ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนว่าจะรีวิว “หนังสือปรัชญาหมา” แค่ในส่วนบทที่ 9 กับ 10 ของ พนา กันธา เท่านั้น และเขียนบทความในฐานะผู้อ่านทางบ้านที่ชื่นชอบการอ่านงานวิชาการเป็นงานอดิเรก จึงอาจไม่สามาถให้มุมมองในทางวิชาการที่เข้มข้นเท่าใดนัก
ในบทที่ 9 ความ “จุดเปลี่ยนทางภววิทยากับสถานะของสัตว์” โดย พนา กันธา เป็นการวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับสถานะของสัตว์ในเชิงภววิทยา (ontology) และตั้งคำถามต่อกรอบคิดแบบดั้งเดิมที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ความรู้แบบสมัยใหม่มีรากฐานจากการแยกมนุษย์และสัตว์ออกจากกันผ่านแนวคิดแบบทวิภาวะ (dualism) ซึ่งทำให้มนุษย์ถูกมองว่าสูงกว่าสัตว์ในแง่ของความสามารถในการใช้เหตุผล ภาษา และอารมณ์ความรู้สึก บทความนี้สำรวจการเปลี่ยนแปลงทางภววิทยาที่นำไปสู่การตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับสถานะของสัตว์และโลกธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของ Anthropocene ส่งผลให้มนุษย์เริ่มตระหนักถึงผลกระทบของตนเองต่อโลก และเกิดกระแสแนวคิดใหม่ที่ไม่มองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
รูปที่ 1. ด้านซ้ายมือ ตำแหน่งที่โดดเด่นของมนุษยชาติเหนือสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งสัมพันธ์กับแนวคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนด้านขวามือคือระบบนิเวศน์เป็นศูนย์กลางที่ตระหนักถึงการปรับเทียบของมนุษย์และการเชื่อมต่อกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากกว่าที่จะครอบงำเหนือพวกมัน
พนา กันธา เริ่มต้นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์กรอบคิดแบบทวิภาวะที่แบ่งแยกธรรมชาติออกจากวัฒนธรรม ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิทยาศาสตร์และมานุษยวิทยาสมัยใหม่ แนวคิดดังกล่าวทำให้มนุษย์ถูกจัดวางให้อยู่เหนือสัตว์ และสัตว์กลายเป็นเพียงวัตถุแห่งการศึกษาในฐานะสิ่งที่มนุษย์สร้างความหมายให้ แทนที่จะถูกพิจารณาว่ามีสถานะเป็นตัวของมันเอง
อีกทั้งยังได้กลับมาตั้งคำถามต่อบทบาทของมนุษย์ในฐานะผู้กระทำต่อโลก และเริ่มทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับสัตว์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human) กระแสนี้เปิดพื้นที่ให้กับแนวคิดใหม่ ๆ ที่มองสัตว์ในฐานะสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ มีการกระทำ และมีบทบาทที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเชื่อกันมา โดยงานของฟิลิปป์ เดสโกลา (Philippe Descola) ถูกนำมาใช้อธิบายว่า โลกตะวันตกยึดแนวคิดภววิทยาแบบ ธรรมชาตินิยม (naturalism) มายาวนาน ซึ่งได้จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของมนุษย์ให้อยู่เหนือสัตว์และธรรมชาติ
รูปที่. 2 รุ้งคู่ที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ตามหลักธรรมชาตินิยม สาเหตุของปรากฏการณ์ทั้งหมดจะพบได้ในจักรวาล ไม่ใช่เกิดจากปัจจัยเหนือธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือจากนั้น
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ในโลกตะวันตกสัตว์มักถูกมองว่าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความคิดและไม่มีสถานะทางศีลธรรมเทียบเท่ามนุษย์ ภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมอาจมีรากฐานปรัชญากรีกโบราณและคริสต์ศาสนาที่ครอบงำโลกตะวันตก โดยเฉพาะในแนวคิดของอริสโตเติล (Aristotle) ที่ถือว่าสัตว์ไม่มี “จิตวิญญาณแห่งปัญญา” (intellective soul) เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ตามสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอด ไม่มีเหตุผลหรือความคิดในระดับเดียวกับมนุษย์ การแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับสัตว์นี้ ได้รับอิทธิพลจากกรอบคิดแบบทวินิยม (dualism) ที่แยก “ร่างกาย” ออกจาก “จิต” ทำให้มนุษย์ถูกยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาและความสามารถในการใช้เหตุผล ในขณะที่สัตว์ถูกลดทอนให้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีปัญญาและมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อดำรงชีวิตตราบจนสิ้นอายุขัยเท่านั้น
รูปที่ 3. เมื่อมนุษย์ใช้ศักยภาพของตนในด้านศีลธรรม เหตุผล และความเมตตาอย่างเต็มที่ พวกเขาก็ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและมีคุณธรรมมากที่สุดในโลก เหนือกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งหมด ในด้านความสามารถในการทำความดีและพฤติกรรมที่มีจริยธรรม; อริสโตเติล, Politics
นอกจากนี้ การแยกระหว่างมนุษย์และสัตว์มีรากฐานในคริสต์ศาสนา ซึ่งเน้นว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นตาม “ฉายาของพระเจ้า” (imago Dei) และคัมภีร์ไบเบิลใน ปฐมกาล 1:26-28 ระบุว่า
จะเห็นได้ว่า มนุษย์ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจเหนือสรรพสัตว์และปกครองโลก อันเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีสถานะสูงส่งกว่าและสัตว์มีอยู่เพื่อเป็นทรัพยากรให้แก่มนุษย์ในโลกตะวันตก นักบุญอย่างโธมัส อไควนัส (Thomas Aquinas) มองว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณที่เป็นอมตะและขาดเหตุผล (ratio) ทำให้มนุษย์มีคุณค่าทางศีลธรรมที่เหนือกว่า
ส่วนในบทที่ 10 การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในโลกแบบพหุภววิทยา ของ พนา กันธา เป็นงานที่ศึกษาต่อยอดจากแนวคิดพหุภววิทยา (multinaturalism) และการตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในโลกสมัยใหม่ ในบททความนี้พยายามสำรวจว่า มนุษย์และสัตว์มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรภายใต้บริบทของการไม่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (non-anthropocentric) ชี้ให้เห็นว่าโลกสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์และทุนนิยม ที่ได้สร้างเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเปลี่ยนแปลงไป
บทความชี้ให้เห็นว่า โลกก่อนยุคสมัยใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์มีลักษณะเป็น “สภาวะคู่ขนาน” (parallelism) ที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่มีลำดับชั้นแน่นอน มนุษย์และสัตว์ต่างมีบทบาทที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ระบบทุนนิยมและแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ได้สร้าง “การแตกหัก” (rupture) ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ทำให้สัตว์กลายเป็น “วัตถุแห่งการจ้องมอง” (object of sight) และอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ อีกทั้งงานของ จอห์น เบอร์เกอร์ (John Berger) คือ Why Look at Animals? ถูกนำมาใช้อธิบายว่าการเกิดขึ้นของระบบทุนนิยมทำให้สัตว์ถูกลดทอนให้เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัตถุทดลอง หรือเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ในขณะที่สมัยก่อนหรือพื้นที่แถบอื่นที่ไม่ใช่ยุโรป สัตว์มีบทบาทที่ซับซ้อนกว่า เช่น เป็นทั้งเพื่อน ผู้ล่า และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่มีความสัมพันธ์หลากหลาย
รูปที่ 4. จอห์น เบอร์เกอร์ กับ Why Look at Animals?
พนา กันธา ชี้ให้เห็นว่า “วัฒนธรรมสัตว์เลี้ยง” (pet culture) และ “สวนสัตว์” เป็นตัวอย่างของการลดทอนสัตว์ให้เป็นเพียงวัตถุของการจ้องมองและการบริโภคทางอารมณ์ มนุษย์ในโลกสมัยใหม่พยายามควบคุมและกำหนดสถานะของสัตว์ในกรอบที่ชัดเจน เช่น การจำแนกสัตว์เลี้ยง (pet) ออกจากสัตว์ป่า (wild animal) และสัตว์เศรษฐกิจ (livestock)
สวนสัตว์เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการควบคุมสัตว์ผ่านการทำให้สัตว์เป็นเพียง “สิ่งที่ถูกมอง” โดยมนุษย์ สวนสัตว์จึงเป็นพื้นที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจำลองธรรมชาติและจัดลำดับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ให้ชัดเจนขึ้นในระบบอำนาจของโลกสมัยใหม่
พนา กันธา เสนอแนวคิดพหุภววิทยา เพื่อเป็นทางเลือกในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ โดยนำงาน ฟิลิปป์ เดสโกลา และเอดูอาร์โด โคห์น (Eduardo Kohn) มาอธิบาย ซึ่งมองว่าโลกไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวแบบที่วิทยาศาสตร์ และโลกตะวันตกเข้าใจ แต่มีภววิทยาที่หลากหลายอยู่ในโลกนี้อีกด้วย รวมทั้งแนวคิดของวิญญาณนิยมใหม่ (new animism) และหลากสายพันธุ์นิพนธ์ (multispecies ethnography) ถูกนำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นว่าสัตว์ไม่ใช่เพียงวัตถุที่รอให้มนุษย์กำหนดความหมายให้เท่านั้น แต่สัตว์เองก็มี “ภาวะการเป็น” (being) ของตัวเอง และมีความสามารถในการกระทำ (agency) ที่ซับซ้อนกว่าที่เชื่อกันมา โดยเสนอให้เปลี่ยนวิธีคิดจาก “การจ้องมอง” (looking) ไปสู่ “การเผชิญหน้า” (encounter) กับสัตว์ กล่าวคือ แทนที่จะมองสัตว์เป็นเพียงวัตถุของการศึกษาและบริโภค มนุษย์ควรเริ่มต้นจากการรับรู้ว่าสัตว์เองก็สามารถมีบทบาทที่หลากหลาย และสามารถเป็นองค์ประธาน (subject) ได้เช่นเดียวกับมนุษย์
รูปที่ 5. ภววิทยา 4 แบบของฟิลิปป์ เดสโกลา
ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำงานที่น่าสนใจ คือ How dogs dream: Amazonian natures and the politics of transspecies engagement ของ เอดูอาร์โด โคห์น ที่ศึกษาชาวรูนา (Runa) ชนพื้นเมืองอเมซอน ซึ่งมองว่าสัตว์ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ถูกมนุษย์มองเท่านั้น แต่สัตว์เองก็มีมุมมองต่อมนุษย์เช่นกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ไม่ใช่แค่การที่มนุษย์เป็นฝ่ายกำหนดความหมาย แต่เป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่างสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน
การศึกษาชาวรูนาของ โคห์น สุนัขไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงแต่เป็น “ตัวตน” (selves) ที่มีจิตสำนึก (consciousness) มุมมองนิยม (perspectivism) และสามารถฝัน (dream) ได้เช่นเดียวกับมนุษย์ ฝันของสุนัขมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างมิติที่แตกต่างกัน ทั้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และสิ่งมีชีวิตกับวิญญาณ ที่สำคัญ ชาวรูนาเชื่อว่าสัตว์ทุกตัวมีวิธีรับรู้โลกตามแบบของตนเอง (Umwelt) และสุนัขก็เป็นสัตว์ที่สามารถฝันได้โดยมีโครงสร้างของความฝันที่สะท้อนถึงพฤติกรรมของมันในชีวิตจริง
ขณะที่หลับสุนัขอาจส่งเสียงเห่าหรือครางเบา ๆ ถูกตีความว่าเป็นการ "มองเห็นอนาคต" หรือ "ติดต่อกับพลังเหนือธรรมชาติ" แล้วยังมีการจำแนกเสียงขณะสุนัขหลับดังนี้ ถ้าสุนัขไม่ฝันหรือไม่แสดงสัญญาณใด ๆ ทำให้เกิดวิกฤตทางญาณวิทยา (epistemological crisis) ของชาวรูนา เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่า “ถ้าสุนัขไม่สามารถฝันและเตือนล่วงหน้าได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น?” ในแง่นี้ ท้าทายแนวคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็สามารถมีตัวตน และมีความสามารถในการรู้ล่วงหน้าได้เหมือนมนุษย์
ชาวรูนายังได้ใช้วิธีการสื่อสารกับสุนัขผ่านระบบสัญญะที่มีความซับซ้อน พวกเขามีรูปแบบของคำสั่งที่เรียกว่า “canine imperative” ซึ่งเป็นรูปแบบของคำสั่งที่ให้กับสุนัขโดยไม่อนุญาตให้สุนัขตอบกลับ เช่น ในขณะที่ให้สุนัขกินสารกระตุ้นการล่า (tsita) เจ้าของสุนัขอาจพูดว่า “อย่ากัดไก่” แล้วสุนัขจะเห่า ‘hua hua’ วิธีการใช้คำสั่งเหล่านี้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของสุนัข โดยไม่เปิดโอกาสให้สุนัขสามารถปฏิสัมพันธ์กลับได้ เพื่อรักษาลำดับชั้นระหว่างมนุษย์และสุนัข
รูปที่ 6. บทความ How dogs dreamฯ ของเอดูอาร์โด โคห์น
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า แม้ชาวรูนาจะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากโลกตะวันตกเกี่ยวกับสัตว์ แต่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อสุนัขก็ยังเป็นการแสดงความเหนือกว่าของมนุษย์ต่อสัตว์อยู่ดี แนวคิดเรื่อง canine imperative ที่ อธิบายว่าเป็นการสื่อสารเชิงสัญญะระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการกำหนดพฤติกรรมของสุนัขโดยที่มนุษย์ยังคงเป็นฝ่ายควบคุม ถ้าโลกตะวันตกที่มองว่าสัตว์เป็น “วัตถุ” (object) ที่มนุษย์สามารถฝึก ให้ความหมาย และใช้งานได้ เช่น สุนัขตำรวจที่ถูกฝึกให้ดมกลิ่นยาเสพติดหรือสุนัขทดลองในห้องแล็บ สิ่งที่ชาวรูนาทำกับสุนัขของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะพวกเขาใช้ภาษาและพิธีกรรม (เช่น การให้สุนัขกินสารกระตุ้น tsita) เพื่อกำหนดพฤติกรรมของสุนัขในแบบที่พวกชาวรูนาต้องการเช่นกัน
ที่สำคัญ การไม่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นเพียงการนำวัฒนธรรมของมนุษย์ไปครอบลงบนสัตว์ในอีกลักษณะหนึ่งเท่านั้น ความเชื่อของชาวรูนาที่มองว่าสุนัขมีจิตสำนึก สามารถสื่อสารผ่านความฝัน หรือมีระบบสัญญะของตนเอง อาจแตกต่างจากแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือภววิทยาแบบธรรมชาตินิยม แต่ก็ยังเป็นเพียงระบบการให้ความหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายพฤติกรรมของสัตว์ในแบบที่เข้ากับโครงสร้างทางสังคมของพวกเขา กล่าวคือ แทนที่สัตว์จะถูกทำให้เป็นเพียงวัตถุของการศึกษา และเป็นสิ่งเติมเต็มให้เจ้าของในโลกสมัยใหม่ ในแง่นี้ สัตว์กลับถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสัญญะและจิตวิญญาณในวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง จนถึงที่สุด ก็เป็นกระบวนการของมนุษย์ในการกำหนดความหมายให้สัตว์อยู่ดี มันจึงเป็นเพียง เรื่องเล่าขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ภายใต้กรอบของวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ เท่านั้น การกล่าวว่าสัตว์มีตัวตนไม่ได้หมายความว่าสัตว์มีตัวตนที่เป็นอิสระจากมนุษย์จริง ๆ แต่เป็นการใช้มุมมองของชนพื้นเมืองมาเป็นทางเลือกใหม่แทนมุมมองของเรื่องเล่าขนาดใหญ่ที่มองว่าสัตว์เป็นเพียงวัตถุแห่งการศึกษา แม้ว่าข้อเสนอของพวก ontology จะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับการมองสัตว์ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น และมีศักยภาพในการเป็นองค์ประธานก็ตาม
นอกจากนี้ พนา กันธา ได้กล่าวถึง หูตั้ง สุนัขที่สามารถระลึกชาติได้ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนถึงความหลากหลายของภววิทยาที่ดำรงอยู่ร่วมกัน กรณีของหูตั้งแสดงให้เห็นว่าภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมที่มองว่าสัตว์และมนุษย์มีความแตกต่างกันโดยพื้นฐาน และมนุษย์มีสถานะสูงกว่าสัตว์ มาลี เจ้าของหูตั้ง เริ่มต้นจากการมองตนเองในฐานะ "เจ้าของ" ที่มีอำนาจเหนือสุนัข
ความสัมพันธ์ระหว่างมาลีกับหูตั้งไม่ได้ดำรงอยู่ภายใต้ภววิทยาเดียว แต่เป็นสภาวะคู่ขนานของภววิทยาหลายรูปแบบ กล่าวคือ ในช่วงแรกความสัมพันธ์ของหูตั้งกับมาลียังคงถูกมองว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตามแบบแผนของภววิทยาธรรมชาตินิยมที่มนุษย์เป็นผู้ควบคุมและนิยามความหมายให้สัตว์ แต่เมื่อมีการค้นพบว่าหูตั้งสามารถระลึกชาติได้ ความสัมพันธ์นี้ก็ขยายไปสู่ภววิทยาแบบวิญญาณนิยม (animism) และอุปมานิยม (analogism) ซึ่งมองว่าสัตว์และมนุษย์มีความเชื่อมโยงผ่านระบบจิตวิญญาณและเรื่องกรรม ด้วยเหตุนี้ กรณีของหูตั้งจึงไม่สามารถถูกจัดให้อยู่ภายใต้ภววิทยาแบบใดแบบหนึ่งได้อย่างชัดเจน แต่สะท้อนถึงการดำรงอยู่ร่วมกันของภววิทยาที่แตกต่างกัน
แม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยว่า ในปริมณฑลหนึ่ง มนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถมีภววิทยาได้หลายอย่าง แต่ในกรณีของหูตั้งไม่น่าจะสามารถอธิบายได้ด้วยภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมได้ตั้งแต่ต้น เพราะในสังคมไทย ประชากรส่วนมากนับถือพุทธศาสนาที่จัดอยู่ในภววิทยาแบบอุปมานิยม ที่มีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ณ จุดนี้ ผู้เขียนเห็นพ้องกับบทความของ พิพัฒน์ พสุธารชาติ ในบทที่ 11 ของ “หนังสือปรัชญาหมา”
รูปที่ 7. หูตั้ง กับแผนภาพทางภววิทยาของมาร์แชล ซาห์ลินส์
จนถึงที่สุด ภววิยาแบบธรรมชาตินิยมที่น่าจะไม่มีในตัวของหูตั้งและมาลีได้ เนื่องจากในโลกตะวันออกเวลาเดินเป็นวงกลมจากการเวียนตายเกิด ด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนาและศาสนาสกุลอินเดีย ในแง่นี้ ภววิทยาที่ได้รับอิทธิพลมาจากวิทยาศาสตร์ และคริสต์ศาสนา (ในความเห็นของผู้เขียน) ที่เวลาเดินเป็นเส้นตรง และมีพระเจ้าองค์เดียว จึงขัดแย้งกับภววิทยาแบบอุปมานิยมและวิญญาณนิยมโดยสิ้นเชิง
จุดที่น่าสังเกต คือ วิญญาณนิยมในสังคมไทยมองสัตว์ หรือเดรัจฉาน มีจิตที่ต่ำกว่ามนุษย์ มีลำดับชั้นที่ต่ำกว่ามนุษย์ แตกต่างจากจากชาวพื้นเมืองในอเมซอนที่มองว่า สัตว์ และธรรมชาติต่าง ๆ มีจิตที่ไม่ต่างจากมนุษย์ที่สามารถเป็นองค์ประธานได้ ทำให้ชวนตั้งคำถามว่า หูตั้งในสังคมไทยจึงไม่น่าจะสามารถเป็นองค์ประธานได้โดยสมบูรณ์ ถึงแม้ว่า หูตั้งอาจได้รับการยอมรับจากมาลีและชาวบ้านในฐานะผู้ที่เคยเป็นมนุษย์และระลึกชาติได้ แต่สถานะของหูตั้งยังคงเป็นสัตว์ที่ต้องใช้กรรม และไม่มีศักยภาพในการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในปัจจุบัน เนื่องจากไม่ใช่มนุษย์
รูปที่ 8. การเวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์; การเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี หรือสัตว์เดียรัจฉานก็ดี ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ครั้งยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น
จนถึงที่สุด แม้ว่าเดสโกลาจะพยายามก้าวข้ามความคิดแบบตะวันตกที่แยกธรรมชาติและวัฒนธรรมออกจากกัน สุดท้ายก็ยังคงใช้กรอบความคิดแบบตะวันตกอยู่ดี เนื่องจาการจัดระเบียบภววิทยาต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกับที่ภววิทยาแบบธรรมชาตินิยมทำ นั่นคือ การจำแนกประเภท (categorization) ที่มีความแน่นอนและตายตัว เพื่อพยายามจำแนกและสร้างระบบทำความเข้าใจความหลากหลายของวัฒนธรรมและธรรมชาติ มิหนำซ้ำ ยังเผยให้เห็นความเป็นทวิภาวะ คือ การแยกกายสภาวะ (physicality) กับสภาวะภายใน (interiority) อันเป็นกรอบคิดของพวกโครงสร้างนิยม (structuralism) เนื่องจากการได้อิทธิพลมาจาก โคลด เลวี-สเตราส์ (Claude Lévi-Strauss)
สุดท้ายนี้ บทความของพนา กันธา ได้ทำหน้าที่ในการพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นทางเลือกในวิธีการมองโลกแบบอื่น ที่ไม่ได้ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อทำให้ตัวเราได้สำรวจตัวเองว่า เรายังคงติดกับดักในการยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางหรือไม่ หรือมีการนำมุมมองที่มีต่อโลกแบบมนุษย์ไปใช้กับสัตว์บ้างหรือเปล่า ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็เป็นคนที่เลี้ยงแมว และได้ treat แมวนั้นเป็นลูกและเป็นคนในครอบครัว ทำให้ต้องกลับมาทบทวนตัวเองตลอดในทุก ๆ ครั้งที่อ่านตลอดทุกตัวหนังสือ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่งานนี้ชิ้นนี้สามารถนำพาผู้อ่านไปเปิดโลกแบบอื่น ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยได้อย่างแน่นอน
________________________________
อ้างอิง
คัมภีร์ไบเบิล. (ฉบับไม่ระบุปี). ปฐมกาล 1:26-28.
พนา กันธา. การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในโลกแบบพหุภววิทยา.
พนา กันธา. จุดเปลี่ยนทางภววิทยากับสถานะของสัตว์.
Berger, J. (2009). Why look at animals? London: Penguin Books.
Descola, P. (2013). Beyond nature and culture (J. Lloyd, Trans.). Chicago: University of Chicago Press.
Ingold, T. (2016). A naturalist abroad in the museum of ontology: Philippe Descola’s Beyond nature and culture. Anthropological Forum.
Kohn, E. (2007). How dogs dream: Amazonian natures and the politics of transspecies engagement. American Ethnologist, 34(1), 3-24.
Kohn, E. (2013). How forests think: Toward an anthropology beyond the human. Berkeley: University of California Press.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |