โดย อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ
ขึ้นชื่อว่า ‘ความลับ’ ยากเหลือเกินที่ใครต่อใครจะไม่ตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น ยิ่งถูกปกปิดเท่าไหร่ก็ยิ่งชวนใคร่ทราบใคร่สัมผัส เพราะเรื่องราวอันซ่อนเร้นมักบ่มเพาะความเคลือบแคลงท่ามกลางมโนนึก ด้วยแรงสงสัยมิใช่หรือชักนำสตรีนามแพนโดรา (Pandora) แห่งปรัมปราฝรั่งให้เผลอเปิดกล่องที่เทพเจ้ากำชับห้ามจนความชั่วร้ายแพร่กระจายเข้าเกาะกุมหัวใจมนุษย์ จันทโครพในนิทานพื้นบ้านไทยก็อดรนทนไม่ไหวต้องเปิดผอบที่พระฤาษีสั่งห้ามนักหนาอย่าเปิดระหว่างทางก่อนถึงบ้านเมือง นางโมราจึงเผยโฉมงามและที่สุดเธอได้ก่อโศกนาฏกรรมแก่ชีวิตจันทโครพ
เฉกเช่นเดียวกันกับหนังสือเล่มหนึ่งของสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในไม่ช้า เพียงยลถ้อยคำบนหน้าปก ประวัติศาสตร์ความลับ ความคิดทางการเมืองจากยุคโบราณถึงสมัยใหม่ พลันเร่งเร้าให้ปรารถนาพลิกอ่านอย่างครามครันทันทีทันใด อะไรหนอ ? คือความลับที่โลดแล่นไปตามเนื้อหาบนหน้ากระดาษ อารมณ์เคลือบแคลงสงสัยของผมคงไม่แปลกแยกจากเจ้าชายจันทโครพและแม่นางแพนโดรากระมัง ทว่าหนังสือหาใช่ ‘กล่อง’ หรือ ‘ผอบ’ ที่อาจถูกตีตราถึงการบรรจุสิ่งเลวร้ายแบบในนิทานปรัมปราหรอก แต่ย่อมจะบันดาลภูมิปัญญาแก่ผู้หาญกล้าเผชิญโลกใหม่ๆพร้อมตัวอักษรเสมอ แน่ละ หนังสือเล่มนี้จะปรากฏขึ้นมิได้เลย หากโลกปราศจากสิ่งที่เรียก 'ความลับ' และข้อมูลเกี่ยวกับ 'ประวัติศาสตร์ความลับ' โดยเฉพาะในพื้นที่ทวีปยุโรปจะไม่พรั่งพรูสู่สายตาคุณผู้อ่านทั้งหลาย ถ้าวิศรุต พึ่งสุนทร หาได้สำแดงลวดลายการรวบรวมและเรียบเรียง
แม้โดยชื่อหนังสือ มองผาดเผินเหมือนผู้เขียนจงใจจะสาธยายเรื่องราว ‘ประวัติศาสตร์ความลับ’ กระนั้น สำเนียงที่แว่วผ่านตัวอักษรย่อมบ่งบอกอย่างไม่ปิดบังว่านี่คืองานเขียนสนับสนุนแนวคิด ‘ความเป็นสาธารณะ’ (publicness) อันเป็นสิ่งสลักสำคัญสำหรับสังคมสมัยใหม่ ในทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีภาพลักษณ์ความเป็นสมัยใหม่ก็มิแคล้วระบอบปกครองผูกโยงกับการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใสชัดเจน ผิดแผกไปจากสังคมโบราณภายใต้ร่มเงาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่การอำพรางข้อมูลข่าวสารเร้นลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพทางอำนาจและสร้างความชอบธรรมเพื่อดำรงสถานภาพเหนือประชาชน ครั้นเมื่อแนวคิด ‘ความเป็นสาธารณะ’ ค่อยๆ สยายปีกครอบคลุมโลกตะวันตกช่วงยุคต้นสมัยใหม่ เงื่อนงำล้ำลึกที่เคยถูกกักเก็บซุกซ่อนในมุมมืดจึงเริ่มแย้มพรายและถึงขั้นถูกหยิบยกไปประโคมโหมโห่เสียโจ่งแจ้ง กระทั่งส่งผลกระทบให้ความศักดิ์สิทธิ์แห่งระบอบอำนาจเก่าเขย่าสั่นคลอน ด้วยเหตุฉะนี้ ‘ความเป็นสาธารณะ’ เห็นจะมิพ้นจุดเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจากระบอบเดิมสู่ระบอบใหม่นั่นเอง
ผู้เขียนซึ่งมิได้หมายมุ่งศึกษาแนวคิด ‘ความเป็นสาธารณะ’ แบบตรงๆ กลับอาศัยประเด็นเรื่อง ‘ความลับ’ ที่คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นขั้วตรงข้ามมาสวมบทบาท ‘ร่างทรง’ ฉายเงาสะท้อนเชิงความสัมพันธ์ของกันและกันแทน
เสน่ห์พึงเชยชมในหนังสือ ประวัติศาสตร์ความลับ ความคิดทางการเมืองจากยุคโบราณถึงสมัยใหม่ โดดเด่นที่กุศโลบายของผู้เขียนซึ่งมิได้หมายมุ่งศึกษาแนวคิด ‘ความเป็นสาธารณะ’ แบบตรงๆ กลับอาศัยประเด็นเรื่อง ‘ความลับ’ ที่คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นขั้วตรงข้ามมาสวมบทบาท ‘ร่างทรง’ ฉายเงาสะท้อนเชิงความสัมพันธ์ของกันและกันแทน มิหนำซ้ำ ยังอธิบายการปกปิดความลับที่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์พยายามเชิดชูคุณค่าในแง่ลักษณะ ‘ความลับเพื่อสาธารณะ’ หรือ arcana rerum publicarum อาจย้อนแย้งในถ้อยคำอยู่บ้างแต่เนื้อหาแสดงความผสมผสานลงตัวทีเดียว
แท้จริง มีงานวิชาการจำนวนไม่น้อยชิ้นที่สนใจ ‘ความเป็นสาธารณะ’ ผ่านมุมมองประวัติศาสตร์การเมืองในโลกตะวันตก หากไม่ค่อยมีใครอธิบายความเป็นมาของแนวคิดเรื่อง ‘ความลับ’ ในเชิงทฤษฎีการเมืองมากเท่าที่ควรราวกับถูกละเลย การที่วิศรุต พึ่งสุนทรได้พยายามนำเสนอประเด็นนี้จึงเป็นอะไรชวนติดตาม ดังที่ผู้เขียนเปรยๆ เจตนาผ่านคำนำตอนหนึ่ง “หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและทัศนคติว่าด้วยความลับและความปกปิดกว่า 2000 ปี ครอบคลุมมิติทางด้านศาสนา เทววิทยา ปรัชญาและเหตุการณ์ทางการเมือง...” ทั้งยังเสริมอีกว่า “การศึกษาประวัติศาสตร์ของแนวคิดเรื่องความลับชิ้นนี้มาจากคำถามที่ว่า ระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่อันวางอยู่บนอุดมคติของความเป็นสาธารณะทางการเมืองและความโปร่งใสของรัฐบาล แต่ทำไมหลักคิดเรื่องความลับกลับมีที่ทางอย่างมั่นคงในปริมณฑลต่างๆ ของการเมืองสมัยใหม่...”
จากถ้อยความข้างต้น ผมเล็งเห็นข้อคาใจของผู้เขียนที่รู้สึกกังขาต่อระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ซึ่งควรจะต้องแนบแน่นกับ ‘ความเป็นสาธารณะ’ แต่เหตุไฉนเล่า ‘ความลับ’ ที่พยายามปกปิดโดยรัฐบาลจึงยังคงดำเนินไปอย่างแข็งแกร่งเป็นปกติในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าทั้งโลกสมัยใหม่และระบอบเสรีประชาธิปไตยก็ใช่จะเต็มเปี่ยมความโปร่งใสเสียทั้งหมด กรณีที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ (Wikileaks) เปิดโปงความลับทางโทรเลขของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเมื่อปีคริสต์ศักราช 2010 คงจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นมาแล้วกลายเป็นแนวทางศึกษา ‘ประวัติศาสตร์ความลับ’
จริงอยู่ความลับโดยทั่วไปมีหลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าสังเกตดีๆ คำหนึ่งที่ผู้เขียนเอ่ยถึงอยู่ถี่ๆ ได้แก่ arcana imperii แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Secret of The Empire
‘ความลับ’ อันประหนึ่งหัวใจหลักในหนังสือเล่มนี้คือความลับทางการเมือง จริงอยู่ความลับโดยทั่วไปมีหลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าสังเกตดีๆ คำหนึ่งที่ผู้เขียนเอ่ยถึงอยู่ถี่ๆ ได้แก่ arcana imperii แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Secret of The Empire ซึ่งก็คือความลับของรัฐหรือความลับทางการเมือง ส่วนที่มาของคำนี้ทุกท่านสามารถร้อง อ๋อ! ได้จากการอ่านในหนังสือเลยครับ ขณะเดียวกันยังพบคำและวลีอื่นๆที่น่าสนใจซึ่งผู้เขียนแจกแจงความหมายและบริบทไว้พร้อมสรรพ เช่น mysterium ที่นำไปสู่แนวคิด ‘mysteries of state’ อวลกลิ่นอายเทววิทยาคละเคล้ารัฏฐาธิปัตย์ รวมถึง arcanum และ secretum ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของความลับและการปกปิด เป็นต้น
พิจารณาเนื้อหาตลอดทั้งเล่มดู จะเห็นว่าผู้เขียนเพียรค้นคว้าหลักฐานมายืนยันถึง ‘ความลับ’ ที่เคียงคู่กับการปกครองและทฤษฎีการเมืองนับแต่โบราณ ไล่เรียงจากการย้อนไปสำรวจความลี้ลับตามคติโบราณในบท ความลี้ลับกับความตาย: แนวคิดเรื่องความลับตามคติโบราณและยุคกลาง เริ่มด้วยช่วงยุคกรีกเรื่อยมาจนช่วงยุคกลางที่ความลับเริ่มเข้าไปเกี่ยวพันการเมือง เช่นสมัยจักรวรรดิโรมันที่ ‘ความลับทางการเมือง’ เข้าข่ายลักษณะคำว่า arcana imperii
คริสต์ศาสนาเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งเสริมการอำพราง ‘ความลับ’ อย่างทรงพลานุภาพ แม้แก่นแท้หลักศาสนาเดิมจะไม่มีชุดแนวคิดดังกล่าวก็ตามที ครั้นเมื่อศาสนาคริสต์ได้รับส่งทอดอิทธิพลมาจากยุคจักรวรรดิโรมันแล้วอาศัยเทววิทยามาหนุนเนื่องอำนาจทางการเมืองของรัฐฆราวาส ภาพลักษณ์อารามแห่งความเงียบจึงส่อเลศนัยเร้นลับส่งเสียงงึมงำอยู่เสมอ ขณะศาสนจักรวางตนในภาวะเงียบสงบของการปฏิบัติศาสนกิจเพื่อเข้าถึงพระเจ้าโดยไม่แสดงออกว่าข้องแวะกับการเมืองของรัฐ แต่ในอีกทางหนึ่งศาสนจักรก็พยายามแทรกแซงการเมืองของรัฐอย่างเงียบงันเพื่อรักษาความมั่นคงทางศาสนา ผู้เขียนบ่งชี้ข้อเสนอเหล่านี้ผ่านบท จากความเงียบงันสู่ระเบียบ: ความลับในคริสต์ศาสนา
เรายังรู้เรื่องราวสนุกๆจากอีกสองบทถัดมาอันได้แก่ ศิลปะของความลับ: การซ่อนเร้นในยุคเรอเนสซองส์ และ ศีลธรรมและรัฐ: ความลับยุคเปลี่ยนผ่าน ว่าถึงช่วงศตวรรษที่ 15 ห้วงยามแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ตอนนั้น ‘ความลับ’ กลายเป็นที่สนอกสนใจของนักมนุษยนิยมหลายสัญชาติ ซึ่งพวกนักคิดแห่งคาบสมุทรอิตาลีตื่นตัวเสียยกใหญ่กับการถกเถียงในแนวคิด ‘ความลับทางการเมือง’ ล่วงเข้าศตวรรษที่ 16 การปกปิดความลับของรัฐถูกมองในฐานะสิ่งจำเป็นที่ผู้ปกครองพึงมี บรรยากาศอิตาลียุคต้นสมัยใหม่จึงปรากฏแนวปฏิบัติสังคมการเมือง ทั้งเรื่องการวางตนเพื่อเข้าสังคม การรู้ธรรมเนียมและมารยาท รวมถึงศิลปะการปกครอง แน่นอนว่าการปกปิดความลับเป็นคุณสมบัติหนึ่งในแนวปฏิบัติ อย่างไรก็ดี นักคิดบางคนก็ไม่เห็นพ้องต่อการอำพรางความลับโดยมองเป็นสิ่งขัดต่อศีลธรรมอันดี ผู้เขียนได้พาผู้อ่านนั่งยานย้อนเวลาไปทำความรู้จักนักคิดชาวอิตาเลียนหลายชื่อเสียงเรียงนาม คนสำคัญที่จะหลงลืมมิได้คือนิโคโล มาเคียเวลลี่ (Nicolo Machiavelli) เขาผู้นี้แหละพยายามดึงเอาคุณูปการของการปกปิดความลับมาเถียงแย้งประเด็นศีลธรรมซึ่งเขาตระหนักว่ามิพักต้องคำนึงมากนัก
ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ‘ความลับ’ มิได้ยึดติดอยู่แค่ปัญหาทางศีลธรรมหากยังเกี่ยวพันกับหลักเหตุผลแห่งรัฐด้วย สิ่งนี้ส่งเสริมให้ผู้ปกครองหรือรัฐบาลจำเป็นต้องอำพรางความลับอย่างเคร่งครัดโดยยกข้ออ้างความมั่นคงของอำนาจ วิธีเก็บรักษาความลับก็โดยการมิให้ล่วงรู้ได้ (unknowable) และการห้ามกล่าวถึง (unspeakable) ในหนังสือ ผู้เขียนเอ่ยพาดพิงถ้อยคำที่ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) นักคิดคนสำคัญกล่าวไว้ใน Of the Proficience and Advancement of Learning, Divine and Human และถอดความมาสู่พากย์ไทยว่า “หากกล่าวถึงการปกครอง ส่วนหนึ่งของความรู้นั้นเป็นเรื่องของความลับเนื่องด้วยสองประการด้วยกัน บางสิ่งเป็นความลับเพราะยากที่จะรู้ และบางสิ่งเป็นความลับเนื่องจากไม่ควรกล่าวถึง อย่างที่เห็นได้ว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลคลุมเครือและมองไม่เห็น” แนวคิดแบบนี้เองคือรากฐานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในโลกตะวันตก
ช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 17 ค่านิยมใหม่อันก่อตัวขึ้นมาในสังคมทวีปยุโรปคือความจริงใจ (Sincerity) และ ความซื่อตรง (Honesty) ประกอบกับอิทธิพล ‘ความเป็นสาธารณะ’ ที่มาพร้อมภาวะโลกสมัยใหม่ทวีความเข้มข้นไม่หยุดยั้ง ผู้เขียนหยิบยกแนวคิดของนักปรัชญาและนักสังคมวิทยาชาวเยอรมนีอย่างเยอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) มาอธิบายถึงช่วงศตวรรษที่ 18 ในเรื่องการก่อตัวของ ‘พื้นที่สาธารณะ’ (public sphere) ที่ว่าแม้ความลับจะยังเป็นส่วนสำคัญของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่การปกปิดเรื่องเร้นลับของผู้ปกครองรัฐเริ่มทำได้ยากขึ้น มิหนำซ้ำ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ขยายตัวกว้างขวางได้เร่งเร้าความสนใจรับรู้ข่าวสารกระจ่างแจ้ง เรื่องเร้นลับของผู้ปกครองรัฐทั้งหลายจึงถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีบ่อยๆจนนำไปสู่พลังต่อต้านจากประชาชน ผู้เขียนยกตัวอย่างกรณีของราชวงศ์บูร์บองในฝรั่งเศสและกรณีของพระเจ้าชาร์ลสช่วงสงครามกลางเมืองในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งจะอ่านได้อย่างเพลิดเพลินจากบท ความงดงามของความลับในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และ ความย้อนแย้งของความลับในอังกฤษ
ในระบอบเสรีประชาธิปไตยของรัฐสมัยใหม่ ‘ความลับทางการเมือง’ จึงค่อยๆ เสื่อมคลายสลายไป กระนั้นก็ตาม ‘ความลับ’ ของรัฐยังเป็นสิ่งที่ถูกอำพรางไว้อยู่ดีท่ามกลาง ‘ความเป็นสาธารณะ’
ล่วงสู่ศตวรรษที่ 19 กระแสความคิดให้คุณค่ากับความโปร่งใสและความเป็นสาธารณะทางการเมืองแพร่หลายอย่างมากล้น ดังที่มีนักคิดอย่างเยเรมี แบนแทม (Jeremy Bentham) ผู้ปฏิเสธความลับในทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ในระบอบเสรีประชาธิปไตยของรัฐสมัยใหม่ ‘ความลับทางการเมือง’ จึงค่อยๆ เสื่อมคลายสลายไป กระนั้นก็ตาม ‘ความลับ’ ของรัฐยังเป็นสิ่งที่ถูกอำพรางไว้อยู่ดีท่ามกลาง ‘ความเป็นสาธารณะ’
เนื้อหาส่วนหนึ่งที่ผมลุ่มหลงพิเศษได้แก่การที่ผู้เขียนเอ่ยถึงเรื่อง ‘Secret History’ หรือ ‘ประวัติลับ’ อันเป็นวรรณกรรมรูปแบบใหม่ปรากฏในอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 17 จุดกำเนิดวรรณกรรมกลุ่มนี้มาจากการแปลงานเขียน Anekdota ของโปรโคเปียส (Procopius) นักประวัติศาสตร์ไบเซนไทน์ในศตวรรษที่ 6 ซึ่งพรรณนารายละเอียดเรื่องราวทางเพศรวมถึงพฤติกรรมพิสดารของจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian I) และจักรพรรดินีธีโอดอรา (Theodora) โดยฉบับแปลภาษาอังกฤษถูกตีพิมพ์ในปีคริสต์ศักราช 1674 ใช้ชื่อว่า The Secret History of the Court of the Emperor Justinian งานเขียนชิ้นนี้ส่งผลให้คำว่า ‘Secret History’ กลายเป็นต้นแบบวรรณกรรมนำเสนอประวัติศาสตร์ชีวิตส่วนตัวเร้นลับของบุคคลต่างๆ และถูกใช้เป็นเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในโลกตะวันตกแบบทางอ้อม มุ่งเน้นเปิดโปงเรื่องผิดศีลธรรมทางเพศ มิหนำซ้ำ วรรณกรรม ‘ประวัติลับ’ ยังได้รับความนิยมเสียด้วย ยิ่งตอกย้ำว่า ‘ความลับทางการเมือง’ อย่างหนึ่งที่เปิดโปงคราวใดก็ได้ผลชะงัดเห็นจะมิพ้น ‘ความลับเรื่องทางเพศ’
ไม่ง่ายนักที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้รวดเดียวจบโดยไม่ละวางสายตา เพราะแทบทุกบรรทัดอัดแน่นด้วยข้อมูลเนื้อหาซึ่งปรับปรุงมาจากงานวิจัยของผู้เขียนที่ค่อนข้างเคร่งครัดระเบียบวิธีศึกษา แต่ก็ไม่ยากเลยที่ผู้อ่านจะเผลอติดหนังสือเล่มนี้งอมแงม ถ้าค่อยๆละเลียดดื่มด่ำไปช้าๆ ค่อยๆ ทำความเข้าใจพร้อมๆจินตนาการภาพพจน์คล้อยตาม
ฟรานซิส เบคอนอีกนั่นแหละครับที่ได้กล่าวไว้ในข้อเขียน Of Studies ว่า “หนังสือบางเล่มมีไว้สำหรับชิม บางเล่มสำหรับกลืน และเพียงไม่กี่เล่มสำหรับเคี้ยวหรือย่อย หนังสือบางเล่มสำหรับอ่านเพียงบางส่วน บางเล่มสำหรับอ่านเรื่อยๆ และไม่มากเล่มสำหรับให้อ่านทั้งหมดอย่างพากเพียร...” ทั้งหมดที่รวมกันเป็นหนังสือ ประวัติศาสตร์ความลับ ความคิดทางการเมืองจากยุคโบราณถึงสมัยใหม่ เหมาะเจาะอย่างยิ่งที่ต้องทุ่มเทความพากเพียรพอสมควรเพื่อเฟ้นหาความเพลิดเพลินที่เมื่อพบเข้าแล้วรับรองจะไม่ผิดหวัง ผมเองซึ่งสบโอกาสได้ทำตนเป็น ‘ผู้บ่าวสายตาเลาะ’ นอนอ่านเอกเขนกมาก่อน จึงใคร่ผายมือเชื้อเชิญผู้อ่านทั้งหลายลองเลาะสายตาท่องไปใน ‘ประวัติศาสตร์ความลับ’ อย่างเสรีพร้อมกันถ้วนหน้าเทอญ