โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศริญญา อรุณขจรศักดิ์ (ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิด “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (anthropocentrism) มักถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นตอของวิกฤตสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต หรือการทำลายธรรมชาติอย่างไร้การยั้งคิด แต่บทความ “Anthropocentrism as the Scapegoat of the Environmental Crisis: A Review” โดย ไลนา ดรอซ (Laÿna Droz) หรือชื่อภาษาไทยว่า “แนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางในฐานะแพะรับบาปของวิกฤตสิ่งแวดล้อม: บทปริทัศน์” แปลโดย กิตติศักดิ์ โถวสมบัติ กลับตั้งคำถามสำคัญว่า “แน่ใจแล้วหรือว่าแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางคือผู้ร้ายตัวจริง?” บางทีการโทษแนวคิดนี้อาจเป็นการหา “แพะรับบาป” (scapegoating) ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจจากปัจจัยที่แท้จริง เช่น ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือพฤติกรรมบริโภคเกินตัวของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
รูปที่ 1. การกล่าวโทษแนวคิด มนุษย์เป็นศูนย์กลาง ว่าเป็นต้นตอของวิกฤตสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ฯลฯ
บทความของดรอซมีลักษณะเป็นบทความปริทัศน์ (review article) ซึ่งไม่ได้เสนองานวิจัยใหม่ หรือไม่ได้เสนอคำตอบแบบชัดเจนว่าขาวหรือดำ หากแต่นำเสนอการทบทวนวรรณกรรมจากหลากหลายสาขาวิชา เช่น ปรัชญาสิ่งแวดล้อม จริยธรรมสัตว์ มานุษยวิทยา และกฎหมาย ในหลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น แล้ววิเคราะห์และเปรียบเทียบงานวิชาการดังกล่าว เพื่อสังเคราะห์ภาพรวมของข้อถกเถียงในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
รูปที่ 2. การกระจายตัวของวลี ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ ในสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งนำเสนออยู่ในวรรณกรรมที่ได้รับการปริทัศน์ โดยจำแนกด้วยภาษา (รูปที่ 1. ในบทความของดรอซ)
หัวใจสำคัญของบทความนี้คือการชี้ให้เห็นว่า คำว่า “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (anthropocentrism) ที่ใช้กันในงานทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม มีความหมายกำกวมและลื่นไหลหลายนัยยะ เช่น ในบางแง่มุมอาจหมายถึงการมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางของโลกและมีคุณค่าเหนือสิ่งอื่น ในบางแง่มุมอาจหมายถึงการยอมรับว่ามนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการมองโลกผ่านมุมมองของตนเองได้ หรือไม่ก็โยงคำว่า “มนุษย์” กับเพศ “ชาย” ซึ่งแฝงนัยถึงชายเป็นศูนย์กลาง
ในบางครั้งมีการใช้เพื่อการประณามเท่านั้นโดยไม่อธิบายชัดเจนว่ากำลังพูดถึงแง่มุมไหนของแนวคิดนี้ ดรอซมองว่าหากเราไม่ทำความเข้าใจว่ามีการใช้คำนี้ในความหมายไหน การโจมตีหรือปกป้องแนวคิดนี้จะกลายเป็นการถกเถียงแบบเลอะเลือน และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดทางวิชาการและการคิดนโยบายที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ข้อโดดเด่นอีกอย่างของบทความนี้คือ การวิเคราะห์ให้เห็นด้วยว่า ข้อกล่าวหาแนวคิด “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” ว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นมีน้ำหนักเพียงใด มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ และถ้าเราจะละทิ้งแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิงจะต้องประสบปัญหาในทางปฏิบัติและอาจก่อให้เกิดผลเสียทางจริยธรรมได้อย่างไร
ตารางที่ 1. ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ มีความหมายตามตัวอักษรว่า ‘ความคิด/ระเบียบวิธีคิดซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่มนุษย์’ อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำตอบที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคำถามที่ว่า ใครวางอะไรไว้ที่ศูนย์กลางของอะไร และด้วยการทำเช่นนั้น อะไรบ้างที่ถูกกีดกันออกจากศูนย์กลางนั้น; ด้วยเหตุนี้ ความเห็นที่แตกแยก และความสับสนของความหมายของคำว่า ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ จึงเกิดขึ้น (จากบทความของดรอซ)
บทความนี้มีโครงสร้างบทความแบ่งเป็นสามส่วนหลักด้วยกัน ส่วนแรก เป็นการวิเคราะห์ว่าการกล่าวโทษแนวคิด “anthropocentrism” ว่าเป็นต้นตอของวิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นมีการให้เหตุผลอย่างไร และมีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ส่วนที่สอง เป็นการสำรวจและวิจารณ์แนวคิดที่เสนอให้ละทิ้งแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และการปกป้องการตีความแนวคิด “anthropocentrism” แบบใหม่ และส่วนที่สาม เป็นการให้ข้อเสนอท่าทีทางจริยธรรมที่เป็นไปได้ต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนแรก ดรอซหยิบยกข้อกล่าวหาที่ว่า “แนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางคือรากเหง้าของวิกฤติสิ่งแวดล้อม” มาพิจารณาและวิพากษ์เหตุผลของข้อกล่าวหานี้ ดรอซตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า “anthropocentrism” ถูกใช้ในงานวิชาการหลายความหมาย แต่กลับไม่ค่อยมีใครแยกแยะให้ชัดว่าแต่ละกรณีนั้นหมายถึงอะไร บางครั้งคำนี้อาจหมายถึงแค่ทัศนคติเห็นแก่ตัวของมนุษย์ แต่บางครั้งก็หมายถึงกรอบความคิดที่มนุษย์มองโลกจากประสบการณ์ของตน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดรอซเตือนว่า หากไม่แยกให้ชัด ข้อกล่าวหาต่อ “anthropocentrism” ก็จะกลายเป็นการโทษแบบ “เหมารวม” ที่ไม่เป็นธรรม และอาจกลบปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า เช่น ระบบเศรษฐกิจหรือนโยบายระดับโลก
รูปที่ 3. เราสามารถหลุดพ้นจากการมองโลกแบบมนุษย์ได้หรือไม่?
ในส่วนที่สอง ดรอซชวนให้มามองในเชิงปฏิบัติ โดยชี้ให้เห็นว่าแม้เราจะเห็นข้อเสียของแนวคิด “anthropocentrism” แต่การละทิ้งแนวคิดนี้โดยสิ้นเชิงก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ความยากในทางปฏิบัติที่สำคัญคือ เราไม่สามารถหลุดพ้นจากการมองโลกแบบมนุษย์ได้จริง เพราะแม้แต่ความพยายามจะ “เข้าใจสิ่งอื่น” ก็ยังเป็นการเข้าใจผ่านกรอบคิดของเรา นอกจากนี้ ถ้าเราพยายามลดบทบาทของมนุษย์ลงมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นว่าเราไม่เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่เราต้องดูแลโลกนี้ เพราะมนุษย์เองก็เป็นผู้มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ระบบต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม ก็ล้วนตั้งอยู่บนความคิดว่า “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” การจะเปลี่ยนทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย
ดรอซยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้แต่คนที่พยายามวิจารณ์แนวคิด “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” นี้ ก็ยังใช้ภาษาและเหตุผลแบบมนุษย์ในการคิดและอธิบายอยู่ดี จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลุดพ้นจากมุมมองแบบมนุษย์โดยสมบูรณ์ ดังนั้น แทนที่จะพยายามหนีจากความเป็นมนุษย์ ดรอซเสนอให้เรา “ตีความใหม่” ว่ามนุษย์ควรทำหน้าที่อะไรในโลกนี้ โดยเน้นความรับผิดชอบ ความเคารพ และความถ่อมตนต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่น
รูปที่ 4. ภาพล่างซ้าย: เจน กูดอลล์ (Jane Goodall) นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้ทำให้โลกรู้จักลิงชิมแปนซีมากขึ้น; ภาพล่างขวา: การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมที่ถูกวิจารณ์ว่ามี “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” อย่างแรง
ในส่วนที่สาม ดรอซย้ำว่าเราไม่ควรรีบด่วนกล่าวโทษแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤติสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เพราะการมองแบบนี้อาจง่ายเกินไป และทำให้เรามองข้ามปัจจัยอื่นที่สำคัญ เช่น ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังปัญหาสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริง เธอเสนอว่า แทนที่เราจะพยายามละทิ้งมุมมองแบบมนุษย์เสียทั้งหมด (ซึ่งอาจเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ) เราน่าจะเลือก “ตีความใหม่” ให้มนุษย์ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลธรรมชาติอย่างรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ใช่ผู้เอาเปรียบ ดรอซชวนให้เรามีความถ่อมตนทางศีลธรรม กล่าวคือ ยอมรับว่าเราอาจไม่มีทางเข้าใจสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างแท้จริง แต่เรายังสามารถเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจ และจินตนาการถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาได้ ซึ่งท่าทีแบบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องหนีจากความเป็นมนุษย์ของเราเอง
แม้บทความของดรอซจะมีจุดแข็งด้านการวิเคราะห์ที่ลุ่มลึกและการเปิดมุมมองหลากหลาย แต่ก็มีจุดอ่อนบางประการที่ควรกล่าวถึง ประการแรกคือ ระดับภาษาที่ค่อนข้างเป็นทฤษฎีและวิชาการ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อมรู้สึกเข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อต้องทำความเข้าใจกับแนวคิดเชิงนามธรรมและคำเฉพาะในปรัชญา เช่น ภววิทยา (ontology) คุณค่าภายใน (intrinsic value) และการจำแนกประเภทของ “anthropocentrism” อีกจุดหนึ่งคือ บทความนี้เน้นการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีมากกว่าการนำเสนอแนวทางปฏิบัติ กล่าวคือ แม้จะชวนให้ตีความใหม่ว่ามนุษย์ควรมีบทบาทอย่างไรต่อธรรมชาติ แต่ไม่ได้ลงลึกว่าเราจะเปลี่ยนทัศนคตินี้ในชีวิตประจำวัน สื่อ การศึกษา หรือในระดับนโยบายได้อย่างไร
นอกจากนี้ แม้ว่าดรอซจะพยายามเปิดพื้นที่ให้กับความคิดที่หลากหลาย แต่กรอบแนวคิดหลักของบทความก็ยังอยู่ในบริบทของปรัชญาตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ขาดเสียงหรือมุมมองจากภูมิภาคอื่น เช่น เอเชีย แอฟริกา หรือชุมชนชนพื้นเมือง ซึ่งหลายแห่งมีมุมมองต่อธรรมชาติที่ไม่ตั้งอยู่บนฐานคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบทความของดรอซจะเน้นบริบทปรัชญาตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ แต่เราสามารถคิดวิเคราะห์เทียบเคียงจากบริบทหรือวัฒนธรรมของเราเองในฐานะผู้อ่านว่ามีมุมมองแบบ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” หรือไม่ ในความหมายใด และเป็นแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ (ผู้อ่านอาจมองหาและตั้งคำถามต่อแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางที่แฝงอยู่ในจารีต วัฒนธรรม และภาษาในสังคมไทย)
รูปที่ 5. ตัวอย่างคำสอนทางพุทธศาสนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
ภาพจากเพจ “พุทธที่แท้จริง” https://tinyurl.com/25zhd7k2
ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานวิชาการทางด้านปรัชญาจีนและมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสัตว์และสิ่งแวดล้อมในปรัชญาจีนยุคคลาสสิคตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาเอก การอ่านบทความนี้ของดรอซ ทำให้หันกลับไปทบทวนว่าข้อถกเถียงประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมในปรัชญาจีน โดยใช้กรอบคิดเรื่อง “anthropocentrism” มีความระมัดระวังในการให้ความหมายกับคำนี้มากน้อยแค่ไหน? ในบริบทปรัชญาจีน คำว่า “มนุษย์” ใช้ในความหมายใด? และ “เป็นศูนย์กลาง” จากอะไร? ผู้ที่ศึกษาและสนใจปรัชญาจีน คงทราบดีว่า ปรัชญาสำนักขงจื่อมักถูกแปะป้ายไว้เสมอว่ามีแนวคิดที่ใกล้เคียงกับ “anthropocentrism” เนื่องจากสำนักขงจื่อมีท่าทีเป็นมนุษยนิยม (humanism) แต่จากบทความของดรอซ การจัดให้ปรัชญาสำนักขงจื่อมีแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางดังกล่าว จำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะแนวคิดนี้ในบางความหมาย อาจไม่จำเป็นต้องเป็น “ผู้ร้าย” ต่อสิ่งแวดล้อมเสมอไป
รูปที่ 6. ขงจื่อกับปรัชญาสิ่งแวดล้อม
สำหรับผู้อ่านทั่วไปหรือผู้ที่สนใจประเด็นสิ่งแวดล้อม บทความนี้มีคุณค่าในฐานะที่งานนี้ไม่เพียงเสนอข้อมูลหรือมุมมองใหม่ แต่ยังชวนให้เราทบทวนวิธีคิดของตัวเองอย่างลึกซึ้ง บทความนี้ช่วยให้เราเห็นว่า การดูแลธรรมชาติไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการ “ทิ้งความเป็นมนุษย์” แต่เริ่มจากการตั้งคำถามง่ายๆ ว่า เราเคยมองธรรมชาติแบบเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัวหรือไม่? และเราจะอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างถ่อมตนได้อย่างไร? บทความนี้จึงไม่ใช่บทความสำหรับนักวิชาการเพียงกลุ่มเดียว แต่เหมาะกับทุกคนที่อยากเข้าใจโลกมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนความห่วงใยสิ่งแวดล้อมให้เป็นความเข้าใจ และเปลี่ยนความเข้าใจให้กลายเป็นท่าทีที่อ่อนโยนต่อทั้งมนุษย์และโลกที่เราอยู่ร่วมกัน
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |