โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศิวัสว์ สุรกิจบวร
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในช่วงปลายปี 2024 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในระหว่างที่ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลีคนปัจจุบันดำรงตำแหน่ง โดยประธานาธิบดียุน ซอกยอลได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกในวันที่ 3 ธันวาคม 2024 ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแต่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นบททดสอบสำคัญของการดำรงอยู่ของประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ ประธานาธิบดียุน ซอกยอลได้ตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกในคืนวันที่ 3 ธันวาคม โดยอ้างภัยคุกคามจาก “กองกำลังต่อต้านรัฐ” และการรุกรานจากเกาหลีเหนือ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในเวลา 22:25 น.
ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชนและนักการเมืองจำนวนมาก การกระทำนี้เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปีที่เกาหลีใต้กลับมาใช้กฎอัยการศึก แม้ประธานาธิบดียุน ซอกยอลจะให้เหตุผลด้านความมั่นคง แต่ผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายค้านต่างวิเคราะห์ว่านี่เป็นการพยายามใช้กำลังทหารเพื่อระงับแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศ หลังจากที่รัฐบาลของเขาตกอยู่ในภาวะ “เป็ดง่อย (lame duck)” เนื่องจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางสมัย และเผชิญกับคะแนนนิยมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับภรรยาของเขาและข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตในรัฐบาล การประกาศกฎอัยการศึกจึงถูกมองว่าเป็นความพยายามสุดท้ายในการรักษาอำนาจ
รูปที่ 1. ประกาศใช้กฎอัยการศึกในของยุน ซอกยอล
จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้เกิดการตอบสนองจากสังคมเกาหลีใต้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปไตยรีบระดมสมาชิกรัฐสภาเข้าสู่การประชุมด่วน ในขณะเดียวกันประชาชนจำนวนมากได้ออกมาชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของประธานาธิบดี การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำไปสู่การลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกอย่างเป็นทางการในช่วงเช้ามืดของวันที่ 4 ธันวาคม โดยมีสมาชิกสภา 190 คนจาก 300 คนเข้าร่วม และลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอนการประกาศกฎอัยการศึก นับเป็นชัยชนะที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยของเกาหลีใต้
รูปที่ 2. การยกเลิกกฎอัยการศึก
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดียุน ซอกยอลได้ลุกลามเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2024 สภาแห่งชาติได้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดีด้วยเสียงข้างมาก หลังจากเสนอข้อกล่าวหาหลัก 5 ประการ ได้แก่ การประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่มีเงื่อนไขที่สมควร การพยายามปิดล้อมรัฐสภาด้วยกำลังทหาร การใช้อำนาจกดขี่คณะกรรมการการเลือกตั้ง การพยายามควบคุมการเมืองด้วยการจับกุมนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และการละเมิดหลักการของการแบ่งแยกอำนาจ
กระบวนการตัดสินได้ถูกส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการตัดสินใจทางกฎหมาย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2025 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เห็นชอบกับการถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าการกระทำของยุน ซอกยอลนั้นละเมิดรัฐธรรมนูญและหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง การส่งกำลังทหารเข้าสภา การคุกคามคณะกรรมการการเลือกตั้ง และการขัดขวางกระบวนการทางประชาธิปไตย ล้วนแล้วเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนและละเมิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐเกาหลี
หลังคำวินิจฉัยศาลได้ประกาศให้ถอดถอนประธานาธิบดีทันที ส่งผลให้ตำแหน่งว่างลงและนำไปสู่การกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ภายใน 60 วันหรือก่อนวันที่ 3 มิถุนายน 2025 ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างประกาศตนเพื่อเคารพคำตัดสินของศาล แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีจะรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
รูปที่ 3. ศาลรัฐธรรมนูญประกาศให้ถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอกยอล
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์การประกาศกฎอัยการศึกและการถอดถอนประธานาธิบดีในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางการเมืองของเกาหลีใต้ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงพลวัตของประชาธิปไตยที่สามารถปกป้องตนเองจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่ยังตอกย้ำบทบาทของสถาบันต่าง ๆ เช่น รัฐสภาและศาลรัฐธรรมนูญ ในการทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจอย่างเป็นอิสระ เหตุการณ์นี้ยังกลายเป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบกับวิกฤตทางการเมืองในอดีตคือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เมืองควังจูในวันที่ 18 พฤษภาคม 1980 ซึ่งประชาชนเกาหลีในขณะนั้นได้ต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อเพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของตนเอง
รูปที่ 4. การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เมืองควังจู
วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม 2024 แสดงให้เห็นว่าประชาชนเกาหลีใต้มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงมาก และพร้อมจะออกมาต่อสู้เพื่อรักษาหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมถึงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของภาคประชาชน รัฐสภา และศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏเป็นภาพสะท้อนที่ทรงพลังว่าความสำเร็จของประชาธิปไตยมิได้เป็นเพียงผลผลิตของรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ต้องอาศัยพลังจากประชาชนที่ไม่ยอมจำนนต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบเช่นกัน
หนังสือ “ทหารมีไว้ทำไม? การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตย ไทย-เกาหลีใต้” ของนิธิ เนื่องจำนงค์ เป็นผลงานวิชาการที่มีคุณค่าสำหรับการศึกษาทางด้านรัฐศาสตร์และเกาหลีศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม 2024 นั้นสร้างความตกตะลึงแก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการเมืองชาวไทยเป็นอย่างมาก สิ่งที่น่าสนใจก็คือทำไมสาธารณรัฐเกาหลีจึงรอดพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ได้? เนื่องจากประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของประเทศไทยนั้นไม่เคยปรากฏความสำเร็จในการตอบโต้อำนาจรัฐจากภาคประชาชนแม้เพียงสักครั้ง จึงกลายเป็นภาพจำของประชาชนคนไทยที่คุ้นชินกับการถูกอำนาจรัฐที่พกพาอาวุธมาอย่างเต็มอัตราศึกกำราบผู้ต่อต้านจนเสียสิ้น ยังไม่รวมถึงการแบ่งฝ่ายของประชาชนที่ขัดแย้งกันจนกล่าวได้ว่ามิอาจยืนร่วมสูดอากาศในที่เดียวกันได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ทางการเมืองของเกาหลีใต้ที่เกิดขึ้นในครั้งล่าสุดก็ชวนให้คนไทยบางส่วนที่สนใจในเรื่องของการเมืองการปกครองเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าเกาหลีใต้นั้นทำอย่างไรจึงสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบจากรัฐได้เช่นนี้
รูปที่ 5. การแบ่งฝ่ายของประชาชนและการรัฐประหาร
คำตอบดังกล่าวสามารถอธิบายได้จากการศึกษาหนังสือเล่มนี้ เนื่องด้วยผู้เขียนได้นำเสนอข้อมูลที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพในบริบทของประเทศไทยและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งอภิปรายประเด็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการทางทหารไปสู่ประชาธิปไตยที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยพลเรือนอย่างละเอียดและรอบด้าน โดยออกแบบเนื้อหาภายในเล่มแบ่งออกเป็นหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ การเมือง และสังคมที่เชื่อมโยงกับบทบาทของกองทัพในบริบทเฉพาะของแต่ละประเทศ
ในส่วนของเกาหลีใต้หนังสือได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและลึกซึ้งเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่ยุคเผด็จการทางทหารจนถึงยุคประชาธิปไตย รวมถึงบทบาทของกองทัพที่ค่อย ๆ ลดอิทธิพลทางการเมืองลงและปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรที่สนับสนุนประชาธิปไตยในที่สุด ข้อมูลที่นำเสนอในหนังสือช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและวิธีการจัดการกับอิทธิพลของกองทัพที่มีต่อระบบการเมือง ซึ่งสามารถเป็นแบบอย่างและแนวทางให้ประเทศไทยได้นำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตดังรายละเอียดต่อไปนี้
บทที่ 1 ผู้เขียนได้ฉายภาพของการควบคุมกองทัพโดยพลเรือนและการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยและเกาหลีใต้ และได้เสนอแนวทางการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยเริ่มจากการความเข้าใจว่ากองทัพในประเทศที่กำลังสร้างประชาธิปไตยจำเป็นต้องถูกควบคุมโดยพลเรือนอย่างแท้จริง (civilian control of military) เพื่อให้ประชาธิปไตยมั่นคงและยั่งยืน
รูปที่ 6. ตัวอย่างของ "พลเรือนคุมกองทัพ" ในสหรัฐฯ
การที่กองทัพมีอำนาจเกินขอบเขตจะทำให้การเมืองไม่สามารถพัฒนาได้และสุ่มเสี่ยงต่อการถอยหลังกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ แม้กองทัพจะไม่ใช่ศัตรูของประชาธิปไตยด้วยตัวของกองทัพเอง แต่ก็สามารถกลายเป็นภัยคุกคามได้ถ้าขาดการควบคุมที่เหมาะสม ผู้เขียนเน้นว่าสังคมประชาธิปไตยต้องสร้างกลไกทางสถาบัน เช่น รัฐสภา องค์กรตุลาการ และภาคประชาสังคม เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบกองทัพอย่างต่อเนื่อง การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เชื่อในหลักนิติรัฐ และการยอมรับว่ากองทัพมีหน้าที่จำกัดเฉพาะการป้องกันประเทศจากภัยภายนอกนั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องสร้างควบคู่ไปกับสถาบันประชาธิปไตย
เมื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของแนวคิดแล้วผู้เขียนได้นำพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจกับเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ในบทที่ 2 โดยได้อธิบายว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเกาหลีใต้เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายด้านที่สะสมมาอย่างยาวนาน การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1960–1970 ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่ที่ต้องการเสรีภาพและสิทธิพลเมืองมากขึ้น ภาคประชาสังคมเริ่มเข้มแข็งผ่านการก่อร่างสร้างตัวของขบวนการนักศึกษา สหภาพแรงงาน และสื่ออิสระ
ในขณะเดียวกันความไม่พอใจต่อเผด็จการทหารเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์การปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง เช่น การสังหารหมู่ที่เมืองควังจูในปี 1980 ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เกาหลีใต้จึงเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยผ่านแรงกดดันทั้งภายในประเทศและจากสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศโดยไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป และในบทที่ 3 ผู้เขียนได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของตัวแสดงต่าง ๆ ในการผลักดันให้กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน กลุ่มตัวแสดงเหล่านี้ ได้แก่ ผู้นำพลเรือน องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่มภายในกองทัพที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลพลเรือนหลังปี 1987 โดยเฉพาะในสมัยประธานาธิบดีคิม ยองซัม ผู้ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งในการทำให้กองทัพถอยห่างจากการเมือง เช่น การจัดการกับกลุ่มฮานาเฮวและการดำเนินคดีต่ออดีตผู้นำทหาร การควบคุมกองทัพจึงเป็นผลมาจากการผสานพลังของชนชั้นนำฝ่ายประชาธิปไตยกับขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงผลจากการเจรจาหรือการเปลี่ยนแปลงภายในกองทัพเพียงฝ่ายเดียว
รูปที่ 7. การผลักดันให้กองทัพเกาหลีใต้อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน
ในบทที่ 4 ผู้เขียนได้วิเคราะห์เกี่ยวกับการปฏิรูปความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารในเกาหลีใต้ ซึ่งกล่าวถึงกระบวนการปฏิรูปโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารในเกาหลีใต้หลังการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย การแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากพลเรือน การกำหนดให้นโยบายความมั่นคงอยู่ภายใต้การตัดสินใจของรัฐบาลพลเรือน การลดบทบาทของกองทัพในกิจการภายในประเทศ และการตรวจสอบงบประมาณของกองทัพโดยสภานิติบัญญัติ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรการสำคัญที่ทำให้กองทัพลดบทบาททางการเมืองลงอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้สังคมเกาหลีใต้ได้สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่ยอมรับการรัฐประหารและการแทรกแซงของกองทัพอย่างถาวร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงของประชาธิปไตยในระยะยาว
รูปที่ 8. การลดอำนาจของหน่วยบัญชาความมั่นคงภายใน (DSC)
และในบทที่ 5 ผู้เขียนได้นำเอาองค์ความรู้จากการศึกษาในกรณีของเกาหลีใต้มาวิพากษ์กรณีศึกษาของประเทศไทย โดยผู้เขียนได้วิเคราะห์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนและกองทัพในไทยไม่พัฒนาไปในทิศทางเดียวกันแบบเกาหลีใต้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ปี 2475 แต่กองทัพยังคงแทรกแซงการเมืองอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นกลไกหลักในการรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำบางกลุ่ม ความล้มเหลวในการสร้างสถาบันพลเรือนที่เข้มแข็ง และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับสถาบันกษัตริย์ รวมถึงวัฒนธรรมการเมืองที่ยอมรับการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่สามารถหยั่งรากลึกได้
ผู้เขียนจึงเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงในไทยจำเป็นต้องเริ่มจากการปรับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองให้พลเรือนสามารถควบคุมกองทัพได้จริง และต้องสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ยึดหลักนิติรัฐอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ผู้เขียนได้ขมวดปมในบทที่ 6 ที่เป็นบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ โดยได้สรุปว่าเส้นทางสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การมีรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้ง แต่ขึ้นอยู่กับการสร้างเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนอย่างแท้จริง ประเทศต้องมีภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งและมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่ยอมรับการแทรกแซงของทหาร รวมถึงจำเป็นต้องมีสถาบันต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจของกองทัพอย่างต่อเนื่อง เกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างสถาบัน และการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ขณะที่กรณีของไทยเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่สะท้อนให้เห็นว่าการปล่อยให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองอย่างต่อเนื่อง คืออุปสรรคสำคัญต่อการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง
รูปที่ 9. ประธานสภาซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทย (ฝ่ายรัฐบาล) ได้ขัดขวางการอภิปรายเรื่อง IO (ของกองทัพบก) และสั่งให้ สส.จากพรรคประชาชน (ฝ่ายค้าน) หยุดการอภิปราย; อันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเจตจำนงในการปฏิรูปกองทัพ
จากการวิเคราะห์ เปรียบเทียบและอธิบายอย่างเป็นระบบตั้งแต่บทที่ 1 ถึงบทที่ 6 ของหนังสือเล่มนี้ทำให้สามารถกล่าวได้ว่าการสร้างสรรค์หนังสือวิชาการในประเด็นนี้เป็นคุณูปการต่อวงการเกาหลีศึกษาอย่างมาก หนังสือเล่มนี้สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาการเมืองร่วมสมัยของเกาหลีใต้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงที่ทรงคุณค่าได้ เนื่องจากผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์เฉพาะของเกาหลีใต้ในการปฏิรูปสถาบันทหาร การสร้างประชาธิปไตย และการบริหารจัดการกองทัพภายใต้รัฐบาลพลเรือน
นักวิชาการและนักศึกษาสาขาวิชาเกาหลีศึกษาและสาขาที่เกี่ยวข้องจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลและมุมมองเชิงเปรียบเทียบระหว่างไทยและเกาหลีใต้ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือเล่มนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการอภิปรายเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอำนาจของกองทัพในระบบประชาธิปไตยของไทย ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและการนำเสนอมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและความรับผิดชอบของกองทัพในประเทศที่มีการปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย
หนังสือเล่มนี้จึงทำหน้าที่เป็นทั้งคู่มือและเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ในระดับนโยบายและในระดับประชาชนทั่วไป นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังนำเสนอกรณีศึกษาเฉพาะจากทั้งสองประเทศที่สามารถสะท้อนปัญหาเชิงระบบของกองทัพได้อย่างชัดเจน เช่น ปัญหาการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการแทรกแซงทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทย พร้อมทั้งนำเสนอบทเรียนจากเกาหลีใต้ที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จผ่านกระบวนการปฏิรูปอย่างเป็นระบบและโปร่งใส ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อกองทัพในฐานะสถาบันที่มีบทบาทสนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ควังจูในปี 1980 จะพบว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนเมืองควังจูได้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารของพลเอกช็อนดูฮวัน ในขณะที่ประชาชนปกป้องสิทธิของพวกตนโดยการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่กลับถูกปราบปรามอย่างรุนแรงจากภาครัฐ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความล้มเหลวของระบอบเผด็จการทหาร และยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของชาวเกาหลีใต้ในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
รูปที่ 10. ภาพยนตร์และซีรีย์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ควังจู
หนังสือเล่มนี้ช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบและบทเรียนที่สำคัญจากเหตุการณ์ควังจูอย่างชัดเจน โดยชี้ให้เห็นว่าการควบคุมกองทัพและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการป้องกันเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ในอนาคต ความเข้าใจพื้นฐานนี้จะช่วยทำให้นักศึกษาที่เรียนภาษาและวัฒนธรรมเกาหลีหรือผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเกาหลีศึกษาสามารถต่อยอดไปสู่สิ่งต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหนังสือได้อย่างมากมาย เช่น ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของเกาหลี โดยเฉพาะการทำความเข้าใจวรรณกรรมและสื่อบันเทิงของเกาหลีที่ถูกสร้างจากความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ควังจูในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งงานวรรณกรรมและสิ่งบันเทิงเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยและผลงานจำนวนหนึ่งก็ได้ถูกเผยแพร่ไปสู่สากลผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น วรรณกรรมเรื่อง “Human Acts” ของนักเขียนรางวัลโนเบลชาวเกาหลีนาม “ฮันกัง” ภาพยนตร์เรื่อง “A Taxi Driver” ของผู้กำกับ “ชังฮุน” ละครเรื่อง “Youth of May” จากช่อง KBS2 ซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนของนักเขียน “คิมแฮวอน” รวมถึงการทำความเข้าใจฉากหลังของวรรณกรรมและสิ่งบันเทิงอีกจำนวนมากที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่หลังสงครามเกาหลีจนถึงยุคประชาธิปไตยเต็มใบของเกาหลีใต้
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |