‘ กุญแจแห่งฟากฟ้า : เรขาคณิตวิเคราะห์ จากกรีกโบราณถึงนิวตัน ’ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของวิชาคณิตศาสตร์ นั่นคือวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry) ซึ่งมีส่วนสำคัญมากกับการเกิดขึ้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific revolution) ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16-17 นอกจากจะมีเนื้อหาที่น่าสนใจด้านประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีลักษณะของการเล่าเรื่องเป็นส่วนใหญ่ และไม่มีสูตรทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ มาทำให้ผู้อ่านต้องปวดหัวมากนัก ที่สำคัญบ้านเรายังมีคนเขียนหนังสือที่มีเนื้อหาแบบนี้น้อยมาก การเขียนงานโดยคนไทยที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นอาชีพ น่าจะทำให้ผู้อ่านคนไทย สามารถเข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ง่ายขึ้น โดยในปัจจุบันเราได้เห็นคือการแปลหนังสือประเภท Popular Science ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ที่เขียนเองโดยคนไทย ยังมีจำนวนน้อยอยู่
สำนักพิมพ์ Illuminations Editions จะพาทุกท่านรู้จักกับอาจารย์ ศุภวิทย์ ถาวรบุตร ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ปัจจุบันศุภวิทย์ทำงานเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Q : ช่วยเล่าเรื่องของตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมจบปริญญาตรี จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในปี 41 ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่กลับเลือกมาทำปริญญาโทต่อที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ มธ. จนจบในปี 46 ? คือก่อนต่อโท อาจารย์ยังมีโอกาสทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยสถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) และได้ใช้วิชาที่เรียนมาทางเศรษฐศาสตร์อีกด้วย ทำไมไม่เลือกเรียนโทต่อในคณะเศรษฐศาสตร์ แต่กลับมาเรียนต่อที่ภาคประวัติศาสตร์
A : ผมชอบเศรษฐศาสตร์นะ ขณะที่เรียนก็สนุกกับมันอย่างเต็มที่ เรียนจบทำงานก็ค่อนข้างตรงสายอีก แต่ส่วนตัวชอบประวัติศาสตร์มานาน ซึ่งชอบแบบงูๆ ปลาๆ ชอบอ่านแต่ไม่ได้คิดจะยึดเป็นวิชาชีพ และสมัยเรียน ป.ตรี เคยมีโอกาสมาลงวิชาประวัติศาสตร์บ้าง เจอกับอาจารย์ที่สอนเก่ง มีเกร็ดความรู้เยอะ จึงรู้สึกว่าการเรียนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยสนุก ไม่เหมือนเรียนในโรงเรียน ระหว่างที่ทำงานหลังเรียนจบ ซึ่งไม่ต้องเน้นอ่านหนังสือเรียนหรือตำราเหมือนสมัยเรียน ช่วงนั้นอยากอ่านหนังสืออะไรก็ซื้ออ่านทั้งหมด ส่วนมากเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ตามความชอบส่วนตัว พอได้อ่านมากเข้ารู้สึกสนุก เจอเพดานความรู้อีกมากที่การเรียนประถมมัธยมไปไม่ถึง ตอนนั้นอ่านประวัติศาสตร์ไทยเยอะ อ่านทั้ง นิธิ สุเนตร สมศักดิ์ ธงชัย ฯลฯ อ่านไปคิดไปว่าทำไมตอนเรียนในแบบเรียนไม่สนุกอย่างนี้ เมื่อได้อ่านมากเริ่มอยากเขียน เคยลองเขียนบทความส่งไปศิลปวัฒนธรรม เขาให้ลงตีพิมพ์ ดีใจมาก ทั้งหมดเหมือนโดนประวัติศาสตร์ดึงดูดเข้าหาเรื่อยๆ เมื่อชีวิตวนเวียนกับการอ่าน คิด เขียน ติดตามการดีเบตต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ ก็เลยคิดว่าลองเรียนประวัติศาสตร์ดูสักหน่อย จะได้รู้ว่าที่เรียนแบบจริงจังเขาเรียนกันอย่างไร ส่วนแรกที่เล่ามานี้เกี่ยวกับ passion เป็นหลักครับ
ส่วนในแง่วิชาการเริ่มมีมุมมองว่า เศรษฐศาสตร์ก็ดีนะ เรียนสนุก แต่เศรษฐศาสตร์ (ซึ่งยิ่งเรียนสูง ยิ่งเน้น mathematical model) ไม่ตอบสนองความใคร่รู้ของเราทั้งหมด เคยเรียนกับ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ซึ่งท่านสอนวิชาเศรษฐกิจประเทศไทย พัฒนาการหลายเรื่องที่เราฟังแล้ว เรียนแล้วรู้สึกเลยว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไม่ได้ตอบได้ทั้งหมด ปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทย บทบาทสหรัฐฯ ในยุคสมัยอเมริกัน หรือการอธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐกิจการเมืองของรัฐบาลทั้งทหารและพลเรือนในอดีต หลัง 14 ตุลาเกิดอะไรขึ้นในสังคมเศรษฐกิจไทย เปลี่ยนขั้วอำนาจกันอย่างไร ฯลฯ เราต้องทำความเข้าใจกับชุดความสัมพันธ์เยอะมาก จึงจะเข้าใจจุดยืนของใครต่อใครในเรื่องต่างๆ นี่เป็นอีกเหตุผลที่รู้สึกว่า ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ ไม่รู้บริบทอะไรเลย ต่อให้มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ก็อาจทำความเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาในสังคมไม่ได้ทั้งหมด

ศุภวิทย์ ถาวรบุตร ผู้เขียน
Q : พอเรียนจบโท อาจารย์ก็ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การทูตในกระทรวงการต่างประเทศ และยังได้ไปทำงานเป็นเลขานุการโทประจำสถานทูต ณ กรุงนิวเดลี ตั้งแต่ช่วง 2549-2552 ทำไมถึงเปลี่ยนใจมาทำงานเป็นอาจารย์ที่สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ที่ มธ.?
A : ถ้าพูดตรงๆ ผมเข้าไปทำงานกระทรวงการต่างประเทศแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตั้งแต่เด็กรู้แค่ว่าเป็นหน่วยงานที่สอบเข้ายาก และพอเรียนเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้เคยนึกถึงกระทรวงนี้ ซึ่งต่างจากพวกรัฐศาสตร์ที่เขามักจะหมายมั่นปั้นมือกัน แต่คุณพ่ออยากให้ไปลองสอบ ผมก็ไป พอสอบเข้ารอบลึกไปเรื่อยๆ สอบติดจนได้รับราชการที่นั่นและไปประจำการสถานทูตไทยในต่างประเทศมาแล้ว โดยเนื้องานก็มีทั้งช่วงที่สนุกกับมันและไม่สนุก แต่ที่สัมผัสได้แน่ๆ คือ การใช้ความคิดอ่านต่างๆ ในงานที่กระทรวง ไม่ใช่ความคิดอ่านแบบที่เรามีอารมณ์ร่วมนัก บางเรื่องไม่ต้องคิดมากแต่นโยบายเป็นอย่างนี้ ข้าราชการก็ต้องแสดงบทบาทตามนั้น จะเห็นด้วยกับนโยบายหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พอถึงจังหวะเปลี่ยนงาน ต้องขออ้างถึง อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เพราะเมื่อผมเรียนจบปริญญาโทไปแล้วก็ไม่ได้ติดตามหรือติดต่อกับภาควิชาอีกเลย ยิ่งมีงานประจำรัดก็ดตัวยิ่งขาดช่วงไป จนกระทั่ง อ.สมศักดิ์ อีเมลมาหา ชักชวนว่ามีตำแหน่งว่างที่ธรรมศาสตร์ สนใจหรือไม่ ผมเคยปฏิเสธอาจารย์ไปในคราวแรกที่ชวน แต่ปีถัดมา อาจารย์ยังถามมาอีกครั้ง บวกกับผมเริ่มหมดสนุกกับงานที่ทำอยู่ ทั้งในแง่เนื้องานและแนวโน้มการใช้ความรู้ความคิดต่างๆ จึงตกลงกับ อ.สมศักดิ์ว่าจะมาลองสอบและสอบได้ ตอนแรกยังกังวลกันอยู่ว่าทิ้งวิชาการไปนานมาก แถมตอนนั้นไม่มีผลงานวิชาการใดๆ เลย ที่คณะจะรับหรือเปล่า
Q : ตอนทำ วพ.โท ที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ ทำไมถึงเลือกทำหัวข้อ ‘ประวัติศาสตร์ของวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์’ ละครับ ? มีนักศึกษาปริญญาโทคนอื่น ๆ เคยทำหัวข้อคล้าย ๆ กับของอาจารย์มาบ้างไหม และที่มาเป็นอาจารย์แล้ว มีลูกศิษย์ที่ทำ วพ. แบบนี้บ้างหรือเปล่า ?
A : คำตอบเรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น แรกเลยคือผมไม่ถนัดและไม่ชำนาญเรื่องการอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งอาจเพราะตอนเรียนปริญญาตรีไม่ได้เรียนสายนี้ด้วย ให้ศึกษาเพื่อประกอบการเรียนยังพอทำได้ แต่ถ้าถึงขั้นทำเป็นงานใหญ่ต้องคิดหนัก บวกกับปีที่ผมเข้าเรียนประวัติศาสตร์ รุ่นนั้นเรียนเน้นประวัติศาสตร์ตะวันตก ก็ต้องหาเรื่องทำที่เป็นของโลกตะวันตก
ประเด็นที่ 2 เป็นการคิดต่อเนื่องว่า ถ้าเช่นนั้นเรามีต้นทุนอะไร ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ซึ่งหลักสูตรที่ธรรมศาสตร์เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้ ส่วนมากเขาก็จะเรียนหมวดที่เป็นเชิงพรรณนากัน แต่ผมเรียนหมวดปริมาณ (quantitative) หมดเลย ทั้งคณิตเศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติ ที่มีให้ต้องเรียนแคลคูลัสกับสถิติ ผมก็ไปตามเก็บรายวิชาพวกนี้หมด แถมเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประกันภัยเป็นวิชาโท (minor) ตอนที่เรียนนั้นหลงใหลการเรียนคณิตศาสตร์มากจนชอบ จากประสบการณ์ที่เล่ามาเลยได้คิดว่าตัวเราพอจะอ่าน ‘ภาษาคณิตศาสตร์’ เป็นภาษาที่ 3 ได้อยู่บ้าง
จากจุดนี้จึงเริ่มไปหาหนังสือประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์มาอ่าน ห้องสมุดของธรรมศาสตร์มีอยู่หลายเล่ม เริ่มไปอ่านไปพลิกดู เกิดความตื่นตาตื่นใจมาก เอาเฉพาะเล่ม History of Mathematics ของ Boyer แค่พลิกดูสารบัญก็ตื่นเต้นแล้วครับ เขาพยายามประมวลการเกิดขึ้นของคณิตศาสตร์ในแต่ละยุคสมัย นั่นเป็นการเปิดโลกทัศน์อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะเวลาเราเรียนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ความรู้ทุกเรื่องมาถึงเราแบบที่ ‘เสมอภาคกันในมิติประวัติศาสตร์’ เช่น เขาสอนเรื่องเซตเราก็รู้จักเซต ก่อนสอนแคลคูลัสต้องสอนลิมิต เราก็รู้จักลิมิต สรุปแล้วทุกหัวข้อที่เรียนรู้แต่ว่าจะเรียนอะไร แต่ได้มาอย่างไรไม่เคยรู้ แต่ที่สำคัญคือ คณิตศาสตร์แต่ละแขนงไม่ได้มาไม่พร้อมกัน ในหนังสือที่ไปอ่านทำให้ได้เจอว่า Log เป็นผลงานของใครในช่วงศตวรรษไหน หรือทำไมพวกกรีกถึงเริ่มจากเรขาคณิตก่อน หรือตอนเรียนแคลคูลัสต้องเรียน L’hospital’s rule พอเปิดดู อ้าว เขาเป็นคนในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ห่างเราตั้งไกล ตอนนั้นเขาคิดขึ้นมาได้อย่างไร จนรู้สึกว่าตัวเราไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้เลยและมันน่าสนใจ
ส่วนที่ว่ามีคนอื่นทำหรือไม่ ตอบแบบตรงที่สุดคือไม่มีครับ ไม่เห็นเลย แต่คิดว่าเข้าใจได้ หากเทียบจากประสบการณ์ของผมเองซึ่งข้ามสาขา
Q : ถามถึงอนาคตบ้าง เนื่องจากเห็นอาจารย์ยังค้นคว้าเขียนบทความทางวิชาการเกี่ยวกับคณิตศาสตร์มาเรื่อยๆ อันนี้อาจารย์จะใช้งานด้านคณิตศาสตร์เหล่านี้ในการขอตำแหน่ง รศ. หรือ ศ. ยากหรือง่าย ประการใด ?
A : เคยใช้ในการขอตำแหน่งบางชิ้น แต่เมื่อเป็นตำแหน่งสูงขึ้นหลายชิ้นคงไม่ได้ใช้ เพราะไปติดเรื่องประเภทงานและเกณฑ์การเผยแพร่ เท่าที่ได้ feedback มา ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้อ่านงานนับว่าเปิดใจมากๆ และชื่นชมในความแปลกใหม่ของงาน ซึ่งผมคิดว่าดี เพราะระบบการขอตำแหน่งควรเป็นการประเมินแบบเปิดกว้าง คนที่ทำงานมามากกว่าอาจจะไม่ได้อ่านงานวิชาการกลุ่มใหม่ๆ หรือทิศทางใหม่ๆ ชนิดที่ต้องตีเนื้อหาแตกทั้งหมด แต่ประเมินได้จากความแหลมคมในการตั้งประเด็นและคุณภาพการค้นคว้า อย่างเรื่องที่ผมศึกษา ในวงวิชาการตะวันตกมีงานเขียนชิ้นสำคัญมากมาย งานใหม่ๆ ก็มีออกมาเรื่อยๆ ซึ่งแวดวงของไทยน่าจะได้มีโอกาสรับรู้บ้าง
หนังสือประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ที่ผมไปเจอ ๆ มันไม่ได้ลุกขึ้นมากวักมือเรียกหรอกว่า “มาอ่านฉันสิ ใช้ฉันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้นะ”
Q : อาจารย์เขียนตอนหนึ่งว่า ‘ ในแวดวงผู้สนใจประวัติศาสตร์ในสังคมไทย ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์นับเป็นประเด็นหนึ่งที่ได้ส่วนแบ่งจากการเปิดพื้นที่การศึกษาใหม่อย่างจำกัด การขยายความสนใจสู่ประเด็นใหม่ทางประวัติศาสตร์แทบไม่ได้รวมเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เอาไว้ ’ อันนี้อยากให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่า ทำไมนักประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยสนใจต่อประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ?
A : อาจารย์ที่ปรึกษาของผม (อ.ธาวิต สุขพานิช) เป็นคนสอนประวัติศาสตร์และก็บุกเบิกการสอนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ที่รอบรู้อย่างมาก ขณะเดียวกันก็สนใจเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ด้วย อาจารย์เคยบอกว่าปัญหาเรื่อง สายวิทย์-สายศิลป์ ทำให้ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ไม่ตรงกับใจของอาจารย์มากนัก ซึ่งก็โยงกับคำถามนี้ตรงที่ คนเรียนประวัติศาสตร์ส่วนมากมาจากสายศิลป์ เกิดเป็นความเคยชินว่าประวัติศาสตร์ต้องแนวนี้เพราะไป ‘อ่านเอกสาร’ ‘อ่านหลักฐาน’ อยู่กับตัวหนังสือ ตัวบท ตัวอักษร ไม่ได้ใช้อะไรที่เป็นวิทย์ เขาก็เลยไม่ได้ถือเอาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานให้ศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์สักเท่าไร ช่องว่างจึงเกิดขึ้น
ระยะหลัง สัก 2 ทศวรรษมานี้ จะเริ่มเห็นแนวโน้มไปอ่านเอกสารหรือหลักฐานใหม่ๆ กันมากขึ้น มีผลงานการศึกษาประวัติศาสตร์แปลกๆ ผ่านสื่อใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ แต่ถึงที่สุดคนยังเป็นฝ่ายเลือก การเลือกก็ยังต้องมาจากสิ่งที่คนอ่านอ่านแล้วนำมาทำงานต่อได้ หลักฐานไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกนะครับ หนังสือประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ที่ผมไปเจอๆ มันไม่ได้ลุกขึ้นมากวักมือเรียกหรอกว่า “มาอ่านฉันสิ ใช้ฉันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้นะ” เมื่อคนไม่เลือกเพราะเขาคิดว่าขาดพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจ ต่อให้วรรณกรรมกลุ่มนี้มีอยู่ก็คงไม่ได้อานิสงส์จากการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ
ดังนั้น ความไม่สนใจนี้น่าจะสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่าและก่อตัวมาตั้งแต่การเรียนในระบบโรงเรียน คือ คนกลุ่มหนึ่ง ‘หนี’ การเรียนวิทย์ เรียนเลข คนเรียนไม่รู้สึกสนุกกับมัน เมื่อเขาทิ้งตรงนี้และไปทำงานด้านอื่น เช่น ประวัติศาสตร์ ต่อไปเขาก็ย่อมเลือกศึกษาหัวข้อที่เขาไม่รู้สึกว่าเป็นอุปสรรคในการทำงาน
Q : ที่บอกว่า ‘ส่วนใหญ่ของผู้ศึกษาประวัติศาสตร์คือคนที่ ‘ไม่เอาเลข’ หรือเห็นประวัติศาสตร์เป็นทางเลือกทางการศึกษาที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในการศึกษาวิจัย เมื่อเทียบกับการหยิบยืมองค์ความรู้ข้ามศาสตร์อื่นๆ เช่น รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา วรรณคดีเปรียบเทียบ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา หรือโบราณคดี’ อันนี้อยากให้ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อย แล้วในทางกลับกัน พวกที่เรียนสายวิทย์ หรือพวกที่ต้องเรียนเลข อาจารย์คิดว่าพวกเขาสนใจศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กันขนาดไหนครับ ? โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ ? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
A : เรื่องนี้เป็นประเด็นเรื่องความแปลกแยกครับ ประวัติศาสตร์อ้างงานข้ามสาขาไม่น้อยในบรรดาสาขาที่เอ่ยมา มีให้เห็นเยอะจนไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก แต่ผมมองอีกมุมหนึ่ง ผมมองว่าประวัติศาสตร์จริงๆ ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ไม่มีใครรู้หรือนึกหรอกว่ากำลัง ‘สร้างประวัติศาสตร์’ เช่น สุนทรภู่เดินทางและแต่งนิราศ ท่านทำไปของท่าน ไม่ได้เขียนและคิดหรอกว่าภายหลังจะต้องมีคนนำงานของท่านมาอ้างในเชิงประวัติศาสตร์ ดังนั้น ตัวแสดงในทางประวัติศาสตร์ถ้ากล่าวอย่างเป็นธรรม ล้วนทำไปตามแรงขับหรือบริบทที่เกี่ยวข้องทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ในอดีตก็คงไม่ต่างกับสุนทรภู่ การทดลองหรือค้นพบของพวกเขา ถูกให้ความหมายเชิงประวัติศาสตร์จากคนรุ่นหลังที่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เขาคิดของเขาอีกแบบ
ถ้าเทียบแบบนี้ การแบ่งแยกไม่ได้มีมาตั้งแต่อดีตหรอกว่างานของฉันเป็นวิทย์ งานของเธอเป็นศิลป์ คนสมัยหลังอาจแบ่งแยกตามกรอบความรู้ที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่กับตัวแสดงทางประวัติศาสตร์ เขาคิดด้วยกรอบนี้จริงเหรอ นิวตันอธิบายจักรวาลเพราะเขาต้องการอธิบายมันให้ผู้คนทราบ นิวตันไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังเสนอ ‘กฎทางฟิสิกส์’ ชนิดที่ใครไม่เรียนฟิสิกส์อย่ามาอ่านงานของเขานะ ผมจึงเห็นว่า การหยิบตัวแสดงหรือแนวคิดในอดีตมาพิจารณาเชิงประวัติศาสตร์ต้องเปิดกว้าง ต่อให้เป็นผลงานเชิงวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อต้องการสะท้อนความเป็นไปของอดีต มันต้องมีอะไรให้ค้นหา คำถามประเภท “ทำไมคนๆ นี้จึงคิดเรื่องนี้ ในเวลานี้” ควรใช้กับตัวแสดงทางประวัติศาสตร์ได้ไม่ว่าจะสายไหน ลองมอง นิวตันแบบที่มองสุนทรภู่ดูบ้าง
อีกด้านหนึ่ง ผมเคยเจอกับคนที่เรียนสายวิทย์ พอรู้ว่าเราสอนประวัติศาสตร์คำถามก็จะมาแนวว่า ตกลงเรื่องไหนจริง คนนี้ดีหรือไม่ดี ซึ่งก็ไม่ว่ากันเพราะนักประวัติศาสตร์มักโดนถามแบบนี้จากคนต่างวงการ ไม่ว่าจะวิทย์หรือไม่วิทย์ แต่นี่สะท้อนว่าศาสตร์แต่ละศาสตร์ไม่ค่อยรู้จักกัน ซึ่งประวัติศาสตร์เองก็เป็นนะครับที่ไม่รู้จักคนอื่น กรณีของสายวิทย์ คนที่สนใจประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เชื่อว่าคงมีอยู่ แต่เท่าที่เห็นโดยมากมักจะสนใจเรื่องการค้นพบมากกว่าบริบท คือ สนใจว่าใครพบเรื่องนี้ พบเมื่อไร แต่ไม่ค่อยตั้งคำถามกับบริบทว่า ข้อค้นพบมันสัมพันธ์อย่างไรกับสถานการณ์ในศตวรรษนั้นๆ ซึ่งก็โทษกันไม่ได้อีก เพราะอย่างที่บอกไปว่าวิธีเรียนของเขาเน้นการนำไปใช้ภายหน้า มากกว่าจะเอาความรู้นั้นกลับไปเข้าใจอดีต ทั้งที่มันใช้ในจุดนี้ได้
Q : อาจารย์บอกว่า “ผลงานที่คนสมัยหลังยกย่องอย่างยิ่งใหญ่มักจะถูกมองข้ามบริบทการกำเนิด ทั้งที่การจะเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนผ่านโลกทัศน์ในสังคมหนึ่งๆ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีการปะทะทางความคิดในหลายแง่มุมบริบทจึงสำคัญอย่างยิ่งไม่ว่าในการศึกษาประวัติศาสตร์ทั่วๆไปหรือประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เช่น มักมีการตีความว่าวิทยาศาสตร์มาสยบความผิดพลาดทางศาสนา ลดทอนบทบาทของศาสนจักรไปโดยสิ้นเชิง แต่ในทางเป็นจริงในช่วงที่วิทยาศาสตร์กำลังก่อตัว นักคิดจำนวนมากยังอยู่ภายใต้อิทธิพลทางศาสนาอย่างน่าสนใจ” อาจารย์คิดว่า ทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงคิดว่าวิทยาศาสตร์ในตะวันตกเกิดขึ้นเพื่อหาข้อผิดพลาดทางศาสนา ? แล้วสังคมไทยที่จัดเป็นสังคมของชาวพุทธ ทำไมชาวไทยส่วนใหญ่ ไม่คิดว่าวิทยาศาสตร์จะมาจัดการกับข้อผิดพลาดของศาสนาพุทธบ้าง ?
ถ้าพวกคุณชอบอธิบายมนุษย์นิยมแบบนี้ (ชีวิตมนุษย์สำคัญกว่าศาสนา) ลองตอบซิว่า ทำไมผลงาน Renaissance ชิ้นเอกทั้งหลายที่ว่าเป็นมนุษย์นิยม ถึงเป็นผลงานทางศาสนา ทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม?
A : แยกตอบ 2 ส่วนนะครับ คนไทยจำนวนหนึ่งมักจะตีความประวัติศาสตร์ยุโรปแบบหักล้าง เพราะชุดเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยุโรปจำนวนหนึ่งมันชวนให้ ‘มโน’ ไปแบบนั้น เช่น การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ซึ่งในแบบเรียนก็จะเล่าว่า ค้นพบนั่น ค้นพบนี่ รู้แล้วว่าความเชื่อเดิมมันผิด การ ‘มโน’ ก็จะทำงานทันทีจน พาลไปคิดว่าเมื่อฝรั่งรู้คำตอบที่ถูกแล้ว ของเก่าก็ต้องล้มไปทั้งหมดสิ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย เรื่องนี้ถ้าบรรยายต้องว่ากันยาวมาก แต่ขอสรุปสั้นๆ ว่า การค้นพบมาไม่พร้อมกัน ดังนั้น วิทยาศาสตร์ยังต้องปฏิสัมพันธ์กับศาสนา (คริสต์) ไปอีก 200 ปีหลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การชี้ขาดความถูกผิดด้วยผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ราวกับว่าเมื่อมีงานของนิวตันแล้ว สังคมตะวันตกฉลาดขึ้นมาครบทุกด้านทันทีมันไม่จริงเลย เรื่องจริงต้องล้มลุกคลุกคลานกันอีกมาก แต่ปัญหาคือเราเล่าประวัติศาสตร์ยุโรปแบบผิวเผิน เช่น เจอกระแสมนุษย์นิยม (Humanism) ก็จะโยงเอาเลยว่ากระแสนี้ลดบทบาทชี้นำของศาสนา แต่เรื่องจริงกระแสความคิดทั้งสองฟากปฏิสัมพันธ์กันยาวนานในรอบ 200 ปีของ Renaissance เกิดผลผลิตมากมาย เวลาสอนผมยังชอบกระตุ้นนักศึกษาเลยว่า ถ้าพวกคุณชอบอธิบายมนุษย์นิยมแบบนี้ (ชีวิตมนุษย์สำคัญกว่าศาสนา) ลองตอบซิว่า ทำไมผลงาน Renaissance ชิ้นเอกทั้งหลายที่ว่าเป็นมนุษย์นิยม ถึงเป็นผลงานทางศาสนา ทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม ? วิทยาศาสตร์ก็ต้องฝ่าฟันเรื่องพวกนี้ด้วยครับ ไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วชนะหมดทุกแนวรบในคราวเดียว
ถัดมาว่าด้วยสังคมไทย ประเด็นนี้ผมต้องสอนกันทั้งเทอมเพื่อวินิจฉัย แต่ถ้าตอบแบบรวบรัดตรงนี้ มันมีประสบการณ์เชิงสังคมที่ทำให้ไทยในช่วงเปิดรับความเป็นสมัยใหม่ทำ 2 เรื่องพร้อมกัน คือ แยกวิทยาศาสตร์ออกจากศาสนาคริสต์ กับ การจับแต่งพุทธว่าเป็นวิทยาศาสตร์ งานของ อ.ทวีศักดิ์ เคยพูดเรื่องนี้ และ อ.ธงชัย ก็แตะๆ เรื่องทำนองนี้อยู่มาก แต่ถึงที่สุดแล้วคือการวางศาสนาของตนเองให้อยู่คนละระนาบกันกับศาสนาของฝรั่ง เมื่ออยู่คนละระนาบ วิทยาศาสตร์กับคริสต์ (ในสายตาสังคมไทย) เป็นเรื่องของ correction (การแก้ไขให้ถูกต้อง) แต่วิทยาศาสตร์กับพุทธเป็นเรื่อง confirmation (ยืนยันว่าถูก) เราจึงพบเจอประโยค “ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์” อยู่เรื่อยมา ยังไม่นับว่า การเถียงในเรื่องนี้สำหรับบางคน (ซึ่งค่อนไปทางคนหมู่มาก) มีท่าทีแบบชาตินิยมสูงด้วย ทำให้การถกเถียงอย่างแท้จริงเป็นไปได้ยาก ขณะที่สังคมตะวันตกโดยเฉพาะศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมามีวุฒิภาวะในเรื่องนี้สูงกว่า และศาสนาคริสต์ก็ยังดำรงอยู่ในสังคมได้

Q : นักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกๆ หรือเราอาจจะเรียกเขาว่า นักปรัชญาธรรมชาติ อย่าง โคเปอร์นิคัส กาลิเลโอ เคปเลอร์ หรือนิวตัน คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อในศาสนาด้วยกันทั้งนั้น ทำไมคนเหล่านี้จึงสามารถค้นพบกฎทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะกาลิเลโอ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่า เขาถูกศาสนจักรลงโทษ แต่หนังสือของอาจารย์กลับบอกว่ากาลิเลโอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถาบันทางศาสนาในตอนนั้น
A : ตอบคร่าวๆ นะครับ ในหนังสือที่เขียนจะละเอียดกว่านี้ คนกลุ่มนี้ (และจริงๆ ปราชญ์ในช่วงตั้งแต่ปลายยุคกลาง) ยังเชื่อในความยิ่งใหญ่และการสร้าง (creation) ของพระผู้เป็นเจ้า โจทย์ของเขาคือจะเข้าใจสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นอย่างไรจึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เมื่อมีข้อค้นพบใหม่ๆ สำหรับพวกเขาคือการยืนยันว่านี่คือพระประสงค์ที่แท้จริง สรรพสิ่งจึงเป็นไปตามที่เขาพบ ถ้ายังคงอธิบายผิดๆ กันต่อไปย่อมหมายถึงการเข้าใจเจตนาของพระผู้เป็นเจ้าผิดไปด้วย ดังนั้น ศาสนจักรจึงตกที่นั่งลำบากกว่าใครเพราะเคยไปยืนยันเรื่องที่ผิดไว้มาก เคยไปต้องห้ามเรื่องที่ถูก กรณีอย่างกาลิเลโอเขาจึงท้วงติงด้วยเจตนาดี มองว่าศาสนจักรน่าจะมารับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไปด้วยกัน ดีกว่าเป็นตัวตลกของยุคสมัยหากมัวแต่ยืนกรานความเชื่อผิดๆ
ดังนั้น แรงผลักดันของคนเหล่านี้เป็นแรงผลักดันเชิงศาสนา ต้องการจะเข้าใจธรรมชาติซึ่งพระเจ้าสร้างขึ้นและเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย เมื่อวิธีการทางวิทยาศาสตร์นำไปสู่ความถูกต้องได้ เขาก็ต้องใช้งานมัน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย ช่วงปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นแบบนี้จริงๆ ครับ ไม่ใช่เสนอเรื่องเหล่านี้มาเพื่อจะมาบอกว่า ไม่เอาพระเจ้า สำหรับศตวรรษนั้นความเชื่อในพระเจ้ายังอยู่ แต่ต้องเชื่อพร้อมกับเข้าใจอย่างถูกต้อง
Q : ถ้าเราพูดถึงงานของคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นโคเปอร์นิคัส กาลิเลโอ เคปเลอร์ หรือนิวตัน วิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ มันมีความสำคัญอย่างไร?
A : งานกลุ่มนี้แสดงให้เห็นว่า คณิตศาสตร์เป็นภาษาที่ใช้เข้าถึงความเป็นไปในธรรมชาติได้ เรขาคณิตวิเคราะห์ให้กรอบการมองความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ โดยเห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม สรุปคือมันสำคัญเพราะเกิดการตื่นตัวว่า หากจะเข้าใจธรรมชาติ (ที่สืบเนื่องมาจากพระผู้เป็นเจ้า) คุณต้องใช้ภาษานี้ ภาษาอื่นจะไม่เท่าทันความเป็นไปในธรรมชาติ เริ่มเห็นได้ว่าภาษาคณิตศาสตร์ช่วยให้เข้าถึงความจริง ทั้งหมดทำให้การศึกษาธรรมชาติและจักรวาลวิทยาในเชิงพรรณนาเริ่มแสดงข้อจำกัดออกมาเมื่อเทียบกับการศึกษาเชิงปริมาณ หรือก็คือ การได้มาซึ่งสารสนเทศ (information) สัมพันธ์กับภาษาที่ใช้ ขอเทียบให้เห็นชัดนะครับ จักรวาลเชิงพุทธของเรา เช่นเล่าเรื่องไตรภูมิอาศัยการพรรณนาล้วนๆ ข้างบนมีอะไร ข้างล่างมีอะไร ขึ้นกี่ชั้น ลงกี่ชั้น แต่งานของตะวันตกในช่วงเปลี่ยนผ่านเริ่มมาพร้อมกับสารสนเทศที่อิงจากธรรมชาติ โดยผ่านคณิตศาสตร์และเรขาคณิตวิเคราะห์ สารที่ได้ก็จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งไป
Q : เราอาจจะจัดนิวตันให้อยู่ในยุคของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ แล้วก่อนหน้านี้คณิตศาสตร์ก่อนหน้านี้ มันมีลักษณะเป็นอย่างไร อยากให้ช่วยอธิบายสั้นๆ แล้วกัน เพราะอาจารย์เขียนไว้อย่างละเอียดในหนังสือแล้ว
A : คณิตศาสตร์ก่อนหน้านี้ในโลกตะวันตกมีเรียนและบางเรื่องก็ลุ่มลึกด้วย แต่มิติที่ขาดไปอย่างมากคือการโยงกับสารสนเทศ (information) นี่แหละครับ กรีกศึกษาเรขาคณิตเยอะมาก ดูยุคลิดก็ได้ แต่จุดเปลี่ยนในศตวรรษที่ 16 เกิดจากที่ใช้การวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ (mathematical analysis) อย่างจริงจังกับข้อสนเทศที่ได้มามากขึ้นๆ แม้แต่ข้อสนเทศในอดีตก็เอามาตรวจสอบกันหมด คณิตศาสตร์ที่เป็นมาก่อนหน้าไม่ได้วางน้ำหนักในเรื่องนี้เลย อาจมีแตะๆ บ้างจากผลงานของบางคน แต่ในภาพรวมเป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้ในฟากนามธรรม ใช้เพื่อพัฒนาตรรกะและความคิด แต่ขาดการยึดโยงกับโลกธรรมชาติ หรือถ้ามีก็จะมีบ้างและออกแนว สุนทรียศาสตร์ (aesthetic) ไม่ใช่ในเชิงสารสนเทศ (informative)
Q : ในบรรดานักปรัชญาธรรมชาติเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น โคเปอร์นิคัส กาลิเลโอ เคปเลอร์ หรือนิวตัน อาจารย์ชื่นชมใครมากที่สุด และเพราะอะไร?
A : ถ้าให้เลือกชอบ Kepler มากที่สุด เพราะจุดยืนเขาค่อนข้างมองเรื่องความงามที่สอดคล้องระหว่างธรรมชาติกับคณิตศาสตร์มากกว่าใคร ซึ่งผมคิดว่าเป็น passion ที่น่าสนใจดี อย่างผมเองตอนเรียนคณิตศาสตร์เยอะๆ ผมจะตื่นเต้นกับวิชาทฤษฎีมากกว่าวิชาประยุกต์ รู้สึกว่ามันสวยงามกว่า หรือเวลาพิสูจน์อะไรได้สักข้อหนึ่ง ชอบความรู้สึกว่ามันเป็นมาแบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว วิชาประยุกต์ก็จะได้ประโยชน์ไปอีกแบบ แต่ที่รู้สึกว่างดงามจะอยู่ในวิชาทฤษฎี นี่อาจเป็นเหตุให้โน้มเอียงมาทาง Kepler ครับ
Q : ในหนังสือ อาจารย์บอกว่า กาลิเลโอไม่ค่อยสนใจงานของเคปเลอร์ ทั้ง ๆ ที่งานของเคปเลอร์มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการพัฒนามาถึงจุดสุดยอดในงานของนิวตัน อันนี้ช่วยอธิบายคร่าว ๆ หน่อยว่า เป็นเพราะอะไร ?
A : คำตอบในเรื่องนี้ต้องตีความครับ ในหนังสือก็พูดไว้ว่า Kepler เป็น Protestant แต่ Galileo เป็น Catholic ซึ่งต้องเข้าใจบริบทสักนิดว่า ในยุคสมัยของทั้งคู่ความแตกแยกทางศาสนาระหว่าง 2 นิกายเป็นประเด็นอย่างมาก มันปะทะทั้งความเชื่อ ศรัทธา และบางพื้นที่มีอารมณ์แบบชาตินิยมผสมอีกด้วย งานเขียนที่นำมาใช้อ้างก็ตีความว่า Galileo ซึ่งใกล้ชิดกับแวดวงคริสตจักรชั้นสูงของฝ่าย Catholic ข้ามไม่พ้นปมในเรื่องนี้ พูดภาษาแบบวงวิชาการสมัยหลังก็คืออคติและไม่ถูกโฉลก ดังนั้น ความไม่ชอบพอจากจุดยืนทางศาสนาเลยมีผลให้ละเลยผลงานทางความคิดของ Kepler และหากจะขยายความอีกนิด ก็น่าจะมีแง่มุมที่ได้จากการมองในเชิงประวัติศาสตร์ด้วย คือ ถ้ามองจากสมัยเรา เราทราบแล้วว่า Kepler สำคัญ เพราะเรารู้ เราถึงคิดว่าทำไมถึงไม่ตอบ Kepler ล่ะ แต่ตอนที่ Kepler ติดต่อกับ Galileo เขาน่าจะยัง no name อยู่ การที่ Galileo ละเลยจึงอาจจะมีส่วนผสมจากเรื่องนี้ เพราะ Galileo ไม่ได้ตระหนักในบทบาทของ Kepler เหมือนกับที่เราตระหนักแล้ว หากจะมองข้าม Kepler ก็เป็นไปตามความนึกคิดในเวลานั้นของเขา
หลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เรื่องราวต่างๆ ที่ศึกษาถูกมองด้วย “แว่น” ใหม่ ที่มองหาว่าเรื่องๆ นั้น มีเหตุปัจจัยหรือ factor ใดเกี่ยวข้องบ้าง
Q : ที่อาจารย์กล่าวในหนังสือว่า ‘จุดแตกต่างสำคัญที่ทำให้นิวตันต่างจากเคปเลอร์และอาจรวมถึงนักคิดคนอื่นๆ ด้วย คือ เคปเลอร์ได้กฎของเขามาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่บันทึกไว้ แต่ข้อค้นพบนั้นยังไม่ใช่กรอบทฤษฎีชัดเจนนัก แต่การค้นพบของนิวตันโยงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนที่ของวัตถุกับแรงที่กระทำต่อวัตถุออกมาในรูปสมการทางคณิตศาสตร์เป็นกรอบทฤษฎีใหม่และสื่อด้วยรูปแบบทางคณิตศาสตร์ จนคณิตศาสตร์กลายเป็นหนทางแสดงให้เห็นปรัชญาธรรมชาติที่แม่นยำ ซึ่งแนวคิดสายอริสโตเติลและจารีตชีวภาพไม่เข้าใจ’ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมอย่างคร่าว ๆ หน่อย
A : ขออธิบายแบบกระชับเลยนะครับ มันมีข้อแตกต่างระหว่างผลงาน งานของ Kepler เผยให้เห็น แบบแผน (pattern) จนได้วงโคจรที่เป็นวงรี หรือกฎของที่ 3 ของเขาก็แสดงความสัมพันธ์เชิงตัวเลข แต่ในแบบแผนที่เขาเผยนี้ยังไม่ได้แสดงเรื่อง ปัจจัย (factor) ครับ ขณะที่งานของนิวตันเป็นสมการที่เราเห็นปัจจัย เมื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยตามทฤษฎี มันอธิบายต่อได้ เช่น เมื่อระยะห่างเพิ่มขึ้น แรงดึงดูดจะอ่อนลง ถ้าออกไปพ้นแรงดึงดูดโลกจะอยู่ในภาวะไร้น้ำหนัก หรือมวลมีผลต่อแรงดึงดูดด้วย ดังนั้นถ้าเราไปอยู่ดาวเคราะห์ซึ่งขนาดใหญ่กว่าโลก เราจะเจอแรงดึงดูดมากกว่าตอนอยู่บนโลก การอธิบายให้ได้ทิศทางแบบนี้ต้องรู้ว่า factor ที่จะใช้อธิบายคืออะไรซึ่ง Kepler ยังทำไม่ได้เท่านิวตัน ด้วยจุดนี้ผมจึงแยกแยะงานของทั้งคู่ผ่าน keywords ทั้งสอง กรณีแรกระบุ pattern แต่กรณีหลังระบุ factor
กรณีที่เพิ่งหยิบยกนั้น จารีตชีวภาพกับสายอริสโตเติลยิ่งไม่เข้าใจ เพราะสำหรับพวกนั้น การเคลื่อนที่ถูกอธิบายในแง่เจตจำนง วัตถุตกเพราะมันอยู่ผิดที่ ที่มันคือพื้น คุณโยนขึ้นฟ้ามันก็ตก วิธีคิดแบบนี้ยิ่งไม่มี factor อะไรมาเกี่ยวข้องเลย นอกจากตัวมันเองรู้ว่าอยู่ผิดที่ พฤติกรรมตามธรรมชาติของวัตถุอธิบายผ่านวัตถุไม่ใช่เหตุปัจจัยที่ไปสัมพันธ์กับวัตถุ แต่เราจะเห็นว่าหลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เรื่องราวต่างๆ ที่ศึกษาถูกมองด้วย “แว่น” ใหม่ ที่มองหาว่าเรื่องๆ นั้น มีเหตุปัจจัยหรือ factor ใดเกี่ยวข้องบ้าง
Q : ขอถามซ้ำคำถามข้อเดิมนิดหน่อย เนื่องจากเคปเลอร์ก็มีการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ในกฎสามข้อของเขาเหมือนกัน ทำไมอาจารย์จึงบอกว่าเคปเลอร์ได้กฎของเขามาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่บันทึกไว้ แต่ข้อค้นพบนั้นยังไม่ใช่กรอบทฤษฎีชัดเจนนัก อันนี้อาจารย์หมายความว่าอย่างไร ?
A : ตามที่ตอบไปกับคำถามที่แล้วนะครับเพราะแนวทางตอบเดียวกัน แต่ถ้าเพิ่มเติมก็คือ ทฤษฎีที่ชัดเจนต้องนำไปสู่การทำนาย (predict) ศักยภาพการทำนายมาจากว่า ทฤษฎีนั้นรวมเหตุปัจจัยไว้เพียงพอหรือยัง เช่นเราทำนายว่า หากมนุษย์ไปดวงจันทร์จะกระโดดได้ง่ายกว่าที่โลก เราทำนายจาก factor คือมวล ซึ่งดวงจันทร์ขนาดเล็กกว่าโลก แรงดึงดูดจึงน้อยลง ดังนั้น การที่ Kepler ได้ผลงานมาในแบบ pattern เมื่อวัดในแง่กรอบทฤษฎีจึงยังด้อยกว่า
Q : สุดท้าย อาจารย์มีความหวังอะไรบ้างกับคนที่ได้อ่านหนังสือ ‘กุญแจแห่งฟากฟ้า: เรขาคณิตวิเคราะห์ จากกรีกโบราณถึงนิวตัน’ ?
A : หวังว่าจะสนุกกับมันครับ ที่ผมเขียนงานนี้ตั้งแต่ทีแรกคืออยากชี้ให้เห็นว่า การอ่านหรือศึกษาประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นที่จะต้องยุ่งยากซับซ้อนไปเสียหมด อย่างเรื่องนี้ หากเรียนคณิตศาสตร์ระดับม.ต้นมา เข้าใจความสัมพันธ์ของการคูณ การหาร การเพิ่ม การลด ที่อยู่ในสมการง่ายๆ ก็จะไม่ติดขัดใดๆ กับเนื้อหาในเล่มเลย และหวังว่าหากได้ลองข้ามอุปสรรคนี้แล้วจะช่วยให้เราเข้าถึงอีกแง่มุมของประวัติศาสตร์ ไม่ต้องมองด้วยความหวาดกลัวว่าหากนำประวัติศาสตร์ไปโยงกับความคิดและบุคคลในฟากวิทยาศาสตร์แล้วต้องเจอทางตันไปเสียหมด ซึ่งน่าจะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับการศึกษาประวัติศาสตร์โดยขยับจากหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์คุ้นเคยบ้าง อยากให้อ่านหนังสือแล้วได้มองประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ด้วยสายตาของความเป็นไปได้ครับ
______________________________________________________________________