โดย นิธิ เนื่องจำนงค์
ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประชานิยมได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก จากเดิมที่มองกันว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัวและเกิดขึ้นในบางภูมิภาคเท่านั้น (Mudde, 2015, 432) แต่ในปัจจุบัน ดังที่อันเดรส เบดาสโก (Andres Vedasco) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีประชากรโลกถึงกว่าหนึ่งในสามที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลประชานิยม (Velasco, 2022) และประชานิยมได้ขยายตัวไปทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงในภูมิภาคที่แทบไม่เคยมีการปรากฏตัวของประชานิยมมาก่อนดังเช่นเอเชียและแอฟริกา แม้ว่าประชานิยมจะ “กลายเป็นสิ่งปกติ” ในโลกการเมือง แต่ที่ผ่านมา การศึกษาประชานิยมประสบกับปัญหาสำคัญหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ ประการแรก ปัญหา “ตาบอดคลำช้าง” กล่าวคือ ผู้ที่ศึกษาประชานิยมมักจะหยิบยกมาเฉพาะบางแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย อุดมการณ์ หรือตัวแสดงบางประเภท ฯลฯ และกล่าวอ้างว่าสิ่งนั้นคือประชานิยม (Pappas, 2019, 13; Nuangjamnong, 2020, 122-123) ประการที่สอง ทั้งผู้ศึกษา ผู้กำหนดนโยบาย และประชาชนทั่วไปมักจะมีแนวโน้มที่จะมองประชานิยมผ่าน “การตัดสินในเชิงคุณค่า” ไม่ว่าจะเป็นในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่น มองประชานิยมว่าเป็นการ “เสริมพลัง” ให้กับประชาชนชายขอบ (Rostbøll, 2023, 192-194) หรือมองประชานิยมว่าเป็นความผิดปกติ หรือปัญหาของระบบการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย (Rummens, 2017; Peruzzotti, 2017)
รูปที่ 1. ประชานิยมได้ขยายตัวไปทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงในภูมิภาคที่แทบไม่เคยมีการปรากฏตัวของประชานิยมมาก่อนดังเช่นเอเชีย และแอฟริกา
ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำให้ การศึกษา พูดคุย ถกเถียงเกี่ยวกับประชานิยมเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างมาก และแม้ว่าจะมีงานที่ศึกษาประชานิยมขยายตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า หากนับเฉพาะหนังสือวิชาการจากเดิมที่ในช่วงก่อนทศวรรษ 1950 ที่มีจำนวนไม่ถึง 100 เล่มต่อทศวรรษ ในช่วงทศวรรษแรกของ 2000 เป็นต้นมา จำนวนหนังสือได้เพิ่มเป็นมากกว่า 700 เล่มต่อทศวรรษ (Kaltwasser, Taggart, Espejo and Ostiguy, 2017) แต่สิ่งที่น่าสนใจคือที่ผ่านมาไม่มีหนังสือในลักษณะของ “ตำรา” ที่เกี่ยวข้องกับประชานิยมแต่อย่างใด และการนำเสนอผลการศึกษาเกี่ยวกับประชานิยมมักจะมุ่งเน้นที่บางประเทศ ภูมิภาค และแง่มุมเท่านั้น มีงานเพียงน้อยชิ้นเท่านั้นที่จะนำเสนอภาพได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม และหากจะมีมักจะมีลักษณะของ “คู่มือ” (Handbook) ที่รวบรวมนักวิชาการจากหลากหลายด้านเข้ามาเขียนในแง่มุมต่าง ๆ เท่านั้น การเกิดขึ้นของหนังสือ “เมื่อประชานิยมครองโลก” (Global Populism) โดยการ์โลส เด ลา ตอร์เร และตรีเทพ ศรีสง่า ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ Routledge ในปี 2022 จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นความพยายามครั้งแรก ๆ ของนักวิชาการที่พัฒนา “ตำรา” ที่เกี่ยวกับประชานิยมโดยตรง และนำเสนอในแทบทุกแง่มุมและกรณีศึกษาอย่างครบถ้วนและกว้างขวางที่สุด
รูปที่ 2. การ์โลส เดอ ลา ตอร์เร และตรีเทพ ศรีสง่า ผู้เขียนหนังสือ Global Populism (2021) ที่ถูกแปลเป็นภาษาสเปน และภาษาไทย; และหนังสือ Routledge Handbook of Global Populism (2019) ที่มีเดอ ลา ตอร์เร เป็นบรรณาธิการ
ผู้เขียนทั้งสอง ซึ่งคนแรกคือการ์โลส เดอ ลา ตอร์เร นักวิชาการระดับโลกที่มีผลงานด้านประชานิยม โดยเฉพาะในแถบลาตินอเมริกามาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าสองทศวรรษ อีกทั้งยังเคยเป็นบรรณาธิการให้กับ Routledge Handbook of Global Populism (2019) และคนที่สองตรีเทพ ศรีสง่า ลูกศิษย์ของเดอ ลา ตอร์เร ที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา และเคยมีผลงานเป็นบรรณาธิการในหนังสือ “ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน” (Illuminations Editions, 2564) ได้ระบุวัตถุประสงค์หลักของหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างชัดเจนในคำนำว่าต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็น “ตำราเรียน” ที่นำเสนอข้อโต้แย้ง แนวคิด และกรณีศึกษาที่หลากหลายอีกทั้งยังก้าวข้ามข้อจำกัดของการเขียนภายใต้ “กรอบหรือขนบ” ของสาขาวิชาหนึ่ง ๆ หากแต่ครอบคลุมพหุสาขาวิชา ทั้งประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ในความพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าว หนังสือเมื่อประชานิยมครองโลกได้จัดแบ่งการนำเสนอออกเป็น 12 บท ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก การทำความเข้าใจและความชัดเจนในเชิงแนวคิดในบทแรก (ใครกลัวประชานิยม) และบทที่สอง (ประชานิยมในความหมายของเราคืออะไร) ส่วนที่สอง การนำเสนอกรณีศึกษาจากประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ (ลาตินอเมริกา สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) และส่วนที่สาม แง่มุมและประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับประชานิยม 5 บท (ฟาสซิสต์ ประชาธิปไตย ศาสนา สื่อ และมิติข้ามชาติ)
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนื้มีด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก การทำความเข้าใจความหลากหลายในการศึกษาประชานิยมผ่านการย้อนกลับไปพิจารณาที่รากฐานความแตกต่างบนฐานของภววิทยาญาณวิทยา และวิธีวิทยา ที่จำแนกได้คร่าว ๆ เป็นแบบปฏิฐานนิยม (positivism) และไม่ใช่ปฏิฐานนิยม ที่ผ่านมา การทำความเข้าใจประชานิยมนับเป็นจุดตั้งต้นที่สร้างความยากลำบากให้กับนักวิชาการอย่างมาก เห็นได้จากข้อสังเกตของกิตา อิออเนสคู (Ghita Ionescu) และเออร์เนส เกลเนอร์ (Ernest Gellner) ในหนังสือเล่มแรก ๆ ที่เกี่ยวกับประชานิยมที่ตีพิมพ์ในปี 1969 ที่ว่า “ไม่มีใครค่อนข้างชัดเจนเลยว่าประชานิยมคืออะไร...ประชานิยมเป็นสิ่งที่ลื่นไหล และปรับเปลี่ยนรูปแบบได้” (Ionescu and Gellner, 1969) จากความลื่นไหลของปรากฏการณ์ และจากความแตกต่างในมุมมอง และพื้นฐานของนักวิชาการที่ศึกษาประชานิยมนี่เองที่ทำให้เกิดความหลากหลายในแนวทางในการทำความเข้าใจประชานิยม ความหลากหลายที่อาจทำให้สับสนนี่เองที่ส่งผลตามมาให้เกิดปัญหา “ตาบอดคลำช้าง” ในการศึกษาประชานิยม จนทำให้นักวิชาการบางคนถึงขั้นเสนอให้ใช้แนวคิดอื่นในการศึกษา ดังเช่น การแบ่งขั้วอุดมการณ์แบบขวา-ซ้าย (Cannon, 2018)
ในการแก้ปัญหาดังกล่าว เดอ ลา ตอร์เร และตรีเทพ ได้พิจารณาความแตกต่างในการศึกษาประชานิยมบนฐานของปรัชญาสังคมศาสตร์ที่แตกต่างกัน พร้อมนำเสนอเกณฑ์ในการจำแนก ได้แก่ ขอบเขต นิยาม วิธีมองประชานิยม (แบบขั้วตรงข้ามหรือไล่ระดับ, คุณลักษณะหรือวิธีปฏิบัติ) นอกจากการนำเสนอแนวทางในการจำแนกแนวทางการศึกษาประชานิยมแล้ว ผู้เขียนทั้งสองยังนำเสนอ “แนวคิดแม่แบบ” ที่นำเสนอจุดตั้งต้นสำหรับการทำความเข้าใจประชานิยม ความน่าสนใจคือ แนวคิดแม่แบบที่ผู้เขียนนำเสนอนั้นค่อนข้างยืดหยุ่น และเปิดกว้างสำหรับการปรับเปลี่ยน ดังเช่น การมองว่าประชานิยมเป็นเรื่องของ “ระดับ” และมองว่าขอบเขตประชานิยมค่อนข้างหลากหลาย และใช้คำนิยามแบบสะสม (ที่สามารถเพิ่มเติมคุณลักษณะภายหลังได้)
รูปที่ 3. ตารางที่ 2.1 การเปรีียบเทีียบแนวทางการให้้ความหมายแก่่ประชานิิยม ในหนังสือ เมื่อประชานิยมครองโลก หน้า 52
ประการที่ 2 กรณีศึกษาที่ค่อนข้างหลากหลาย ครอบคลุมทั้งประชานิยมในลาตินอเมริกา ยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านมาหนังสือที่เกี่ยวกับประชานิยมมักจะมีข้อจำกัดในแง่กรณีศึกษา เนี่องจากผู้ศึกษามักจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในบางภูมิภาคเท่านั้น หากจะมีหนังสือที่ครอบคลุมหลายภูมิภาคมักจะเป็นหนังสือประเภท “คู่มือ” (handbook) ที่ประมวลผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอาณาบริเวณศึกษา อย่างไรก็ตาม ปัญหาของหนังสือประเภทคู่มือหรือหนังสือรวมบทความคือความเหลื่อมล้ำกันในแต่ละบท ที่น้ำหนักของการวิเคราะห์ รูปแบบการเขียนและการนำเสนอ จะมีความแตกต่างกันไป การที่ผู้เขียนเพียงหนึ่งหรือสองคนสามารถเรียบเรียงกรณีศึกษาที่หลากหลายในหนังสือเล่มเดียวทำให้เกิดความเป็นระบบในการวิเคราะห์ การให้น้ำหนักของการศึกษาแต่ละบท ความลื่นไหล และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในการเขียน
ประการที่ 3 การนำเสนอประชานิยมผ่านความเชื่อมโยงกับ “ประเด็นสำคัญ” ที่เป็นประเด็นร่วมสมัยและเป็นข้อถกเถียงหลักในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นฟาสซิสม์ สื่อ ประชาธิปไตย ศาสนา และมิติข้ามชาติของประชานิยม การนำเสนอประเด็นที่ครอบคลุมเช่นนี้มักจะไม่พบในหนังสือประชานิยมอื่น ๆ ที่นอกจากจะมุ่งเน้นเพียงบางประเทศหรือภูมิภาค ยังมักจะให้ความสำคัญกับบางแง่มุมอีกด้วย (ดังเช่น นิธิ เนื่องจำนงค์, 2563) การสำรวจในหลากหลายแง่มุมเช่นนี้มักต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย และที่น่าสนใจคือในบางประเด็นที่หยิบยกขึ้นมานำเสนอ ดังเช่น มิติข้ามชาติของประชานิยม ยังเป็นแง่มุมที่ค่อนข้างใหม่และมีการศึกษาที่ไม่มากนัก ในประเด็นนี้ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากประชาธิปไตยและเผด็จการอำนาจนิยมที่สามารถส่งอิทธิพล “ข้ามชาติ” ได้แล้ว ประชานิยมยังสามารถส่งอิทธิพลในลักษณะเดียวกันได้อีกด้วย และในบางภูมิภาค ดังเช่น ลาตินอเมริกา แง่มุมข้ามชาติของประชานิยมยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เริ่มต้น
รูปที่ 4. การนำเสนอประชานิยมผ่านความเชื่อมโยงกับ “ประเด็นสำคัญ” ต่าง ๆ
คุณูปการสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีด้วยกันสองแง่มุม แง่มุมแรกในด้านวิชาการ การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นจุดตั้งต้นที่ดีทั้งของนักวิชาการที่มีประสบการณ์ในการศึกษาประชานิยมมาอย่างยาวนานและผู้ที่เริ่มต้นศึกษาประชานิยม ในกลุ่มแรก หนังสือเล่มนี้ได้เปิดแง่มุมทั้งในส่วนของวิธีคิดในการก้าวข้ามปัญหาความสับสนในนิยามและแนวการศึกษา อีกทั้งยังเปิดประเด็นใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับประชานิยม ในกลุ่มที่สอง หนังสือเล่มนี้มีความครบถ้วน ครอบคลุมมากที่สุดทั้งในเชิงแนวคิด กรณีศึกษา และประเด็น ดังนั้น จึงเหมาะเป็น “หนังสือเล่มแรก” สำหรับเริ่มต้นศึกษาและทำความเข้าใจประชานิยม
แง่มุมต่อมาเกี่ยวข้องกับมายาคติที่เกี่ยวเนื่องกับประชานิยม ดังที่ได้เกริ่นนำในตอนแรก ประชานิยมมักจะถูก “ตัดสินในเชิงคุณค่า” หรือใช้เป็น “อาวุธทางวาทกรรม” ในการติดฉลากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเพื่อลดทอนความชอบธรรม โดยเฉพาะในสังคมหรือประเทศที่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับประชานิยมมากนักดังเช่นประเทศไทย ต่อประเด็นนี้ หนังสือเล่มนี้ ได้แสดงให้เห็นถึง “ความปกติ” ของประชานิยมที่พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย และสามารถศึกษาได้อย่างเป็นกลางโดยปราศจากอคติ
รูปที่ 5. นโยบายหลายอย่างของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกแปะป้ายว่าเป็น “ประชานิยม” ได้แก่ 1) 30 บาทรักษาทุกโรค 2) กองทุนหมู่บ้าน 3) โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยเป้าประสงค์และขอบเขตของหนังสือเล่มนี้ที่ค่อนข้างทะเยอทะยาน ทั้งในแง่ของการเป็นตำรา การนำเสนอกรณีศึกษาที่ค่อนข้างครอบคลุม การสะสางความยุ่งเหยิงในเชิงแนวคิด รวมถึงการนำเสนอแง่มุมและประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับประชานิยม ซึ่งในแต่ละประเด็นสามารถพัฒนาเป็นหนังสือได้ในตัวเอง ทำให้หนังสือเล่มนี้อาจมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่ ประการแรก การให้น้ำหนักหรือความลุ่มลึกของแต่ละบทที่อาจจะไม่เท่ากัน บางบท โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีศึกษาในลาตินอเมริกา ซึ่งผู้เขียนทั้งสองมีความถนัดเป็นพิเศษ จะเห็นได้ถึงความลุ่มลึกที่มากกว่าบทอื่น ๆ ขณะที่บางกรณีศึกษา โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในภูมิภาคทึ่มีประสบการณ์ประชานิยมมาอย่างยาวนาน ผู้เขียนอาจไม่ได้นำเสนออย่างเข้มข้นมากนัก อีกทั้งยังไม่มีกรณีศึกษาของบางประเทศ ดังเช่น อิตาลี ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งพันธะสัญญาของประชานิยม” (Tarci, 2015) ที่สามารถพบประชานิยมได้ในทุกอุดมการณ์ทั้งฝ่ายขวา กลาง และซ้าย ขณะเดียวกัน ผู้เขียนยังไม่ได้กล่าวถึงประชานิยมในบางภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกาหรือโอเชียเนีย แน่นอนว่า ข้อจำกัดข้างต้น ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด และในความเป็นจริงแล้ว คงจะเป็นการยากที่จะสามารถเขียนให้ครอบคลุมได้
ประการที่ 2 แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะพยายามนำเสนอประชานิยมในรูปแบบที่ครอบคลุม เพื่อให้สอดรับกับความหลากหลายของประชานิยม แต่หากพิจารณาในรายละเอียด ผู้เขียนมีความโน้มเอียงบางประการที่นำเสนอแง่มุมประชานิยมในบางด้านที่มากกว่าด้านอื่น ๆ กล่าวคือ ในแง่มุมของตัวแสดงแบบประชานิยม ผู้เขียนมักจะให้น้ำหนักกับ “ผู้นำประชานิยม” มากกว่าตัวแสดงประชานิยมในแบบอื่น ๆ ที่สำคัญคือพรรคการเมือง (ที่เป็นตัวแสดงหลักของประชานิยมในยุโรป) และขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง นอกจากนี้ ในเชิงทฤษฎี แนวคิดแม่แบบที่ผู้เขียนนำเสนอจะเห็นได้ชัดถึงอิทธิพลจากแนวคิดของเออเนสโต ลากลาว (Ernesto Laclau) (ดู Laclau, 2005) ที่ส่งอิทธิพลต่อมุมมองประชานิยมของผู้เขียนที่มากกว่าแนวคิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความโน้มเอียงเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ในทางกลับกันเป็นเรื่องธรรมดาในงานวิชาการ แต่อาจส่งผลทำให้การนำเสนออาจไม่ครอบคลุมดังเป้าประสงค์ของการเป็นตำรา
----------------------------------------------------------------------------------------
References
ตรีเทพ ศรีสง่า (บก.). (2564). ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน (กรุงเทพฯ: Illuminations Edition.
นิธิ เนื่องจำนงค์. (2563). ประชานิยมในโลกที่เหลื่อมล้ำ (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า).
Cannon, B. (2018). Must We Talk About Populism? Interrogating Populism’s Conceptual Utility in a Context of Crisis. New Political Science, 40, 3, 477-496.
De la Torre, C. (Ed.). (2019). Routledge Handbook of Global Populism. London: Routledge.
Ionescu, G. and E. Gellner. (1969). Introduction. In G. Ionescu and E. Gellner (Eds.), Populism: Its Meaning and National Characteristics (pp. 1-5). New York: Macmillan.
Kaltwasser, C.R., P. Taggart, P. O. Espejo and P. Ostiguy (Eds.), Populism: An Overview of the Concept and the State of the Art. In C.R. Kaltwasser, P. Taggart, P.O. Espejo and P. Ostiguy (Eds.), The Oxford Handbook of Populism, Oxford: Oxford University Press.
Laclau, E. (2005). On Populist Reason. London: Verso.
Mudde, C. (2015). Conclusion: Some further thoughts on populism. In C. de la Torre (Ed.), The Promise and Perils of Populism. Kentucky: University Press of Kentucky.
Nuangjamnong, N. (2020). Populism: The Story of the Blind Men and the Elephant: Book Review. King Prajadhipok’s Institute of Democracy and Governance, 2, 122-126.
Pappas, T. (2019). Populism and Liberal Democracy. Oxford: Oxford University Press.
Peruzzotti, E. (2017). Populism as Democratization’s Nemesis: The Politics of Regime Hybridization. Chinese Political Science Review, 2, 314-327.
Rostbøll, C. (2023). Democratic Respect: Populism, Resentment and the Struggle for Recognition. Cambridge: Cambridge University Press.
Rummens, S. (2017). Populism as a threat to liberal democracy. In C.R. Kaltwasser, P. Taggart, P. O. Espejo and P. Ostiguy (Eds.), Oxford Handbook of Populism (pp. 554-570). Oxford: Oxford University.
Tarci, M. (2015). Italy: The Promised Land of Populism? Comparative Italian Politics, 7, 3, 273-285.
Velasco, A. (2022). Populism and identity politics. In A. Velasco and I. Bucelli (Eds.), Populism: Origins and Alternative Policy Responses (pp. 9-34). London: London School of Economics and Political Science Press.