ตอนที่ผู้เขียนได้อ่านหนังสือปรัชญาแมว ปัญญาเหมียว: แมวและความหมายของชีวิต (Feline Philosophy: Cats and the Meaning of Life) ของ จอห์น เกรย์ (John Gray) สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกได้ก็คือ งานเขียนชิ้นนี้ไม่ใช่งานวิชาการทางปรัชญาหรือทฤษฎีปรัชญาแบบที่ตัวผู้เขียนคุ้นเคย และดูจะเป็นหนังสือ self-help มากกว่าที่จะเป็นงานปรัชญา หรือหากจะจัดให้อยู่ในขอบเขตของปรัชญาก็อาจเป็นหนังสือจำพวกปรัชญาชีวิต (philosophy of life) เสียมากกว่า
รูปที่ 1.
ถึงอย่างนั้น จอห์น เกรย์ ก็ยังเป็นนักปรัชญา เราจะเห็นข้อเขียนของเขานั้นสร้าง argument ในหนังสือขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยการหยิบยกเรื่องราวต่าง ๆ ของแมวที่มีตัวตน รวมถึงเรื่องราวของแมวภายในนิยายด้วย ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มีความรู้สึกร่วมและมีอารมณ์คล้อยตามกับข้อเสนอของเกรย์ ขนาดตัวผู้เขียนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขาก็ยังรู้สึกมีอารมณ์กับการเขียนของเขา
จากนี้ไป ผู้จะขอเขียนรีวิว 'บทวิจารณ์หนังสือ ปรัชญาแมว ปัญญาเหมียว: แมวและความหมายของชีวิต' ของพิพัฒน์ พสุธารชาติ ในส่วนสุดท้ายของหนังสือปรัชญาหมาและสัตว์ศึกษาที่มี(ห)ม(า)นุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นงานที่ถกเถียงและโต้แย้งหนังสือปรัชญาแมวของ จอห์น เกรย์ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง และตัวผู้เขียนจึงขอที่จะเข้ามาร่วมในวงสนทนาครั้งนี้ด้วย
รูปที่ 2.
ในส่วนแรก พิพัฒน์ได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในตรรกะของเกรย์ โดยเฉพาะการใช้อุปมาเทียม (false analogy) ในการเปรียบเทียบความกังวลของมนุษย์และแมว เกรย์กล่าวว่า “มนุษย์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการไขว่คว้าหาความสุข ในขณะที่แมวมีความสุขอยู่แล้วโดยพื้นฐานยามไม่มีภยันตรายใด ๆ มากล้ำกราย” พิพัฒน์มองว่านี่เป็นอุปมาเทียม โดยโต้แย้งว่า แมวก็มีความกังวลและความทุกข์ได้เช่นกัน โดยยกตัวอย่างแมวชื่อเมโอ (Mèo) ซึ่งเกรย์ยกมาเป็นตัวอย่างในหนังสือ มีพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเครียด เช่น การขีดข่วนและกรีดร้องบนเครื่องบิน หรือการนอนตัวแข็งและสั่นเทาเมื่อถูกกักตัว พิพัฒน์ชี้ว่าอาการเหล่านี้ขัดแย้งกับแนวคิดของเกรย์ที่ว่าแมวมีความสุขโดยธรรมชาติเมื่อปราศจากภัยคุกคาม
อย่างไรก็ตาม เกรย์อาจไม่ได้ตั้งใจให้คำกล่าวนี้หมายความว่าแมวปราศจากความทุกข์ทั้งหมด ในฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือ เกรย์ระบุว่า “จิตใจของแมวเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยก แมวเจ็บปวดแล้วก็ลืม และกลับมามีความสุขกับชีวิตได้อีกครั้ง” ซึ่งหมายความได้ว่าแมวสามารถกลับสู่สภาวะความสุขได้เมื่อความทุกข์ผ่านพ้นไป แตกต่างจากมนุษย์ที่มักยึดติดกับความทุกข์หรือครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต กรณีของเมโอที่พิพัฒน์ยกมาเป็นสถานการณ์พิเศษ เช่น การเดินทาง 36 ชั่วโมง การกักตัว 6 เดือน และการย้ายถิ่นฐานที่อยู่ ซึ่งไม่ใช่สภาวะปกติของแมวทั่วไป
รูปที่ 3.
ในงาน Cat Sense: How the New Feline Science Can Make You a Better Friend to Your Pet ของ จอห์น แบรดชอว์ (John Bradshaw) อธิบายว่าแมวมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม และอาจแสดงอาการเครียดเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย เช่น การเดินทางหรือการย้ายที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม แบรดชอว์ยังกล่าวว่า แมวมีกลไกในการปรับตัวและฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดีเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ ซึ่งสนับสนุนมุมมองของเกรย์ว่าแมวสามารถกลับมามีความสุขได้หลังจากความทุกข์สิ้นสุดลง
นอกจากนี้ คำว่า “ความสุขโดยพื้นฐาน” ของเกรย์ว่าแมวต้องมีความสุขตลอดเวลานั้นอาจเป็นเพียงการชี้ว่าแมวไม่ต้องแสวงหาความสุขหรือการทำกิจกรรมทางปรัชญาเหมือนมนุษย์ ข้อความของเกรย์ไม่ได้หมายความว่าแมวจะปราศจากความทุกข์หรือความเครียดอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าแมวไม่ยึดติดกับความทุกข์หรือแสวงหาความหมายนอกเหนือจากชีวิตที่มันเป็นอยู่
ตัวผู้เขียนคิดว่า ความเครียดที่เกรย์หมายถึง คือความเครียดที่เป็นเรื่องนามธรรม เช่น ความกลัวตายที่เกิดจากสำนึกรู้ตัว (กล่าวในบทที่ 2 ของหนังสือปรัชญาแมว) ซึ่งแมวไม่สามารถที่จะมีความเครียดในลักษณะที่เป็นนามธรรมได้ อย่างมากแมวจะรู้ว่าตัวเองใกล้ตายก็ต่อเมื่อมันอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ จากนั้นมันจะเลือกที่จะอยู่ตามลำพัง และตายจากไปอย่างสงบ พบเห็นได้บ่อยกับแมวบ้านที่เลี้ยงในระบบเปิด ที่พิพัฒน์ยกตัวอย่างความเครียดของเมโอมานั้น ก็เป็นเพียงการแสดงความเครียดในลักษณะทางกายภาพหรือสภาวะที่มันกำลังเผชิญกับความเครียดอยู่ อย่างไรก็ตาม พิพัฒน์ก็ได้ให้เหตุผลว่าตั้งแต่ในส่วนแรก ๆ ของบทความแล้วว่า สุนัขไม่สามารถมีความกังวลและความเครียดได้แบบเดียวกับมนุษย์ เนื่องจากสุนัขไม่ได้เรียนหนังสือ หรือประกอบอาชีพเช่นเดียวกับมนุษย์ ในแง่นี้ แมวก็ไม่สามารถมีความเครียดหรือความวิตกกังวลในแบบเดียวกับมนุษย์ได้เช่นกัน ตัวผู้เขียนจึงต้องขอชมพิพัฒน์ว่าเขียนบทวิจารณ์โต้แย้งได้อย่างรัดกุมมาก
ที่สำคัญ เดนนิส ซี. เทอร์เนอร์ (Dennis C. Turner) และ แพทริก เบตสัน (Patrick Bateson) สองนักชีววิทยาได้เขียนงาน The Domestic Cat: The Biology of its Behaviour ร่วมกัน เห็นว่าแมวมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากประสบการณ์ แต่ไม่พบหลักฐานว่าแมวมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตหรือครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตอย่างมนุษย์ ความเครียดของแมวจึงมีลักษณะที่แตกต่างจากมนุษย์อย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นในงานที่ผู้เขียนหยิบมาอธิบาย ก็มีเนื้อหาสนับสนุนข้อเสนอของพิพัฒน์ได้อย่างครอบคลุม เพียงแต่ตัวผู้เขียนพยายามที่จะเข้าใจในมุมมองของเกรย์เท่านั้นเอง
ในส่วนที่สอง พิพัฒน์ได้วิจารณ์คำกล่าวของจอห์น เกรย์ ในหนังสือ ปรัชญาแมว ที่ระบุว่า “บ่อเกิดของปรัชญาคือความวิตกกังวล” โดยชี้ว่าคำกล่าวนี้มีลักษณะเป็นตรรกะวิบัติ (logical fallacy) พิพัฒน์โต้แย้งว่าคำกล่าวดังกล่าวขัดแย้งกับมุมมองของนักปรัชญากรีกโบราณ เช่น เพลโตและอริสโตเติล ซึ่งเสนอว่าปรัชญาเกิดจาก “ความแปลกใจ” (wonder หรือ thauma) อีกทั้งรากศัพท์ของคำว่า “ปรัชญา” ในภาษากรีก หมายถึง “การรักในความรู้” ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลเลย
สำหรับผู้เขียนเองที่เรียนในสาขาศาสนาและปรัชญา จึงเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของพิพัฒน์ที่ชี้ว่าปรัชญามีบ่อเกิดจากการรักในความรู้ ตัวอย่างเช่น อริสโตเติลกล่าวใน Metaphysics ว่า “เพราะอัศจรรย์ใจนั่นเอง ที่ทำให้มนุษย์เริ่มแสวงหาปรัชญา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน” และเพลโตเองก็เสนอแนวคิดที่คล้ายกันใน Theaetetus โดยกล่าวว่า “ความรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นเครื่องหมายของนักปรัชญา แท้จริงแล้ว ปรัชญาไม่มีจุดกำเนิดอื่นใด” ซึ่งบ่งบอกว่า อัศจรรย์ใจ หรือความแปลกใจเป็นแรงผลักดันสำคัญในการแสวงหาความรู้
รูปที่ 4.
จากที่ได้อ่านปรัชญาแมว หรือย้อนกลับไปงานเขียน ‘อำลามนุษยนิยม: ข้อคิดเกี่ยวกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ’ (Straw Dogs: Thoughts on Humans and Other Animals) ดูเหมือนเกรย์จะชอบปรัชญาเต๋าอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเต๋าเป็นแนวคิดที่ไม่มีลักษณะของ “ศีลธรรม” โดยเกรย์ได้เหตุผลในปรัชญาแมวบทที่สามว่า “ไม่ได้ทึกทักว่ามนุษย์ทุกคนต้องใช้ชีวิตแบบใดแบบหนึ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้ ทั้งยังไม่คิดเองเออเองว่าหัวใจของชีวิตที่ดีคือการเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น อันที่จริงชีวิตที่ดีหมายถึงการใช้ชีวิตเพื่อตัวเราเองให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่เราถือกำเนิดมา” และนี่เป็นลักษณะนิสัยของแมวตามธรรมชาติอย่างที่เกรย์เสนอมาโดยตลอดทั้งเล่ม
ปรัชญาเต๋าถือกำเนิดขึ้นในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งอยู่ในยุคแห่งความไม่สงบ เต็มไปด้วยสงครามและการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัฐต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม นักคิดสายเต๋า เช่น เล่าจื้อ (Laozi) และ จวงจื้อ (Zhuangzi) กลับมองว่าความพยายามของมนุษย์ในการควบคุมสังคมและกำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมนั้นเป็น ต้นเหตุของความทุกข์และความวุ่นวาย แทนที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ปรัชญาเต๋าไม่ได้ถือว่าความวิตกกังวล (anxiety) เป็น "จุดเริ่มต้น" ของการแสวงหาปัญญา แต่กลับมองว่าความวิตกกังวลเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเองจากความไม่เข้าใจในธรรมชาติของชีวิต ในแง่นี้ ปรัชญาเต๋าที่ตัวของเกรย์ชื่นชอบนั้น ก็ไม่ได้เป็นระบบปรัชญาหรือความเชื่อที่เกิดจากวิตกกังวลเลย ดังนั้นการที่เกรย์อ้างว่าปรัชญาและความเชื่อทางศาสนามาจากความวิตกกังวลจึงเป็นการเคลมใหญ่จนเกินไป (โดยไม่ได้ให้เหตุผลที่มากพอ)
รูปที่ 5.
และในส่วนที่สาม พิพัฒน์ ได้วิจารณ์ว่ามีการใช้วิธีคิดมานุษยรูปนิยม (anthropomorphism) ในหนังสือปรัชญาแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประโยคที่เกรย์กล่าวว่า “หากสายพันธุ์เจ้าเหมียวหันมาสนใจปรัชญา ก็คงเพราะมองปรัชญาเป็นเรื่องแต่งชั้นเยี่ยมชวนขบขัน” พิพัฒน์มองว่าการใช้ภาษาแบบนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากแมวไม่สามารถมีความรู้สึกหรือความคิดแบบมนุษย์ได้ เช่น การมองว่าปรัชญาเป็นเรื่องขบขัน (amusing) เพราะแมวขาดความสามารถในการคิดเชิงนามธรรมและการรับรู้ที่ซับซ้อนแบบมนุษย์
รูปที่ 6. ทาร์สกี้กับหนังสือ (จาก กนิษฐ์ (มิตินันท์วงศ์) ศิริจันทร์)
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวผู้เขียนเห็นว่า การใช้ภาษาแบบมานุษยรูปนิยมของเกรย์อาจไม่ได้มีเจตนาให้เราตีความตามตัวอักษร แต่เป็นการใช้วิธีทางวรรณศิลป์ (literary device) เพื่อสื่อถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์และแมวในแง่ของการแสวงหาความหมายของชีวิต เกรย์ต้องการชี้ให้เห็นว่าแมวสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งปรัชญา ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่มักครุ่นคิดและตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิตอย่างซับซ้อน ดังที่เกรย์เขียนว่า “แมวไม่ต้องการปรัชญา พวกมันใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติและมีความสุขไปกับชีวิตตามธรรมชาติ” การใช้ภาษาแบบนี้จึงเป็นวิธีการสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้อ่านไตร่ตรองถึงแนวคิดที่เกรย์ต้องการสื่อเพื่อให้คล้อยตามไปกับ argument ของเขาเท่านั้น
สุดท้ายนี้ หนังสือ 'ปรัชญาแมว ปัญญาเหมียว: แมวและความหมายของชีวิต' ของ จอห์น เกรย์ เป็นงานเขียนที่ผสมผสานเรื่องราวของแมวเข้ากับข้อเสนอทางปรัชญา โดยนำเสนอว่าแมวมีความสุขโดยพื้นฐานเมื่อปราศจากภัยคุกคาม และไม่ยึดติดกับความทุกข์หรือครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตแบบมนุษย์ อย่างไรก็ตาม บทวิจารณ์ของ พิพัฒน์ พสุธารชาติ ที่มีต่อปรัชญาแมวชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในตรรกะของจอห์น เกรย์ ผู้เขียนเห็นด้วยในหลายประเด็นของพิพัฒน์ โดยเฉพาะเรื่องจุดกำเนิดของปรัชญาที่ควรมาจากความแปลกใจมากกว่าความวิตกกังวล แต่ก็พยายามทำความเข้าใจมุมมองของเกรย์ด้วยเช่นเดียวกัน ว่าทำไมถึงเลือกใช้ธรรมชาติของแมวมาเป็นต้นแบบทางศีลธรรมให้มนุษย์ได้เรียนรู้จากแมว หนังสือปรัชญาแมวจึงเป็นทั้งหนังสือที่อ่านสนุกและน่าชวนถกเถียง ในขณะที่การวิพากษ์ของพิพัฒน์นี้ได้โต้แย้งได้อย่างมีเหตุผลหนักแน่น และสะท้อนถึงคุณค่าของการอ่านเชิงวิจารณ์ ซึ่งเป็นหัวสำคัญของการทำกิจกรรมทางปรัชญา
------------------------------------------------------------
เกรย์, จอห์น. (2565). ปรัชญาแมว ปัญญาเหมียว: แมวและความหมายของชีวิต. แปลโดย ภาคิน นิมมานนรวงศ์ และ มนภัทร จงดีไพศาล. กรุงเทพฯ: Bookscape.
Turner, D. C., & Bateson, P. (Eds.). (2014). The Domestic Cat: The Biology of its Behaviour (3rd ed.). Cambridge University Press.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |