โดย ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล
Graduate School of Asia-Pacific Studies, Waseda University
ข้อค้นพบใหม่หรือข้อสำคัญในหนังสือแผนที่สร้างชาติ
แผนที่สร้างชาติ : รัฐประชาชาติกับการทำแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น (2561) คืองานศึกษาเรื่องไทยเล่มล่าสุดของ ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ที่เป็นผลรวมจากงานวิจัย 2 โครงการ คือ งานศึกษาการสร้างความรู้เรื่องหมู่บ้านโดยนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน และ การสำรวจและจัดทำแผนที่ประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีทางอากาศในยุคสงครามเย็น หนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนข้อสรุปของเก่งกิจที่มีต่อปัญหาเรื่องการเปลี่ยนรูปการณ์ของรัฐ (transformation of Thai state) และจุดกำเนิดรัฐประชาชาติ (nation-state) ไทยด้วยการปฏิเสธชุดคำอธิบายสำคัญที่วงวิชาการไทยกระแสรองยึดถือกันโดยทั่วไปมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนประกอบด้วย 3 ปฏิเสธคือ
ปฏิเสธแรก รัฐไทยไม่ได้เปลี่ยนผ่านสู่รัฐประชาชาติตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ทัศนะดังกล่าวเป็นแนวการอธิบายที่ถูกผลิตและนิยมในหมู่นักวิชาการรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ซึ่งให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่บทบาทของชนชั้นกลางในการสร้างระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย ดังเช่นงานศึกษาของ Benedict Anderson, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอาทิ เก่งกิจเห็นเช่นเดียวกับกุลลดาว่า รัฐประชาชาติไทยเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านกระบวนการสร้างชาติ (nation-building) ที่สนับสนุนโดยจักรวรรดินิยมอเมริกันและการเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลก จุดยืนเช่นนี้ทำให้กล่าวในอีกทางหนึ่งได้ว่า แท้จริงแล้วรัฐประชาชาติไทย (และรวมถึง “ความเป็นชาติ” ตามความเห็นของเก่งกิจ) เกิดขึ้นภายใต้บริบทการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์, ยุคสมัยแห่งการพัฒนา และบทบาทนำของเผด็จการทหารภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่การปฏิวัติทางการเมืองของชนชั้นกลางข้าราชการ หรือการสร้างชาติใหม่โดยรัฐบาลคณะราษฎร
ปฏิเสธที่สอง ความเป็นชาติไทยไม่ได้ถูกสร้างผ่านการปะทะของความรู้แผนที่อันนำไปสู่การกำเนิดภูมิกายาของชาติไทยในปลายศตวรรษที่ 19 กระทั่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของลัทธิประวัติศาสตร์ที่เรียกว่าราชาชาตินิยมตามข้อเสนอของธงชัย วินิจจะกูล เนื่องด้วยเก่งกิจเห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการจัดทำแผนที่ยังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยี และรัฐไทยขาดความสนใจที่จะสำรวจผู้คนในพื้นที่ปกครองอย่างจริงจัง ทำให้แผนที่ที่ถูกสร้างในเวลานั้นขึ้นไม่สามารถระบุตำแหน่งแห่งที่ของหมู่บ้านและลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างละเอียด แต่ชาติที่อิงอยู่กับแผนที่เพิ่งปรากฏขึ้นผ่านการสำรวจหมู่บ้านและจัดทำแผนที่ในทศวรรษ 1960 และกลายมาเป็นรูปธรรมแท้จริงในทศวรรษ 1970 ทั้งหมดอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทุนสนับสนุน และบทบาทของนักมานุษยวิทยาอเมริกัน
สังคมไทยไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘หมู่บ้าน’ ในความหมายของ village
ปฏิเสธที่สาม สังคมไทยไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘หมู่บ้าน’ ในความหมายของ village ดังที่นักมานุษยวิทยา-สังคมวิทยาชาวไทยส่วนใหญ่และนักไทยศึกษาชาวตะวันตกบางคนเข้าใจ ในทางตรงข้าม หมู่บ้านซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์ความรู้ไทยศึกษาและความเป็นไทยกลับเป็นองค์ภาวะที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในยุคสงครามเย็นเช่นเดียวกัน และถูกรัฐ “จับอยู่หมัด” ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ในความเห็นของเขา ภาพของหมู่บ้านในฐานะชุมชนทางวัฒนธรรมที่ถูกตรึงอยู่กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ไร้ความเคลื่อนไหว สงบนิ่งดังที่นักมานุษยวิทยา สังคมวิทยาไทยยึดถือ เข้าใจ และมุ่งเข้าไปศึกษานั้นล้วนถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อไม่นานนี้แต่ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นหน่วยพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไทย ขณะเดียวกันหมู่บ้านก็ไม่ได้ปรากฏในฐานะหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดในกระบวนการสถาปนาอำนาจเหนือพื้นที่ผ่านการลากเส้นพื้นที่ปกครอง (territorialization) อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามทัศนะของ Peter Vandergeest และ Jeremy Kemp เก่งกิจกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “...ในทางปฏิบัติแล้วรัฐไม่เคยเข้าถึง/รู้จัก/สร้างความรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านมาก่อน” หมู่บ้านเป็นเพียง “การลอกเลียนแบบจากการปกครองอาณานิคมอังกฤษซึ่งพัฒนาหน่วยการปกครองเล็กที่สุดที่เรียกว่า hamlet ขึ้นมา” (เก่งกิจ 2561, 99-100)
โดยสรุป เก่งกิจได้ทำการวิพากษ์สิ่งที่เขามองว่าคือรากฐานความรู้มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ไทย ผ่านกรณีศึกษาประวัติศาสตร์การสร้างความรู้แผนที่และหมู่บ้านยุคสงครามเย็น หรือพูดอีกอย่างคือ เก่งกิจได้นำเอาประเด็นวิวาทะใหญ่ 3 เรื่องซึ่งเดิมทีไม่ได้มีบทสนทนาต่อกันโดยตัวเองมารวมเข้าไว้และตอบปัญหาในคราวเดียวนั่นเอง อาจกล่าวได้ว่า “3 ปฏิเสธ” ใน แผนที่สร้างชาติ มีหัวใจอยู่ที่การพิสูจน์การดำรงอยู่และการสร้างความรู้เรื่องหมู่บ้านบนฐานของการสำรวจและจัดทำแผนที่ภายในรัฐไทยนั่นเอง ในทางเดียวกัน การที่ข้อเสนอของหนังสือจะมีน้ำหนักหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์และให้คำอธิบายต่อปัญหาดังกล่าวด้วย’
ข้อวิจารณ์และข้อแนะนำ
ในความเห็นของผู้เขียนมีประเด็นปัญหาในแง่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และการตีความอย่างน้อย 3 เรื่องใหญ่ซึ่งชวนให้เราตั้งคาถามต่อข้อเสนอหลักใน แผนที่สร้างชาติ ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1) ในแง่ประวัติศาสตร์ความคิด หมู่บ้านในภาษาไทยไม่มีความหมายเท่ากับคำและมโนทัศน์ village ที่ใช้อยู่ในเอกสารไทยและตะวันตกจริงหรือ ? นักปกครองอาณานิคมรวมถึงปราชญ์ชาวอังกฤษใช้คำว่า hamlet สำหรับเรียกชื่อหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดในการปกครองอาณานิคม ไม่ใช่ village ทั้งต่ออาณานิคมของอังกฤษและพื้นที่อื่น ๆ ที่ชาวอังกฤษได้เดินทางไปสัมผัสดังเช่นที่ แผนที่สร้างชาติ อ้างจริงหรือ ? ชนชั้นนำและปัญญาชนทั้งที่เป็นคนพื้นเมืองและชาวตะวันตกซึ่งปฏิบัติงานอยู่สังคมไทยก่อนการเข้ามาของนักมานุษยวิทยาไม่เคยสนใจ ‘หมู่บ้าน’ ในมิติเชิงวัฒนธรรมจริงหรือ ? และที่ชวนสงสัยยิ่งขึ้นคือไม่เคยมีกระบวนการถ่ายโอนมโนทัศน์ ‘village’ ในภาษาอังกฤษเพื่อเทียบกับ ‘หมู่บ้าน’ ในภาษาไทยกระทั่งกองทัพนักมานุษยวิทยาอเมริกันยาตราเข้ามาศึกษาสังคมไทยเมื่อเริ่มสงครามเย็นจริงหรือ ? การแปลหมู่บ้านให้เท่ากับ village เป็นการแปลอย่างขาดความเข้าใจไปเองโดยฝ่ายรัฐและชนชั้นนาไทยซึ่งควรนับเป็นการแปลผิดดังที่เก่งกิจเสนอใช่หรือไม่ ?
ประเด็นที่ 2) ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมสงครามเย็นกับการการสร้างความรู้เรื่องไทย ซึ่งนำไปสู่ปัญหาว่าเราสามารถใช้เอกสารวิชาการและ/หรือเอกสารราชการที่ถูกผลิตโดยตัวแสดงฝ่ายสหรัฐอเมริกาในฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของการศึกษาเรื่องไทยที่ให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ได้ในระดับใด ?
ประเด็นที่ 3) ในแง่ของการศึกษากระบวนการผลิตความรู้ยุคสงครามเย็นซึ่งมีจักรวรรดินิยมอเมริกาเป็นผู้นำนั้น การสร้างความรู้เรื่องไทยภายใต้กรอบคิดว่าด้วย nation-building ที่นักวิชาการอเมริกันใช้อยู่นั้น สามารถเป็นสปริงบอร์ดไปสู่ข้อเสนอที่ว่า รัฐประชาชาติไทยและความเป็นไทยเพิ่งก่อตัวขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในลักษณะที่เทียบเคียงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเคยตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศส และแห่งอื่นได้หรือไม่เพียงใด ?
คำว่า “หมู่บ้าน” ในภาษาไทยรวมถึงคำอื่นที่เกี่ยวข้องเช่น บ้าน บาง คาม นิคม ได้ถูกแปลและถ่ายทอดนิยามความหมายให้เท่ากับคำว่า village มิใช่ hamlet โดยชาวตะวันตกมาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19
เก่งกิจได้ตั้งข้อสังเกตที่ถูกต้องและมีนัยสำคัญต่อการศึกษารัฐไทยไว้ในหนังสือของเขาว่า ปัญหาเรื่องการแปลคำว่าหมู่บ้านให้เท่ากับ village เป็นประเด็นสำคัญต่อการทำความใจความเปลี่ยนแปลงเรื่องรัฐไทย อย่างไรก็ตาม – โดยขัดแย้งต่อข้อเสนอของเก่งกิจ – จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องหมู่บ้าน ทั้งหลักฐานไทยและต่างชาติ ตลอดจนงานวิชาการที่ศึกษาประเด็นเรื่องหมู่บ้านในบริบทประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมของอังกฤษ อาจสรุปได้ว่า village คือหนึ่งในมโนทัศน์ใจกลางในการปกครองอาณานิคมอังกฤษอีกทั้งมีอิทธิพลต่อพื้นที่ทางภูมิปัญญาของของอังกฤษอย่างยิ่งยวด ขณะที่คำว่า “หมู่บ้าน” ในภาษาไทยรวมถึงคำอื่นที่เกี่ยวข้องเช่น บ้าน บาง คาม นิคม ได้ถูกแปลและถ่ายทอดนิยามความหมายให้เท่ากับคำว่า village มิใช่ hamlet โดยชาวตะวันตกมาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 หลักฐานร่วมสมัยที่จัดทำโดยชาวอเมริกัน ฝรั่งเศส และชาวอังกฤษในสยามได้ใช้มโนทัศน์ village เพื่ออธิบายชุมชนท้องถิ่นในรัฐสยามอย่างแจ้งชัด อีกทั้งในบางเอกสารยังเลือกใช้คำว่า village และ hamlet ในบริบทที่แตกต่างกัน ด้านหลักฐานฝ่ายไทยเองก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามแสวงหาความรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านและวัฒนธรรมของคนในหมู่บ้านอย่างมีนัยยะสำคัญ ประเด็นการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้คนและความไม่นิ่งของหมู่บ้านก็เป็นเรื่องที่รัฐไทยก่อนสงครามเย็นตระหนักอย่างดีก่อนที่โครงการสำรวจหมู่บ้านยุคสงครามเย็นจะเริ่มขึ้น
อาจกล่าวเป็นเบื้องต้นในที่นี้ได้ว่า การใช้เอกสารวิชาการที่ผลิตขึ้นโดยนักมานุษยวิทยายุคสงครามเย็นในลักษณะปฏิบัติต่อความเห็นเหล่านั้นในฐานะข้อเท็จจริงของงานภาคสนามโดยไม่ผ่านการวิพากษ์ภายนอกอย่างเพียงพอก็เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา โลกวิชาการภาษาอังกฤษได้ปรากฏงานศึกษาในประเด็นวิพากษ์การสร้างความรู้ว่าด้วยสังคมพื้นเมืองโดยนักสังคมศาสตร์อเมริกันในบริบทสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคสงครามเย็นจำนวนมาก
เราสามารถใช้งานเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างสำคัญ
ปิดท้าย
แม้ แผนที่สร้างชาติ จะมุ่งเป้าไปที่การวิพากษ์การประกอบสร้างความรู้ไทยศึกษายุคสงครามเย็น ทว่าการยึดความเห็นของนักมานุษยวิทยาอเมริกันเพื่อวิจารณ์งานศึกษาหมู่บ้านรุ่นต่อมา โดยไม่ได้ย้อนกลับไปพิจารณาสภาพการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าหมู่บ้านในสังคมไทยอย่างเพียงพอ ขณะที่ในทางกลับกันก็ไม่ได้อภิปรายปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้แผนที่และการกำหนดพิกัดตำแหน่งหมู่บ้าน-ประชากรชาวเขา กับอำนาจควบคุมเหนือพื้นที่ของรัฐไทยว่าได้นำไปสู่กำเนิดรัฐประชาชาติและความเป็นชาติใหม่ของไทยอย่างไร ก็ส่งผลให้ แผนที่สร้างชาติ เสี่ยงที่จะตกอยู่ในวาทกรรมสงครามเย็นอย่างคาดไม่ถึง ผลคือกรณีศึกษาหมู่บ้านบางชัน และคำอธิบายหมู่บ้านชาวเขาในเขตที่สูง ได้กลายเป็นคำอธิบายสภาพทั่วไปของหมู่บ้านในสังคมไทยทั้งหมด ความแตกต่างของหมู่บ้านพื้นที่ราบ-พื้นที่สูง และระหว่างภูมิภาคต่างๆ ในรัฐได้ถูกลดทอนให้กลายสภาพเป็นหมู่บ้านชาวเขาในกรอบคำอธิบายของ แผนที่สร้างชาติ
อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างการได้รู้จักหมู่บ้านทั่วรัฐไทยโดยนักสังคมวิทยา-มานุษยวิทยาอเมริกัน (ซึ่งเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ได้รู้และรัฐและคนท้องถิ่นได้นำสิ่งที่รู้นั้นไปใช้มากน้อยเพียงใด) และการจัดทำแผนที่ทางอากาศซึ่งทำให้พื้นที่ภายในรัฐสามารถกำหนดขอบเขตได้ชัดเจน จนนำไปสู่กำเนิดรัฐประชาชาติและสำนึกความเป็นชาติยังเป็นปัญหาที่สามารถถกเถียงต่อได้อีกมาก ในการนี้ แผนที่สร้างชาติ ได้ช่วยดึงเราให้กลับมาทบทวนปัญหาสำคัญนี้อีกครั้ง กระตุกเราให้ตั้งคำถามต่อชุดคำอธิบายทางวิชาการที่นิยมในหมู่นักวิชาการทวนกระแส
(รายละเอียดข้อวิพากษ์และการอภิปรายหลักฐานประวัติศาสตร์โปรดติดตามอ่านบทความฉบับเต็ม ที่จะตีพิมพ์ในวารสาร ฟ้าเดียวกัน ในอันดับต่อไป)