ฟูโกต์กับชีวอำนาจใน “เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม : ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย”
โดย อรรถสิทธิ์ สิทธิดำรง
หลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
"โรงพยาบาลคือหัวใจสำคัญในการสร้างชาติ!"
ประโยคข้างบน เป็นสิ่งที่แวบขึ้นมาทันทีที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ หนังสือซึ่งนอกจากเป็นงานประวัติศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่มาพร้อมกับการเผยเงื่อนไขทางสังคมของการแพทย์ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นงานภาษาไทยที่พูดถึงการทำงานของชีวะอำนาจในสังคมไทยได้ดีที่สุด(แม้จะไม่มีการกล่าวอ้างไปถึงแนวคิดเรื่องชีวะอำนาจเลยก็ตาม)
เชื้อโรค ร่างกายและรัฐเวชกรรม: ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย เป็นหนังสือซึ่งเนื้อหาหลักๆ แล้ว กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือกลไกปกครองกับองค์ความรู้ทางการแพทย์และสถาบันผู้เชี่ยวชาญอย่างโรงพยาบาล โดยเริ่มต้นตั้งแต่ยุคที่สยามต้องเผชิญหน้ากับ "ความเป็นสมัยใหม่" จากชาติตะวันตกไล่มาจนถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ทั้งนี้ประเด็นสำคัญของหนังสือจะรวมศูนย์อยู่ที่บทบาทของความรู้และสถาบันทางการแพทย์ในฐานะกลไกสำคัญสำหรับการสร้างจินตกรรมของรัฐสมัยใหม่ผ่านการผนวกรวมพลเมืองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรัฐโดยอาศัยเหตุผลเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกายของพลเมืองเป็นข้ออ้างสำคัญ พร้อมๆกับใช้ช่องทางของการดูแลสุขภาพดังกล่าวกำกับควบคุมชีวิตของพลเมืองตามไปด้วย รัฐเวชกรรมจึงเป็น "จินตกรรมที่เกี่ยวกับการแปลงพื้นที่(ทั้งในปริมณฑลทางสังคมวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ทางกายภาพ) ของรัฐไทยให้กลายเป็นพื้นที่ในเชิงอุดมแบบ"โลกพระศรีอาริย์" ทางด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และระบบการดูแลสุขภาพของพลเมืองในสังคมไทย" ขณะเดียวกันกับที่ช่วยให้ "รัฐไทยสมัยใหม่สามารถให้ความเอื้อเฟื้อและสร้างกลไกของการสอดส่องดูแลควบคุมร่างกายของพลเมืองได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น" (หน้า 234)
ชัดเจนว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลทางความคิดของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) นักประวัติศาสตร์ความคิดคนสำคัญเมื่อปลายศตวรรษก่อน ทั้งในแง่ของแนวคิดพื้นฐานอย่างศิลปะของการปกครอง (Art of Government) และชีวะอำนาจ (Biopower) หรือวิธีการศึกษาหาข้อมูลแบบวงศาวิทยา (Genealogy) จริงอยู่ ด้วยข้อจำกัดของการเข้าถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ อาจทำให้ข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ไม่เหมือนกับงานศึกษาที่ฟูโกต์ใช้วิธีการศึกษาแบบวงศาวิทยาในงานศึกษาของเขาเสียทีเดียว เพราะในขณะที่วงศาวิทยาของฟูโกต์เป็นการศึกษาเพื่อเปิดให้เห็นอารมณ์ของสังคมภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนั้น(1) หนังสือเล่มนี้กลับมุ่งทิศทางไปที่ตัวรัฐและชนชั้นผู้นำของรัฐมากกว่าจนทำให้การฉายภาพของสังคมการเมืองทั้งหมดไม่ชัดเจนเท่า แต่เนื่องจากประเด็นสำคัญของงานชิ้นนี้หาได้วางน้ำหนักอยู่ที่การเปิดให้เห็นอารมณ์ของสังคมมากเท่ากับการสถาปนาเทคนิคของรัฐในการควบคุมพลเมือง ความแตกต่างระหว่างเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้กับงานศึกษาของตัวฟูโกต์เองจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดแต่ประการใด อันที่จริงการที่ผู้เขียนเลือกใช้แนวคิดอย่างศิลปะแห่งการปกครองหรือชีวะอำนาจซึ่งเป็นแนวคิดที่ฟูโกต์ใช้อธิบายพัฒนาการและเทคนิคทางการปกครองของรัฐเป็นหลัก ก็ย่อมบ่งบอกว่าแม้การทำงานของผู้เขียนอาจแตกต่างไปจากทิศทางในการทำงานของฟูโกต์ไปบ้าง แต่ความแตกต่างดังกล่าวก็มาจากประเด็นศึกษามากกว่าทิศทางหรือแนวทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์เองโดยเฉพาะแนวคิดเรื่องชีวะอำนาจ
อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือวิธีการการที่ผู้เขียนใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาย้อนเกล็ดต่อคำอธิบายของฟูโกต์ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า:
“อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของจำนวนประชากรในคริสต์ศตวรรษที่ 18 กับการขยายตัวของการผลิตทางเกษตรกรรม ทำให้ศิลปะแห่งการปกครองได้เปลี่ยนแปลงจากการยึดครอบครัวเป็นแม่แบบมาสู่ความคิดบนฐานของประชากร เนื่องจากการขยายตัวอย่างมากของจำนวนประชากรทำให้ความคิดในเรื่องการปกครองภายใต้กรอบของครอบครัวไม่เพียงพอ ดังนั้นเพื่อที่จะจัดการและควบคุมประชากร รัฐจึงนำเครื่องมืออันใหม่คือสถิติ (statistic หรือ “ศาสตร์แห่งรัฐ/science of the state”) มารับใช้เพื่อที่จะเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของประชากร ส่วนครอบครัวที่เคยถูกใช้เป็นแบบ/หน่วยในการปกครองจึงถูกลดทอนลงเหลือเพียงการเป็นส่วนหนึ่งของประชากร และกลายเป็นเพียงแค่เครื่องมือของรัฐในการเข้าถึงสภาวะของประชากรเนื่องจากการเก็บข้อมูลประชากรต้องทำผ่านครอบครัวเป็นหัก ประชากรจึงกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปกครอง กล่าวคือวิธีการและหนทางต่างๆของรัฐไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนั้น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นไปเพื่อเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ความผาสุก ความมั่งคั่ง สภาพชีวิตที่ดีขึ้นและการมีชีวิตที่ยืนยาวแข็งแรงของประชากรซึ่งจะพัฒนารัฐ/ประเทศได้ต่อไป” (หน้า 6)
จากคำกล่าวข้างต้น แม้ผมจะเห็นด้วย (และคิดว่าเป็นหนึ่งในการให้คำอธิบายต่อประเด็นเรื่องศิลปะของการปกครองในหนังสือภาษาไทยได้ดีที่สุด) แต่ก็มีจุดที่ไม่ควรมองข้ามอย่างสำคัญ โดยเฉพาะการให้คำอธิบายว่าการเติบโตของแนวคิดเรื่องศิลปะแห่งการปกครองในยุโรปศตวรรษที่สิบแปดเป็นผลจากการขยายตัวของประชากรจนรัฐต้องเปลี่ยนแนวทางในการปกครองจากที่ยึดในตัวแบบของครอบครัวมาให้ความสำคัญกับประชากรโดยตรงผ่านกลไกเครื่องมืออย่างสถิติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากคำอธิบายเรื่องศิลปะแห่งการปกครองของฟูโกต์เอง เพราะสำหรับฟูโกต์แล้ว แม้ศตวรรษที่สิบแปดอาจเป็นศตวรรษที่แนวคิดเรื่องศิลปะแห่งการปกครองเติบโต เบ่งบานอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของประชากร จนทำให้รัฐสามารถแทรกแซงและดึงเอาเศรษฐกิจให้กลายมาเป็นพื้นที่ที่อยู่เหนือการควบคุมของครอบครัวในฐานะของสิ่งที่รัฐต้องดูแล จัดการ แต่การเติบโตของศิลปะแห่งการปกครองในยุโรปศตวรรษที่สิบแปดก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐจะต้องละทิ้งความสนใจต่อครอบครัวแล้วหันไปให้ความสำคัญกับการควบคุมประชากรผ่านองค์ความรู้ในทางสถิติอย่างที่ผู้เขียนกล่าวไว้เสียทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงสิ่งที่เกิดขึ้น(ตามคำอธิบายของฟูโกต์) คือการที่รัฐเปลี่ยนหน้าที่ของครอบครัวจากที่เคยเป็นหน่วยในทางเศรษฐกิจที่สัมบูรณ์ไม่มีอะไรแทรกแซงได้ มาเป็นเครื่องมือของรัฐในการปกครองสอดส่องดูแลประชากรผ่านข้ออ้างเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ(ที่ตัวรัฐได้ทำการแทรกแซงและช่วงชิงเอามาเป็นภาระของตนแทนครอบครัวไปแล้ว) ต่างหาก(3)
ข้อสังเกตุของผมตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ผู้เขียนพูดถึงในส่วนของศิลปะแห่งการปกครองจะผิด หากแต่ผมคิดว่าคำอธิบายดังกล่าวของผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคำอธิบายทางทฤษฎีกับบริบททางประวัติศาสตร์ที่รองรับการก่อตัวของทฤษฎีอย่างน่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าตัวฟูโกต์เองก็พัฒนาแนวคิด ทฤษฎีของเขาจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในของเขตพื้นที่ของยุโรปเป็นหลัก ส่วนผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ใช้งานศึกษาทางประวัติศาสตร์ในไทยของตนเป็นฐาน ความต่างระหว่างคำอธิบายในแนวคิดเรื่องศิลปะแห่งการปกครองระหว่างผู้เขียนกับฟูโกต์จึงไม่ใช่เรื่องความผิด/ถูก เท่ากับการชี้ให้เห็นถึงความต่างของบริบททางประวัติศาสตร์ที่นำมาสู่การสร้างคำอธิบายทางทฤษฎีที่แม้จะเป็นเรื่องเดียวกันแต่ก็มีความต่างในส่วนของรายละเอียด ความต่างซึ่งยิ่งทำให้หนังสือนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเสียอีก(4)
โดยสรุป เชื้อโรค ร่างกายและรัฐเวชกรรม: ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย คือผลงานวิชาการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับนักประวัติศาสตร์หรือผู้ที่สนใจพัฒนาการทางการแพทย์ในไทย หากแต่ยังเหมาะกับผู้ที่สนใจแนวคิดของฟูโกต์ ตลอดไปจนถึงต้องการนำวิธีการศึกษาที่ฟูโกต์คิดค้นมาปรับประยุกต์ใช้ในสังคมไทย จริงอยู่ แม้หนังสือเล่มนี้อาจกล่าวถึงฟูโกต์เพียงไม่กี่ครั้งรวมทั้งมิได้ถกเถียงทางทฤษฎีอย่างเข้มข้น แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนังสือที่เหล่าสาวกของฟูโกต์ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
____________________________________________________
เชิงอรรถ
(1) สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Mitchell Dean, Critical and Effective Histories: Foucault’s Method and Historical Sociology(London: Routledge, 1994), pp 28-42
(2) Michel Foucault, Society must be Defend: A Lectures at the College de France 1975-1976, David Macey(Translated)(London: The Penguin Press, 2003), pp 241-244. (3) ดู Foucault, Security, Territory, Popularity: A Lectures at the College de France 1977-1978, Graham Burchell(Translated)(New York: Picador, 2007), pp 103-105
(4) ยกตัวอย่างงานวิชาการที่แม้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์อาจนำมาซึ่งคำอธิบายที่แตกต่างจากฟูโกต์ แต่ก็กลับใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตอกย้ำอิทธิพลทางวิธีวิทยาที่ได้รับจากฟูโกต์อย่างน่าสนใจ อาทิเช่น Ann Laura Stoller, Carnal Knowledge and Imperial Power: Race and the Intimate in Colonial Rule (Berkley: University of California Press, 2002); Edward Said, Orientalism (New York: Random House, 1978) ; Michael Shapiro, For moral Ambiguity: National Culture and the Politics of The Family (Minneapolis: University of Minnesota Press, 2001)
หน้าที่เข้าชม | 199,076 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,347 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |