดที่มีความเฉพาะและชัดเจนทั้งยังมีการตีความของผู้เขียนรวมอยู่ในการนำเสนอด้วยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำหรับกรณีนี้ข้อดีก็คือ พิศาลไม่เพียงอธิบายแนวความคิดของอาเรนท์แต่เพียงลำพัง แต่ยังอธิบายด้วยสภาพการณ์จริงของสังคมการเมือง สอดแทรกด้วยการอธิบายและเปรียบเทียบกับแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองคนอื่นที่สัมพันธ์และเกี่ยวข้อง ทำให้เห็นภาพกว้างของบริบทและสิ่งที่อาเรนท์ต้องการจะนำเสนอ และกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย

ความโดดเด่นประการหนึ่งของหนังสืออยู่ที่การสรรและสร้างพจน์ได้เหมาะเจาะ พิศาลเลือกใช้คำศัพท์ภาษาไทยในการถอดความมาจากศัพท์เฉพาะของอาเรนท์ได้ดีและน่าสนใจ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเลือกที่จะถอดความหมายของ action ว่า “การแสดงตน” แทนการแปลทื่อๆอย่างตรงไปตรงมาว่า “การกระทำ” อันไม่สามารถจะสื่อความหมายของแนวคิดที่อาเรนท์วางกรอบคิดไว้ได้ชัดเจนเท่า “การแสดงตน” ไม่เพียงแต่จะสามารถชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะของ action ได้อย่างครอบคลุมและตรงเป้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงนัยยะของการเปิดเผยตัวตน (revelation) ของ action ที่อาเรนท์ต้องการจะนำเสนอ แต่ “การแสดงตน”ยังทำให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นร่องรอยที่ซุกซ่อนอยู่ข้างหลังแนวคิดดังกล่าวซึ่งไม่ได้ถูกอธิบายให้แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน “การแสดงตน” ทำให้เรานึกย้อนกลับไปสู่คำกริยาในภาษากรีกโบราณอย่าง φαινω หรือ φαινομαι ซึ่งใช้กันทั่วไปในความหมายของคำว่า to appear, to come to light หรือ to shine ในภาษาอังกฤษ คำกริยาที่มีนัยยะของการผสมผสานกันระหว่างการปรากฏต่อการรับรู้ทางกายและการเปล่งประกายอย่างเจิดจ้าในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนอันมากมายหลากหลายให้โดดเด่นออกมาจนเป็นที่ “มองเห็น” “รับรู้”และ “จดจำ” อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ “เรื่องราว” เล่าขานที่ก้าวข้ามพ้นความตายในที่สุด ในแง่นี้ “การแสดงตน” จึงสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะพอดีกับแนวคิดเรื่องความเป็นวีรบุรุษ/สตรี การเป็นผู้ดู การจดจำและประวัติศาสตร์ที่ถูกนำเสนอไปพร้อมกันในชุดความคิดของอาเรนท์อย่างกลมกลืน
ในแง่นี้หนังสือของพิศาลจึงไม่เพียงแต่ช่วยเปิดมุมมองต่อผู้คนร่วมสมัยให้เห็นและตั้งคำถามต่อสภาพปัญหาในยุคปัจจุบันของตนเองด้วยวิธีการตั้งคำถามและการพยายามแสวงหาคำตอบของผู้เคยปรากฏและผ่านพ้นในห้วงเวลาของยุคสมัยก่อน แต่หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ยังนำเสนอซึ่งการอ่านและการตีความแนวคิดและแบบวิธีการนั้นได้อย่างน่าสนใจและมีคุณูปการไม่น้อยต่อผู้สนใจทฤษฎีการเมืองตะวันตกที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งพิศาลได้นำพาเอานักคิดสตรีคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ ๒๐ ผู้ซึ่งถูกหลงลืมในโลกวิชาการตะวันตกมาเป็นเวลาหลายทศวรรษและไม่เคยปรากฏตนต่อแวดวงวิชาการไทยอย่างจริงจังเลยให้กลับมา “เปิดเผยตัวตน” ของเธอให้เป็นที่รับรู้และเล่าขานกันอีกครั้งผ่านวจนะและตัวอักษร แม้ว่าความตายและความไม่อาจเป็นนิรันดร์จะพรากชีวิตเธอไปเสียจากโลกของการปรากฏเสียเรียบร้อยแล้วในกาลก่อน