บทปริทัศน์หนังสือ “ทหารมีไว้ทำไม: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลี” ของ นิธิ เนื่องจำนงค์
โดย อาจารย์ ดร.ศิวพล ชมภูพันธุ์
ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“ผลประโยชน์และอำนาจหลังฉากเช่นนี้แหละ เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันให้กองทัพต้องแทรกแซงทางการเมืองอย่างไม่เลิกรา เมื่อไรที่การเมืองพัฒนาไปในทางที่จะทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง อาจปรับเปลี่ยนฐานะ, บทบาท หรือความสัมพันธ์กับรัฐของกองทัพไปได้ กองทัพก็อาจยึดอำนาจเพื่อสร้างเงื่อนไขที่การเลือกตั้งจะไม่มีวันตัดสินชี้ขาดในเมืองไทยได้อย่างอิสระและเด็ดขาดได้เลย...”
นิธิ เอียวศรีวงศ์, “กองทัพไทยกับการเมือง (4)” ใน มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 23-29 กันยายน 2565
รูปที่ 1. นิธิ เอียวศรีวงศ์ และนิธิ เนื่องจำนงค์
คำกล่าวข้างต้นคือบทสะท้อนอันมุ่งตรงถึงบทบาทของกองทัพไทยในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจาก “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ปัญญาชนคนสำคัญแห่งยุคสมัย และเหมาะสมที่จะเป็นฉากเปิดบทปริทัศน์หนังสือ “ทหารมีไว้ทำไม” ของ “นิธิ เนื่องจำนงค์” นักวิชาการรัฐศาสตร์ผู้ศึกษารากเหง้าและวิเคราะห์เส้นทางการจัดการ “ความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหาร” (civil-military relations) ที่มีผลต่อความเข้มแข็งของประชาธิปไตยระหว่างเกาหลีใต้และไทย ทั้งสองประเทศต่างมีประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยและบทบาทการแทรกแซงของกองทัพที่แทบจะไม่ต่างกัน แต่ “ทำไม” ถึงกลับมีผลลัพธ์ปลายทางที่แตกต่างกันเช่นนี้
พินิจ “ทหาร” ไทยและเกาหลีใต้ ท่ามกลางวิกฤตประชาธิปไตยเสื่อมถอย
ข้อเขียนของ “นิธิ” ทั้งสอง เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทการถดถอยหรือการเสื่อมคลายของประชาธิปไตยในหลายประเทศ จนก่อให้เกิดความกังวลใจถึงอนาคตของระบอบประชาธิปไตยร่วมสมัย นักวิชาการรัฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยเสนอว่า กระแสอำนาจนิยมใหม่มิได้มาในรูปแบบรัฐประหารแบบดั้งเดิม แต่แฝงตัวมากับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือผู้นำที่มีอำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่หันกลับมากัดกร่อนประชาธิปไตยเสียเอง หรือที่เรียกว่า “การเคลื่อนเข้าสู่ภาวะอำนาจนิยม” (Autocratization) นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงชี้ว่า โลกอาจกำลังอยู่ท่ามกลาง “คลื่นลูกที่สามของการเคลื่อนเข้าสู่ภาวะอำนาจนิยม” (third wave of autocratization) ก็เป็นได้ (ตัวอย่างดู Cassani & Tomini, 2019; Lührmann & Lindberg, 2019; Skaaning, 2020)
รูปที่ 2. ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 จำนวนประเทศที่มีลักษณะอำนาจนิยม (สีน้ำเงิน) เริ่มมีจำนวนมากกว่าประเทศที่มีลักษณะประชาธิปไตย (สีเหลือง)
จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Democratic_backsliding
อย่างไรก็ดี ในคลื่นลูกใหม่นี้ “ทหาร” ยังคงเป็นตัวแสดงที่ทรงพลังโดยเฉพาะประเทศที่ประชาธิปไตยยังไม่อาจลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง หรือไม่มีการปฏิรูปความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารอย่างแท้จริง; “ทหาร” จึงมิได้เป็นเพียงสถาบันที่ทำหน้าที่ป้องกันประเทศตามที่ควรจะเป็น แต่กลับตัวแปรนอกระบบที่สามารถกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเวลาที่การเลือกตั้งมิได้เอื้อประโยชน์ต่อโครงสร้างอำนาจเดิม
ความกังวลเช่นนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ การยึดอำนาจรัฐบาลโดยกองทัพก่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐไทยอย่างรุนแรง แม้การเลือกตั้งจะหวนคืนมาพร้อมความหวังในหมู่ประชาชน แต่กระบวนการประชาธิปไตยก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากอำนาจนอกระบบ จนก่อให้เกิดคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “รัฐประหารจะมีอีกหรือไม่” สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เพียง “เพราะเหตุใด ประชาธิปไตยถึงเปราะบาง” แต่อาจต้องย้อนถามว่า “เพราะเหตุใด พลเรือนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงไม่อาจควบคุมกองทัพได้” หรืออาจถามง่ายที่สุด ในระบอบประชาธิปไตย “ทหารมีไว้ทำไม”
รูปที่ 3. เปรียบเทียบการใช้กฎอัยการศึกระหว่างเกาหลีใต้กับไทย
แต่สำหรับเกาหลีใต้แล้ว คำถามนี้คงมีคำตอบได้อย่างชัดเจนว่า “การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในรัฐสภา หาใช่กองทัพเหมือนที่เคยผ่านมาอีกต่อไป” (ดู Kim, 2009)
คำตอบของเกาหลีใต้ต่อคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม” จึงแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
รูปที่ 4. บทความของ Lami Kim ในวารสาร Foreign Policy ที่กล่าวถึงความพยายามในการทำรัฐประหารของอดีตปธน. ยุน ซอกยอล เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024;
อ่านได้ที่ https://foreignpolicy.com/2024/12/06/south-korea-yoon-coup-civil-military-history-army/
หนังสือ “ทหารมีไว้ทำไม: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลีใต้” ของนิธิ เนื่องจำนงค์ ได้แสดงเส้นทางและกระบวนการการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตย (Democratic Consolidation) โดยชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่อธิบายความแข็งแรงของประชาธิปไตยเกาหลีใต้ ไม่ใช่เพียงพัฒนาการทางเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมการเมือง แต่คือ “การจัดวางกองทัพไว้ภายใต้การควบคุมของพลเรือน” อย่างแท้จริง ตั้งแต่ยุคหลังการเปลี่ยนผ่านในปี 1987
ประชาธิปไตยจะไม่เข้มแข็ง หากทหารยังไม่อยู่ภายใต้พลเรือน ?
ในผลงานชิ้นนี้ นิธิชี้ให้เห็นความสามารถในการลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ ผ่านกระบวนการการสร้างทหารอาชีพ และ “การสร้างความเป็นพลเมือง” (civilianization) กลายเป็นเครื่องค้ำจุนประชาธิปไตยไม่ให้ล้มเหมือนกรณีประเทศอื่น ๆ
แม้หนังสือจะให้น้ำหนักการนำเสนอกรณีเกาหลีใต้เป็นหลัก แต่นั่นกลับเป็นบทเรียนต้นแบบที่น่าศึกษาว่า “ทำอย่างไร จะให้กองทัพกลับเข้ากรมกอง และไม่เข้ามาแทรกแซงการเมืองอีก” กรณีของเกาหลีใต้จึงสะท้อนว่า การควบคุมกองทัพโดยพลเรือนมิใช่เพียงองค์ประกอบหนึ่งของประชาธิปไตยเท่านั้น แต่คือเงื่อนไขพื้นฐานที่ “ขาดไม่ได้” หากประชาธิปไตยจะหยั่งรากลึกและอยู่รอดในยุคที่ระบอบเลือกตั้งสามารถถูกยึดครองจากภายในได้ และนี่เป็น “ความต่าง” ที่รัฐไทยกลับขาด จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตย “ชะตาขาด” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รูปที่ 5. ประธานาธิบดีมุน แจ-อิน (คนที่โบกมือ) เดินร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม คณะเสนาธิการร่วม และผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯในเกาหลีใต้ (USFK)
เมื่อมองในแง่นี้ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยเองก็ผ่านประสบการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และการเปลี่ยนผ่านระบอบไม่ต่างจากเกาหลีใต้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่หลังจากนั้น ประเทศไทยกลับเผชิญการรัฐประหารซ้ำอีกครั้งในปี 2549 และตามมาด้วยการยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในปี 2557 เหตุการณ์เหล่านี้ทำลายความคาดหวังที่ว่า “ทหารจะไม่หวนกลับมา” และสร้างข้อเปรียบเทียบอันน่าตกใจว่า ไทยกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังคงเห็นการล้มรัฐบาลด้วยปืนและรถถังในศตวรรษที่ 21
รูปที่ 6. เหตุการณ์วันรัฐประหาร 23 ก.พ. 2534
ประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชมและชื่นชอบเป็นพิเศษคือเรื่องความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน
นิธิได้เสนอให้เห็นว่า ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยของเกาหลีใต้หลังเหตุการณ์เมืองกวางจู ไม่ใช่เพียงสังคมเท่านั้นที่เรียกร้องความยุติธรรม แต่แม้กระทั่งนายทหารอาชีพในกองทัพเองก็ไม่ขัดขวาง การเอาผิดกับกลุ่มนายทหารการเมืองที่เคยก่อรัฐประหารและสั่งปราบปรามประชาชน โดยมองว่าการกระทำนั้นคือ “ตราบาป” ขององค์กรทหาร และการนิ่งเฉยเสียจะเป็นการปล่อยให้ชื่อเสียงของกองทัพถูกกลืนไปกับความผิดพลาดของคนไม่กี่คน
รูปที่ 7. อดีตปธน.ชุนดูฮวานขึ้นศาลแขวงคดีเหตุการณ์เมืองกวางจู เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2020
นี่คือจุดเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่แต่กลับเกิดขึ้นกับประเทศที่ประชาธิปไตย “ไม่น่าเป็นไปได้” และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในหลายประเทศรวมถึงไทย เราแทบไม่เคยเห็นการลงโทษหรือกระบวนการรับผิดที่ชัดเจนต่อผู้ก่อรัฐประหาร ผู้ใช้อำนาจนอกระบบยังคงมีบทบาทในสังคม ไม่ว่าจะผ่านตำแหน่งทางการเมือง การออกสื่อ หรือแม้แต่ในฐานะผู้ชี้นำเชิงสัญลักษณ์ แน่นอนว่า ในที่นี้คงไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำว่าผู้ก่อการรัฐประหารในไทยมีเส้นทางชีวิตเช่นไร เพราะหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ได้บันทึกสิ่งนี้ไว้ในหนังสือแทบทุกเล่มอยู่แล้ว
รูปที่ 8. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น "ประธานองคมนตรี" เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2563 และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" เป็น "องคมนตรี" คนที่ 18 หลังพ้นตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566;
จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/334441
ตรงกันข้าม เกาหลีใต้ในยุคประชาธิปไตยสามารถเดินหน้าเอาผิดกับผู้นำทหารที่เคยมีอำนาจสูงสุดในอดีตได้ แม้จะเสี่ยงต่อแรงต้านหรือแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างมากก็ตาม กระบวนการนี้จึงมิใช่เพียง การเอาผิดย้อนหลัง แต่คือการยืนยันว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และประชาธิปไตยต้องยืนอยู่บนรากฐานของความรับผิด
รูปที่ 9. การนำนายทหาร (2 คนเป็นอดีต ปธน.) ที่เป็นผู้นำในการรัฐประหารมาขึ้นศาลในปี 1997
นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่รัฐบาลพลเรือนที่มาจากวิถีประชาธิปไตยเข้าเผชิญหน้าและจัดการกับ “อดีต” ของกองทัพอย่างตรงไปตรงมา และนั่นคือ “หมุดหมายสำคัญ” ที่ทำให้กองทัพไม่กลับเข้ามาแทรกแซงการเมืองดังที่นิธิเสนอไว้ในหนังสืออย่างชัดเจน
บทเรียนเช่นนี้ควรเป็นแม่แบบให้ประเทศประชาธิปไตยที่เคยบอบช้ำ และสร้างภาพจำว่ารัฐประหารมิได้เป็นเรื่องถูกต้องหรือการสร้างความชอบธรรมอันใด แต่เป็นการก่อความรุนแรงทางการเมืองที่ล้มระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้นมา
คำถามที่หนังสือเล่มนี้ตั้งไว้บนหน้าปก นิธิได้เรียบเรียงคำตอบให้แก่ผู้อ่านไว้อย่างเป็นระบบเรียบร้อยแล้ว
การเปรียบเทียบในหนังสือมิได้เสนอ “ความต่างที่ยิ่งใหญ่” แค่เพียงบอกว่า “เกาหลีใต้ทำอะไร” และ “ไทยมิได้ทำอะไร” แต่นี่อาจเป็นเครื่องมือนำทางการพิจารณาการเมืองร่วมสมัยว่า หากไม่มีการจัดการความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารแล้ว ประชาธิปไตยย่อมไม่อาจมั่นคงหรือกลายเป็น “กติกาเพียงหนึ่งเดียว” ที่ประชาชนเชื่อมั่นร่วมกันได้เลย
------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารแนะนำเพิ่มเติม
Cassani, A., & Tomini, L. (2019). Autocratization in post-Cold War political regimes. Palgrave Macmillan.
Lührmann, A., & Lindberg, S. I. (2019). A third wave of autocratization is here: what is new about it? Democratization, 26(7), 1095–1113.
Kim, K.-J. (2009). The soldier and the state in South Korea: Crafting democratic civilian control of the military. Journal of International and Area Studies, 21(2), 119-131.
Skaaning, S.-E. (2020). Waves of autocratization and democratization: A critical note on conceptualization and measurement. Democratization, 27(8), 1533–1542.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |