โดย วันอิฮซาน ตูแวสิเดะ
พยัคฆ์แห่งมลายา: ชีวประวัติเติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี เล่มนี้ แปลมาจากหนังสือ Harimau Malaya: biografi Tengku Mahmood Mahyiddeen โดยมูฮำหมัดซัมบรี มาเลก นักเขียนชาวมาเลเซีย ซึ่งต้นฉบับเป็นภาษามลายู ก่อนอื่น ผมเอะใจตรงที่ฉบับแปลไทยเลือกใส่ประโยค “ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี” พ่วงท้าย ทั้งๆ ที่ต้นฉบับไม่เขียนไว้ ขอเดาว่าเหตุผลคงไม่ได้มากไปกว่าการทำให้ผู้อ่านรู้จักเติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน ว่าเป็นใครทันทีที่ได้อ่านชื่อหนังสือ โดยไม่ต้องเปิดดูรายละเอียดหน้าถัดไป เพราะเข้าใจว่าชื่อของบุคคลท่านนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในสังคมไทย
หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญมากในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ปาตานี โดยเฉพาะหลังสนธิสัญญาแองโกลสยาม 1909 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก ประวัติศาสตร์ปาตานีส่วนมากมักจะเน้นเรื่องราวในยุคจารีต ตั้งแต่ก่อนก่อตั้งรัฐ ยุครุ่งเรือง ยุคล่มสลาย จนมาถึงยุคที่ถูกผนวกเข้ากับสยาม หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ปาตานีเสมือนถูกแช่ไว้ให้หยุดชะงัก ผมในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องประหลาด เนื่องจากประวัติศาสตร์ระยะใกล้ย่อมมีหลักฐานมากกว่าเรื่องราวที่ผ่าน 2-3 ศตวรรษหรือมากกว่านั้นอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าประวัติศาสตร์ปาตานีระยะใกล้โดยเฉพาะในโลกภาษาไทยนั้นหายากมาก
ส่วนหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญของปาตานีเท่าที่สำรวจแบบเร็วๆ ก็มีเพียงไม่กี่เล่ม เล่มแรก Biografi Tengku Abdul Kadir Kamaruddeen: Raja Patani Terakhir โดยมูฮำหมัดซัมบรี มาเลก เป็นชีวประวัติของเติงกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดีน เจ้าเมืองแห่งหัวเมืองตานีคนสุดท้ายและเป็นบิดาของเติงกูมะห์หมูดฯ เล่มต่อมา หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์: กบฏหรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ เขียนโดยเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร เข้าใจว่าเป็นเล่มที่ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ สองเล่มสุดท้ายคือชีวประวัติของสองนักการศาสนาคนสำคัญของปาตานีในศตวรรษที่ 19-20 ได้แก่ Syeikh Daud al-Fathani: Pengarang Ulung Asia Tenggara และ Syeikh Ahmad al-Fathani: Pemikir Agung Melayu dan Islam ทั้งสองเล่มเขียนโดยวันมูฮำหมัดซอฆีร อับดุลเลาะห์ และเล่มนี้ Harimau Malaya: biografi Tengku Mahmood Mahyiddeen ที่ถูกแปลเป็นไทย หากนับเฉพาะภาษาไทยเล่มพยัคฆ์มลายาฯเป็นเพียงเล่มที่สอง ซึ่งแสดงถึงความไม่รุ่มรวยทางความรู้ของโลกวิชาการภาษาไทยเกี่ยวกับปาตานีเป็นอย่างมาก ดังนั้น การแปลเล่มพยัคฆ์แห่งมลายาฯ นับเป็นหมุดหมายอันดีที่จะทำให้สังคมไทยรู้จักบุคคลสำคัญของปาตานีมากยิ่งขึ้น
รูปที่ 1. ตัวอย่างหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญของปาตานี
การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านมองภาพความเชื่อมโยงกันของปาตานี ดินแดนมลายู อังกฤษ และสยาม โดยมีเติงกูมะห์หมูดฯเป็นผู้เดินเรื่องหลัก เติงกูมะห์หมูดฯคือใคร เติงกูมะห์หมูดคือโอรสของเจ้าเมืองแห่งหัวเมืองตานีคนสุดท้าย ที่ไปเติบโตและใช้ชีวิตในเมืองโกตาบารูของกลันตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนมลายูของอังกฤษ ต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญติดยศพันตรีของอังกฤษในการขับไล่ทหารญี่ปุ่น และครึ่งหลังของชีวิตก็ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจของปาตานีจากสยาม
มูฮำหมัดซัมบรีฯเล่าย้อนไปในช่วงต้นชีวิตของเติงกูมะห์หมูดฯ ท่านเป็นพ่อค้าขายจักรยานนำเข้า มีฐานะร่ำรวย และมีโอกาสสนิทสนมกับข้าราชการอังกฤษจากการทำธุรกิจ เติงกูมะห์หมูดฯเริ่มมีบทบาทในรัฐบาลอังกฤษจากการเป็นศึกษานิเทศน์สำหรับโรงเรียนมลายู เพราะสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแบบอังกฤษที่เมืองปีนัง จึงมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษและสามารถทำงานกับข้าราชการอังกฤษได้เป็นอย่างดี บทบาทในวงการการศึกษา เติงกูมะห์หมูดฯเปลี่ยนวิธีคิดคนมลายูหลายอย่าง ท่านเน้นย้ำคนมลายูว่าควรให้ความสำคัญกับการเรียนทางด้านโลกวิสัยบ้าง เนื่องจากช่วงนั้นคนมลายูยังคงเรียนโรงเรียนระบบปอเนาะ เน้นอิสลามศึกษามากเกินไป อีกทั้งยังสนับสนุนให้คนมลายูเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจะได้เท่าทันอังกฤษที่กำลังปกครองดินแดนมลายูอยู่ในขณะนั้น
รูปที่ 2. ถ่ายรูปกับเพื่อนสนิท ดาโต๊ะ นิก อาหมัด กามิล (Dato’ Nik Ahmad Kamil) มุขมนตรีแห่งรัฐกลันตัน (1947-1948, พ.ศ. 2490-2491) ในวัยหนุ่มพวกเขาทั้งสี่ได้รับฉายาว่า “สี่ทหารเสือแห่งกลันตัน
เติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน มีชีวิตอยู่ในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านเป็นหนึ่งในทหารอังกฤษในการขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากดินแดนมลายู แต่สุดท้ายต้องถอยไปอยู่กับกองทัพอังกฤษที่อินเดีย ขณะที่ร่วมกองทัพอังกฤษที่อินเดีย เติงกูมะห์หมูดฯได้รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุแผนกมลายูของสถานีวิทยุออลอินเดีย กระจายเสียงไปทั่วดินแดนมลายูรวมถึงปาตานี ท่านเชิญชวนให้คนมลายูขับไล่กองทัพญี่ปุ่นให้ได้ เนื่องจากเติงกูมะห์หมูดฯได้รับรายงานมาว่าคนมลายูต้องอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นด้วยความหวาดกลัว เสมือนอยู่ในฝันร้าย
ต่อมาได้รับมอบหมายให้คุมกองกำลัง Force 136 ที่ไปฝึกที่ศรีลังกา โดยเติงกูมะห์หมูดฯได้รวบรวมนักศึกษาชาวมลายูในตะวันออกกลาง ท่านเป็นผู้เดินทางไปเชิญชวนด้วยตนเอง กองกำลัง Force 136 จะส่งทหารกลับไปยังดินแดนมลายูเพื่อเป็นสายลับให้กับอังกฤษ ด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์หลายอย่างของท่าน ทหารอังกฤษชื่นชอบและให้เกียรติท่านมาก กระทั่งมีการสรรเสริญและสัญญาว่าหากอังกฤษได้รับชัยชนะ อังกฤษจะช่วยปาตานีดินแดนของท่านให้ได้รับเอกราชจากสยาม โดยตะโกนประโยค “Long live the King of Patani” หลายครั้งที่นิวเดลี
รูปที่ 3. เติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน กับการคุมกองกำลัง Force 136
อย่างไรก็ดี เมื่อสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรโดยสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ อังกฤษกลับไม่ทำตามสัญญาทั้งๆ ที่มีโอกาสลงโทษสยามเพราะสยามร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่อังกฤษก็เลือกผลประโยชน์ของตัวเองตามสนธิสัญญาสันติภาพกับสยามปี 1946 ที่จะไม่ลงโทษสยามด้วยการยึดปาตานีเพื่อรวมกับดินแดนมลายูที่เหลือ และรับข้อเสนอของสยามที่จะมอบข้าว 1.5 ล้านตันแทน เติงกูมะห์หมูดฯผิดหวังกับอังกฤษ จึงลาออกจากข้าราชการอังกฤษ (British Military Administration) เพื่อทำตามความฝันอันสูงสุดคือการช่วยให้ปาตานีได้รับเอกราชจากสยาม
รูปที่ 4. สนธิสัญญาสันติภาพอังกฤษกับสยามปี 1946 ที่จะไม่ลงโทษสยามด้วยการยึดปาตานี
จริงๆ แล้วภายในจิตใจของเติงกูมะห์หมูดฯมีความอิหลักอิเหลื่ออยู่พอสมควร ท่านเป็นคนมลายูที่ช่วยราชการให้อังกฤษขับไล่ญี่ปุ่น แต่อีกฟากหนึ่งของหัวใจ เติงกูมะห์หมูดฯก็ไม่ลืมว่าอังกฤษคือเจ้าอาณานิคมที่กำลังปกครองดินแดนมลายูอยู่ ตอนที่ช่วยอังกฤษอยู่ที่อินเดีย ท่านเห็นแนวทางการต่อสู้ของมหาตมะ คานธี ในการเป็นผู้นำของชาวอินเดียเพื่อขับไล่อังกฤษ และเห็นมูฮำหมัดอาลี จินนาห์ พยายามก่อตั้งรัฐสำหรับชาวมุสลิมในอินเดีย (ประเทศปากีสถาน) เลยได้แรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อบ้านเกิดของตัวเอง
ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศใช้นโยบายรัฐนิยมทั่วประเทศ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของชาวปาตานี เพราะกฎหมายอิสลามที่ใช้ในปาตานีต้องถูกล้มเลิก และวัฒนธรรมของชาวมลายูถูกเบียดเบียน ทำให้ชื่อของหะยีสุหลงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และผู้ก่อตั้งองค์กรเซอมางัตปาตานีเพื่อยับยั้งสยาม และยังเป็นผู้รวบรวมความต้องการของชาวบ้านผ่านคณะกรรมการอิสลามทั่วปาตานีออกเป็นข้อเรียกร้อง 7 ประการ ตามที่ใครหลายคนรู้จักกัน
รูปที่ 5. หะยีสุหลง ข้อเรียกร้อง 7 ประการ และผลที่เกิดขึ้นตามมา
กล่าวได้ว่า ณ ขณะนั้นปาตานีมีสองผู้นำจิตวิญญาณ คือหะยีสุหลงและเติงกูมะห์หมูดฯ อย่างไรก็ดี ข้อเรียกร้อง 7 ประการ ของหะยีสุหลงไม่ได้ถูกตอบรับจากรัฐบาลสยาม ส่วนเติงกูมะห์หมูดฯก็เพิ่งผิดหวังจากอังกฤษ เป็นเหตุบรรจบให้ทั้งสองคนต้องมาร่วมงานกัน โดยองค์กรเซอมางัตปาตานีมอบหมายให้เติงกูมะห์หมูดฯเป็นตัวแทนชาวปาตานีในการเจรจากับรัฐบาลสยาม และภายหลังทั้งสองก็เป็นบุคคลสำคัญในการก่อตั้งองค์กรสมัชชามลายูปาตานีรายา (Gabungan Melayu Patani Raya – GEMPAR) ผลงานของเติงกูมะห์หมูดฯที่เคลื่อนไหวภายใต้ GEMPAR คือการทำให้ GEMPAR เป็นที่ยอมรับในวงชนชั้นนำในดินแดนมลายู อีกทั้งยังเคยเสนอปาตานีให้เป็นส่วนหนึ่งของ Indonesia Raya แต่ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซียเห็นว่าปาตานีควรรวมกับมลายามากกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ภารกิจจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยการต่อสู้ของเติงกูมะห์หมูดฯและหะยีสุหลงได้กลายเป็นไอดอลของชาวปาตานีจนถึงทุกวันนี้
หนังสือเล่มพยัคฆ์มลายาฯเล่มนี้วางอยู่ในหมวดหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญ เล่าเรื่องตามไทม์ไลน์ จึงอาจมีข้อด้อยตรงที่ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐาน หลักฐานส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กัน จะเห็นว่ามีหลายการอ้างอิงในต้นฉบับภาษามลายูที่ผู้แปลภาษาไทยไม่สามารถพิสูจน์ได้ หากใครเคยอ่านปาตานีฉบับชาติ(ไม่)นิยม: สงครามช่วงชิงอำนาจก่อนปักปันเส้นเขตแดน เล่มดังกล่าวได้แบ่งประวัติศาสตร์นิพนธ์ปาตานีออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือสกุลชาตินิยมสยามกับสกุลชาตินิยมปาตานี หนังสือพยัคฆ์มลายาฯเล่มนี้คงจัดอยู่ในสกุลชาตินิยมปาตานีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผู้เขียนเป็นที่รู้จักในนามนักชาตินิยมปาตานีคนหนึ่ง ได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเข้าไปในการอธิบายหลายจุด และเล่าเรื่องปาตานีในฐานะผู้ถูกกระทำจากทั้งฝ่ายสยามและฝ่ายอังกฤษ อย่างไรก็ดี แม้จะอยู่ในสกุลชาตินิยมปาตานี แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นอีกเล่มที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง อาจมีสถานะเดียวกับประวัติศาสตร์นิพนธ์ปาตานีหลายเล่ม เช่น ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปาตานี ของอิบรอฮิม ชุกรี ปัตตานีในอดีตและปัจจุบัน ของ อ.บางนรา ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู ของอารีฟีน บินจิ และ Sejarah Perjuangan Melayu Patani 1785-1954 ของ Nik Anuar Nik Mahmud
รูปที่ 6. หนังสือเล่มสำคัญเกี่ยวกับปาตานี
สำหรับผมแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องข้อมูลที่มีความละเอียดยิบย่อย แม้บางเรื่องอาจยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่อ่านแล้วรู้สึกทึ่งในการอธิบาย เพราะส่วนตัวยังไม่เคยเจอการอธิบายในลักษณะนั้นมาก่อน เช่น สาเหตุที่สยามโจมตีปาตานี เราทราบเพียงแค่ว่า ใช่ สยามกับปาตานีมีปัญหาระหองระแหงกันตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่เราละเลยไม่ได้ศึกษาสาเหตุที่ระหองระแหงกัน หรือเราอาจทราบสาเหตุที่สยามในช่วงรัชกาลที่ 5 พยายามรักษาปาตานีไว้กับตัวเอง ไม่ยอมปล่อยให้อังกฤษ คำตอบอยู่ในหนังสือเสียดินแดนมลายู: ประวัติศาสตร์ชาติฉบับ plot twist ของฐนพงศ์ ลือขจรชัย ได้อธิบายไว้ว่าเพราะสยามถือว่าปาตานีเป็นของสยามตั้งแต่อยุธยา พอมาถึงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นรัฐสืบทอดของอยุธยาและธนบุรีก็ต้องรักษาปาตานีไว้ในฐานะสมบัติที่สืบทอดต่อกันมา แต่ก็มิได้อธิบายแรงจูงใจที่อยุธยายึดครองปาตานีตั้งแต่แรกว่าเพราะอะไร ซึ่งในหนังสือพยัคฆ์มลายาฯเล่มนี้ได้อธิบายไว้ว่า สยามมีความอิจฉาริษยาต่อความเจริญรุ่งเรืองของเมืองท่าต่างๆ ในคาบสมุทรมลายู จึงพยายามที่จะคุกคามความมั่นคงของเมืองมลายู แต่ปาตานีเป็นเมืองมลายูด่านแรกที่สยามจะมาถึง ปาตานีจึงต้องทำสงครามเพื่อปกป้องเมืองมลายูที่เหลือ และพ่ายแพ้จนต้องกลายเป็นของสยามในที่สุด
ดังนั้น พยัคฆ์แห่งมลายา: ชีวประวัติเติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี เป็นหนังสือที่สำคัญมาก ต้องขอบคุณสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ที่เลือกเล่มนี้มาแปล ผู้แปลก็แปลได้ไหลลื่นมาก สังคมไทยจำเป็นต้องรู้จักเติงกูมะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ที่เคยทำให้ปาตานีเกือบได้รับเอกราชมากที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 199,076 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,347 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |