โดย เจษฎากร บุญครองธรรม
ปรัชญาเป็นวิชาที่ชวนให้ใครหลายคนสับสน เมื่อพูดถึงปรัชญา เรามักจะนึกถึงคำถามยากๆ เช่น เวลามีอยู่จริงไหม เรารู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้กำลังฝัน ความดีชั่วเป็นเรื่องที่เราตัดสินบนบรรทัดฐานที่ต่างกันรึเปล่า
หลายๆ ครั้ง คำถามทางปรัชญาเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิต เราจะมีคำตอบหรือไม่ ชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป ใครหลายคนมองว่าปรัชญาเป็นเรื่องของคนช่างคิด เป็นเรื่องของคนเพ้อฝัน เป็นคนที่ไม่อยู่กับความจริง แต่ในทุกวันนี้ เราอยู่กับความเป็นจริงแบบไหนกัน?
ในแต่ละวัน เราทำอะไรหลายๆ อย่าง เราตื่นเช้า อาบน้ำ ไปทำงาน เรียนหนังสือ เหน็ดเหนื่อยกลับบ้าน นั่งพักกินข้าว ดูหนังฟังเพลง นอนหลับและตื่นขึ้นมาใหม่ เราใช้ชีวิตโดยพัวพันกับเรื่องราวต่างๆ เราติดตามข่าวไม่ซ้ำในแต่ละวัน เราอยู่กับข่าวน้ำท่วม ข่าวดาราทะเลาะกัน ข่าวชาวบ้านโดนหลอก ข้อมูลข่าวสารท่วมท้นชีวิตของเรา จนเราแทบไม่เหลือเวลาได้ฉุกคิดและตั้งคำถามกับชีวิตของเราเอง
ตัวเราคือใคร เราเกิดมาทำไม เราควรใช้ชีวิตอย่างไร เราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ไหม ความทุกข์ของเรามีความหมายอะไรรึเปล่า
อัตถิภาวนิยม (existentialism) คือแนวคิดทางปรัชญาที่หันกลับมาตอบโจทย์คำถามที่สำคัญของชีวิต อัตถิภาวนิยมชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การใช้ชีวิตในกรอบคิดทางศาสนาอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคนอีกต่อไป ในปัจจุบัน เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ มูลค่าของเงินดิจิตอลอาจตกต่ำในชั่วข้ามคืน ดาราที่เราชอบอาจมีข่าวทำผิดศีลธรรม พรรคการเมืองที่เราเลือกอาจถูกยุบโดยไม่ทันคาดคิด ไม่มีใครสามารถแนะนำว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร ไม่มีใครบอกได้ว่าเราสามารถคาดหวังกับอะไรได้บ้าง
หากการใช้ชีวิตตามคติของศาสนาคือการยอมรับคุณค่าความดีงามบางอย่างเป็นจุดมุ่งหมาย อัตถิภาวนิยมกลับชี้ให้เห็นรากฐานที่สำคัญก่อนการยอมรับคุณค่าต่างๆ คือเสรีภาพของปัจเจกที่เรามีสิทธิเลือกและรับผิดชอบการตัดสินใจต่างๆ ด้วยตัวของเรา ภายใต้สังคมที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่เราสามารถยึดมั่นถือมั่นได้ ระบบคุณค่าต่างๆ ถูกตั้งคำถาม นักอัตถิภาวนิยมกลับชี้ให้เห็นว่า สภาวะดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกที่เราได้เผชิญหน้ากับชีวิตในสภาวะความเป็นจริงอย่างที่มัน "เป็น" เมื่อเราตระหนักว่าชีวิตไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป้าประสงค์อะไรที่แน่ชัด สิ่งที่ปรากฏชัดก็ไม่ใช่ความจริงหรือสัจธรรมใดใดอีกต่อไป แต่คือตัวฉันที่ดำรงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ สภาวะการดำรงอยู่ของตัวฉันนำมาสู่คำพูดที่โด่งดังของซาร์ตร์ว่า การมีอยู่คือสิ่งที่มาก่อนสารัตถะ (Existence precedes essence)
นักอัตถิภาวนิยมแตกต่างจากนักปรัชญาในอดีตที่สนใจคำถามว่าด้วยความจริง ความดี ความงาม นักอัตถิภาวนิยมมองว่าการมีอยู่ของตัวฉันคือสิ่งที่จริงยิ่งกว่าคุณค่าต่างๆ ในอุดมคติ นักอัตถิภาวนิยมจึงตั้งคำถามโดยเริ่มต้นจากประสบการณ์การดำรงอยู่ของตัวฉัน แต่การพิจารณาประสบการณ์พื้นฐานของชีวิตจะนำไปสู่ความคิดทางปรัชญาในรูปแบบใดได้บ้าง
หนังสือ เข้าใจอัตถิภาวนิยมด้วยตนเอง โดย Nigel Rodgers และ Mel Thompson แปลโดย คุณรติพร ชัยปิยะพร เป็นหนังสือเล่มสำคัญสำหรับผู้ที่อยากทำความรู้จักปรัชญาอัตถิภาวนิยมอย่างลึกซึ้งมากขึ้น หนังสือเล่มนี้พาผู้อ่านไปทำความเข้าใจตั้งแต่รากฐานของแนวคิดอัตถิภาวนิยม ผ่านนักปรัชญาอย่างปาสคาล (Blaise Pascal) เคียร์เคอการ์ด (Soren Kierkegaard) นิตเช (Friedrich Nietzsche) หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจวิธีคิดแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ซึ่งรากฐานของแนวคิดอัตถิภาวนิยม ผู้เขียนยังเชื่อมโยงแนวคิดแบบอัตถิภาวนิยมเข้ากับประเด็นคำถามต่างๆ เช่น ตัวตนที่จริงแท้ของเราคืออะไร ศีลธรรมยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่ นักปรัชญาควรจะมีท่าทีต่อศิลปะอย่างไร นักอัตถิภาวนิยมปฏิเสธศาสนาโดยสิ้นเชิงรึเปล่า ชีวิตของเรามีความหมายอะไรรึเปล่า
หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดทางปรัชญาไม่ได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดโดยนักปรัชญาคนใดคนหนึ่ง นอกเหนือจากปรัชญาของซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) เรายังเห็นการตั้งคำถามแบบถอนรากถอนโคนของนักปรัชญาคนอื่นๆ เช่น นิตเช ผู้ซึ่งกล่าวว่าพระเจ้าตายแล้ว คำพูดดังกล่าวของนิตเชมาพร้อมกับการคำถามว่า ศีลธรรมของศาสนาคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์อ่อนแอลง ทำให้เราปฏิเสธโลกความเป็นจริง แล้วหันไปคาดหวังกับโลกหน้าแทนรึเปล่า ทำไมเราต้องยอมรับคุณค่าต่างๆ ทางศาสนา เช่น ความอ่อนน้อม ความรักสามัคคี ความใจบุญ แล้วปฏิเสธการใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณและธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ด้วย
หรือในกรณีของเคียร์เคอการ์ด เขากลับตั้งคำถามว่าคนเราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลหรือศรัทธามากกว่ากัน เคียร์เคอการ์ดชี้ให้เห็นข้อจำกัดของมนุษย์ที่เราไม่สามารถรู้ทุกสิ่งหรือทำอะไรทุกอย่างได้เหมือนพระเจ้า ชีวิตของเราจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความหวั่นวิตก ในหลายๆ ครั้ง ชีวิตจึงเรียกร้องการตัดสินใจของตัวเราที่ต้องอาศัยความศรัทธา ในหลายๆ ครั้ง เราจำเป็นจะต้องเลือกในสิ่งที่เราเชื่อแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับก็ตาม เราจะเห็นว่านักปรัชญาอัตถิภาวนิยมอาจไม่ได้มีความคิดความเชื่อแบบเดียวกัน แต่พวกเขาต่างคิดตั้งคำถามและท้าทายความเชื่อของสังคม เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเชื่อได้
รูปที่ 1. นิตเชและเคียร์เคอการ์ด
การที่นักอัตถิภาวนิยมแต่ละคนมีความคิดต่างกันไปคนละทิศคนละทางได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักปรัชญากลุ่มนี้ไม่เห็นกับการเริ่มต้นความคิดจากความจริงที่มีลักษณะเป็นภววิสัย (objective truth) เหมือนการศึกษาสิ่งต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์ แต่นักอัตถิภาวนิยมเริ่มต้นจากประสบการณ์ชีวิตที่มีลักษณะเป็นอัตวิสัย (subjectivity) แต่ความเป็นอัตวิสัยในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความคิดเห็นส่วนตัวหรือมุมมองของแต่ละคนที่ปราศจากหลักการใดใด ในทางกลับกัน การที่ทุกๆ อย่างเป็นมุมมองแบบหนึ่งท่ามกลางมุมมองอื่นๆ ต่างหาก คือหลักการสำคัญของอัตถิภาวนิยม
ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) คือระเบียบวิธีทางปรัชญาที่ชี้ให้เห็นบทบาทความสำคัญของความเป็นอัตวิสัย ในมุมมองของนักปรากฏการณ์วิทยา ไม่ว่าเราจะพูดถึงความจริงแบบภววิสัยมากแค่ไหน เช่น น้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศา หรือวันนี้ที่กรุงเทพมีอากาศหนาว ทุกๆ ประโยคที่เกิดขึ้นนี้ต่างเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่ตัวตนของเรามีปฏิสัมพันธ์ต่อโลก การที่น้ำสามารถมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดต่างเป็นสิ่งที่เราเข้าใจภายใต้มุมมองการรับรู้ที่จำกัดของชีวิต หากเราไม่เคยต้องการต้มน้ำจนเดือด เราก็น่าจะทำความเข้าใจไม่ได้ว่าน้ำเดือดคืออะไร ในแง่นี้ นักปรากฏการณ์วิทยาจึงชี้ให้เห็นว่าความจริงในเชิงภววิสัยในทุกรูปแบบต่างมีที่มาจากประสบการณ์ของปัจเจกที่มีลักษณะเป็นอัตวิสัยด้วยกันทั้งนั้น ด้วยวิธีคิดในลักษณะดังกล่าว ปรากฏการณ์วิทยาจึงเป็นฐานคิดที่สำคัญของนักปรัชญาอัตถิภาวนิยม
รูปที่ 2. ผลงานชิ้นสำคัญของซาร์ตร์ - Being and Nothingness
ในขณะเดียวกัน หนังสือ ‘เข้าใจอัตถิภาวนิยมด้วยตนเอง’ ยังเชื่อมโยงปรัชญาอัตถิภาวนิยมไปสู่ประเด็นคำถามที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวตนที่จริงแท้ เรื่องของศีลธรรม เรื่องของปรัชญากับงานศิลปะ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของซาร์ตร์อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่ปรัชญาของซาร์ตร์เป็นเพียงข้อเสนอทางความคิดหนึ่งที่อาจถูกโต้แย้งได้ เช่น ข้อเสนอเรื่องเสรีภาพที่ซาร์ตร์มองว่าปัจเจกทุกคนมีเสรีภาพอยู่ตลอดเวลา แม้ปัจเจกจะถูกสังคมคาดหวังว่าเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ผู้ชายต้องมีความเข้มแข็ง ผู้หญิงต้องทำตัวเรียบร้อย แต่ซาร์ตร์เสนอว่าในท้ายที่สุดตัวเราก็เป็นผู้ที่ต้องตัดสินใจว่าตัวเราจะทำหรือจะเป็นอะไร เราไม่สามารถไปกล่าวโทษหรือเรียกร้องความรับผิดชอบจากคนอื่นได้ว่าเขาเป็นคนกำหนดให้เราต้องใช้ชีวิตแบบนั้นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม นักปรัชญาอย่างเดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) กลับตั้งคำถามว่า ในโลกความเป็นจริง คนทุกคนมีเสรีภาพสมบูรณ์แบบที่ซาร์ตร์เสนอไว้จริงหรือไม่ เดอ โบวัวร์มองว่าการเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมักจะถูกเรียกร้องให้เราทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรามากกว่ารึเปล่า หากสังคมพยายามจะบีบบังคับตัวตนของผู้หญิงตลอดเวลา ผู้หญิงต้องสวย ต้องเรียบร้อย ต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง การที่ผู้หญิงสูญเสียเสรีภาพของตัวเองไปจึงอาจไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงเองเหมือนที่ซาร์ตร์เสนอไว้รึเปล่า
รูปที่ 3. เดอ โบวัวร์และซาร์ตร์
โดยสรุปแล้ว หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจอัตถิภาวนิยม "ด้วยตัวเอง" ได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นแง่มุมที่หลากหลายของปรัชญาอัตถิภาวนิยม เราอาจเห็นด้วยกับแนวคิดบางประการและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดบางประการ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดของนักปรัชญาเพียงเท่านั้น แต่ยังเชิญชวนให้ผู้อ่านได้คิดและตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วย
หน้าที่เข้าชม | 195,186 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 128,457 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ก.ย. 2568 |