สนทนากับ รศ. วิศรุต พึ่งสุนทร ผู้เขียนหนังสือ ประวัติศาสตร์ความลับ : ความคิดทางการเมืองจากยุคโบราณถึงสมัยใหม่ กับการเปิดเผยการปกปิด การมีความลับและความเร้นลับในทางการเมืองซึ่งผูกโยงกับบางอย่างของสังคม และเข้าใจถึงการอธิบายความเป็นมาและข้อถกเถียงเรื่องความลับในทฤษฎีทางการเมือง การส่งผ่านและสืบสายทางความคิดตั้งแต่อายุโบราณมาถึงยุคต้นสมัยใหม่ที่จะทำให้ผู้อ่าน ‘ หูตาสว่าง ’
Q : อาจารย์วิศรุตจบด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ศิลปะ แล้วมาสอนด้านประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?
A : ผมจบปริญญาตรีสาขาออกแบบอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนั้นอยู่ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ต่อมาผมมาเรียนปริญญาโทในสาขา Visual culture ซึ่งในความเป็นจริงก็คือประวัติศาสตร์ศิลปะในแบบหนึ่ง และเรียนปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ผมทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่องประวัติศาสตร์ของวาทกรรมเรื่องบาดแผลในช่วงศตวรรษที่ 19 และครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ศิลปะแบบที่ผมถูกเทรนมา เป็นสายที่เน้นเรื่องของบริบทมากกว่าในแง่ของรูปแบบศิลปะหรือเรื่องของการสร้างสรรค์ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากจารีตของวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะในบ้านเรา ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นความรู้เสริมให้กับผู้ที่อยู่ในวิชาชีพศิลปะและการออกแบบ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะมาเป็นอาจารย์อยู่ในสาขาประวัติศาสตร์มากกว่าประวัติศาสตร์ศิลปะ ซึ่งในความเป็นจริงทั้ง 2 สาขาค่อนข้างจะแยกขาดจากกันทั้งในแง่การก่อกำเนิดและการเป็นความรู้ทางวิชาการในปัจจุบัน
Q : ปัจจุบันอาจารย์เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ อาจารย์สอนวิชาอะไรบ้าง?
A : หลักๆเลย ผมสอนวิชาประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก ระเบียบวิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่และประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก วิชาปริญญาตรีที่สอนมาต่อเนื่องก็คือประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ไม่ค่อยได้เปิด ส่วนเรื่องของระเบียบวิธีเป็นของหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก
Q : วิชาประวัติศาสตร์นิพนธ์นี่คืออะไร?
A : ประวัติศาสตร์นิพนธ์คืออะไร คำนี้มาจากคำว่า historiography ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลตรงๆ ก็หมายถึง “การเขียนประวัติศาสตร์ ” เนื่องจากประวัติศาสตร์มีทั้งส่วนที่เป็นข้อมูล ข้อเท็จจริงหรือจะเรียกว่าเนื้อหา กับส่วนที่เรียกว่าเป็นการเขียน วิธีการค้นคว้า หรือแนวคิดเกี่ยวกับการเขียนในการค้นคว้า ซึ่งในความเป็นจริงทั้งสองส่วนนี้ไม่ได้แยกขาดจากกัน ถ้าพูดง่ายๆก็คือ ความรู้ด้านประวัติศาสตร์มีมากกว่าข้อมูลใดเป็นจริงหรือเป็นเท็จ แต่มีมิติอื่นๆเช่นการค้นคว้า การเขียน การนำเสนอและรวมไปถึงมิติของการประพันธ์ ที่ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นชุดความรู้ขึ้นมา เนื้อหาที่ผมสอนเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ของการเขียนประวัติศาสตร์ในโลกตะวันตก หรือจะพูดง่ายๆก็คือศึกษางานเขียนประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญและศึกษาบริบท ตั้งบริบททางความคิด บริบททางการเมืองบริบททางสังคมที่ทำให้ข้อเขียนเหล่านั้นเป็นความรู้ทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา
Q : แล้วส่วนของระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คืออะไร?
A : ในส่วนที่ผมสอน ผมพูดถึงแนวทางการค้นคว้าในช่วงศตวรรษที่ 20 และ 21 ที่การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ได้นำเอากรอบวิธีคิด การตั้งคำถาม รวมไปถึงทฤษฎีมาจากสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สาขาอื่นๆ เช่น สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษย์วิทยา ซึ่งเราก็จะเรียกว่าเป็น ประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ซึ่งได้กลายเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลักไปแล้ว
ความเป็นสาธารณะถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเป็นสมัยใหม่ในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง ที่เรามองเห็นระบอบเสรีประชาธิปไตยว่าเป็นระบบการปกครองที่ถูกออกแบบมาให้มีความเป็นสาธารณะมากที่สุด
Q : ขอพูดถึงหนังสือเล่มนี้บ้าง “ ประวัติศาสตร์ความลับ ความคิดทางการเมืองจากยุคโบราณถึงสมัยใหม่ ” หนังสือเล่มนี้มีที่มาอย่างไร?
A : หนังสือเล่มนี้เป็นขยายมาจากงานวิจัยเรื่องแนวคิดเรื่องความลับในยุคต้นสมัยใหม่ ซึ่งอยู่ในชุดโครงการวิจัยเรื่องความเป็นสาธารณะในประวัติศาสตร์โลก ชุดโครงการวิจัยนี้ตั้งคำว่าแนวคิดเรื่องความเป็นสาธารณะมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์อย่างไร ความเป็นสาธารณะถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเป็นสมัยใหม่ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง ที่เรามองเห็นระบอบเสรีประชาธิปไตยว่าเป็นระบบการปกครองที่ถูกออกแบบมาให้มีความเป็นสาธารณะมากที่สุด ชุดโครงการนี้พยายามตั้งคำถามต่อความหลากหลายของแนวคิดว่าด้วยความเป็นสาธารณะในโลก ซึ่งครอบคลุมสยามสมัยใหม่ ยุโรปช่วงต้นสมัยใหม่และลาตินอเมริกา โครงการวิจัยต่างๆ ครอบคลุมเรื่องความเป็นสาธารณะในมิติทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางสังคมและทางวัฒนธรรม ส่วนงานวิจัยของผมสนใจแนวคิดเรื่องความลับเป็นแนวคิดที่อยู่ควบคู่กับแนวคิดเรื่องความเป็นสาธารณะมาตลอด
Q : ทำไมอาจารย์ถึงสนใจเขียนประวัติศาสตร์เรื่องความลับ แล้วทำไมต้องเป็นยุโรป แนวคิดเรื่องความลับมีความสำคัญอย่างไรในทางประวัติศาสตร์?
A : นอกจากเหตุผลที่บอกมาข้างต้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่องความเป็นสาธารณะ ที่ผมเลือกที่จะทำเรื่องความลับ เพราะว่าในทางประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองแนวคิดเรื่องความเป็นสมัยใหม่ทางการเมืองผูกโยงกับความเป็นสาธารณะ แล้วเราก็มีหลักคิดที่อธิบายความเป็นสาธารณะในหลายๆ แบบรวมไปถึงแนวคิดเรื่อง ‘พื้นที่สาธารณะ’ ของ เยอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) ด้วย ฮาเบอร์มาสและนักวิชาการอีกหลายคนพูดถึงความเป็นสาธารณะว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญจากการเมืองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญอันหนึ่งคือการปกปิด การมีความลับและความเร้นลับในทางการเมืองซึ่งผูกโยงกับราชบัลลังก์และอำนาจของพระมหากษัตริย์
แต่ความสนใจที่จะอธิบายความเป็นมาของความคิดเรื่องความลับปรากฏอยู่ค่อนข้างน้อยในงานทางวิชาการ เนื่องจากแนวคิดเรื่องความลับการปกปิดและความเร้นลับในทางการเมืองถูกมองว่าเป็นมรดกจากประชาคมโบราณ เป็นมรดกจากสมัยกลางหรือมาจากเทววิทยาคริสต์ศาสนา ผมเลยพยายามที่จะอธิบายความเป็นมาและข้อถกเถียงเรื่องความลับในทฤษฎีทางการเมือง ดูว่ามีการส่งผ่านและสืบสายทางความคิดยังไงตั้งแต่อายุโบราณมาถึงยุคต้นสมัยใหม่ ขึ้นในยุคต้นสมัยใหม่และความลับถูกมองว่าเป็นคุณลักษณะสำคัญของความมีประสิทธิภาพในทางการเมือง แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไปก็จะเห็นถึงการให้คุณค่าของความลับที่มีต่างๆกันไม่ว่าจะถูกมองว่าเป็นลบในทางศีลธรรม หรือถูกมองว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์

Q : ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะเขียนถึงประวัติศาสตร์ความลับ
A : จริงๆก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ว่าไม่ได้อยู่ในความสนใจมากนักต่างหาก ความลับไม่ได้เป็นประเด็นหลักของความคิดทางการเมือง แต่แนวคิดเรื่องความลับปรากฏอยู่ในข้อเขียนเกี่ยวกับศิลปะการปกครองและทฤษฎีการเมืองมาตลอดสองพันปีอย่างค่อนข้างต่อเนื่อง ซึ่งถูกมองทั้งในแง่ลบ ในแง่บวกและในแง่ของความจำเป็น แต่ที่ไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของนักประวัติศาสตร์ความคิดหรือปรัชญาการเมืองมากนัก ก็น่าจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยเข้ากับความเป็นสมัยใหม่ทางการเมืองเท่าไหร่นะ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูข้อเขียนสำคัญจำนวนมากอย่างเช่น The Prince ของมาเคียเวลลี (Machiavelli) ในบริบทของการแต่งและเผยแพร่ ก็พอจะเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นศาสตร์สำหรับผู้ปกครอง อันเป็นศาสตร์ที่ควรปกปิดให้คนจำนวนน้อยที่สุดเท่านั้นที่ล่วงรู้ได้ การตีพิมพ์เผยแพร่จึงมีอยู่อย่างจำกัดในช่วงแรก การเผยแพร่จึงเป็นการคัดลอกและส่งเรียนการอ่านในจดหมายโต้ตอบกันเท่านั้น เนื่องจากว่าถ้าคนไม่รู้ความรู้ดังกล่าวก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ลักษณะแบบนี้อยู่ในข้อเขียนทางการเมืองจำนวนมากในช่วงต้นสมัยใหม่ และที่ว่าเป็นความยากของนักประวัติศาสตร์จะบอกว่าแนวคิดเรื่องความลับมักจะเป็นความลับด้วย
ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง 18 เป็นช่วงเวลา ที่คนทั่วไปหมกมุ่นหลงใหลกับความลับ การปกปิดและการเข้าถึงความรู้อันเร้นลับในทุกๆ มิติไม่ว่าจะในทางศาสนา วิทยาศาสตร์หรือความรู้เรื่องทำมาหากิน
Q : ทำไมต้องเป็นช่วงนี้ด้วย?
A : ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาที่เกิด นวัตกรรมทางการเมืองขึ้นในคาบสมุทรอิตาลีหรือที่เราเรียกว่า ‘ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)’ ซึ่งเป็นการเมืองที่ขึ้นอยู่กับเมืองจริง ๆ หรืออาจจะพอกล่าวได้ว่าเป็นการเมืองที่ขึ้นกับประชาสังคม ในช่วงนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่การพิมพ์และการอ่านออกเขียนได้ขยายตัว ดังนั้นในช่วงนี้ความต้องการการรับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของบ้านเมือง จะอยู่ในความสนใจของชาวเมืองทั่วไป ผู้ปกครองก็เลยให้ความสำคัญกับหลักปฏิบัติทางการเมืองเพื่อไม่ให้ข้อมูลที่สำคัญแพร่งพรายออกไปไปนอกกลุ่มคนที่จำเป็นจะต้องรู้จริง ๆ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนและส่งผลต่อความเห็นสาธารณะ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นการแข่งขันช่วงชิงทางการเมืองก็มีความเข้มข้นมากจากเหตุผลเดียวกัน นอกจากศิลปะการรักษาความลับแล้วการล่วงรู้ความลับของฝ่ายตรงข้ามถือเป็นศิลปะที่สำคัญมาก งานด้านข่าวกรองและสายลับถูกพัฒนาขึ้นมากในช่วงเวลานั้น หรือถ้ามองนอกพื้นที่ทางการเมืองก็จะเห็นได้ว่าช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง 18 เป็นช่วงเวลา ที่คนทั่วไปหมกมุ่นหลงใหลกับความลับ การปกปิดและการเข้าถึงความรู้อันเร้นลับในทุกๆ มิติไม่ว่าจะในทางศาสนา วิทยาศาสตร์หรือความรู้เรื่องทำมาหากิน เราคงจะพอคุ้นเคยกับการปฏิรูปศาสนาและการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ซึ่งการเปิดเผย เปิดโปงหรือปกปิดมีความสำคัญอย่างมากในสถานะของการฝึกความรู้ หรือถ้าหากเราดูที่ความลับเรื่องทำมาหากินเช่นเคล็ดลับด้านการช่างหรือการค้า ความรู้เหล่านี้โดยทั่วไปเป็นความรู้ที่ตกทอดกันในวงศ์ตระกูลหรือภายในกลุ่มช่าง แต่เนื่องจากมีการขยายตัวของสิ่งพิมพ์มีการซื้อขายความรู้เหล่านี้เพื่อนำมาพิมพ์เผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
ในช่วงต้นสมัยใหม่ประเด็นเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลในยุคนั้นให้ความสนใจค่อนข้าง มาก เพราะในหลายกรณี นำไปสู่การล้มรัฐบาลเลยทีเดียวไม่ต่างจากกรณีโทรเลขกระทรวงต่างประเทศสหรัฐที่รั่วไหลในวิกิลีกส์หลายปีมาแล้ว ในศตวรรษที่ 17 ในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ ฝ่ายรัฐสภาสามารถยึดเอาหีบบรรจุจดหมายส่วนพระองค์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 (Charles I) และได้ก็นำเอกสารส่วนนี้มาตีพิมพ์ ซึ่งตอนนั้นถือเป็นการรั่วไหลของข้อมูลรัฐครั้งใหญ่ที่ส่งผลสะเทือนมาก เปรียบได้กับเป็นวิกิลีกส์ในยุคนี้เลยทีเดียว
ถ้าเราย้อนกลับไปดูในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) หรือคัมภีร์ฮิบรู (Hebrew Bible) จะเห็นได้ว่าความลับหรือความเงียบไม่ได้มีนัยยะในทางบวกมากนัก
Q : ในบท ความเงียบงันสู่ระเบียบ: ความลับในคริสต์ศาสนา หลายคนอาจตั้งคำถาม ศาสนามีส่วนการปกปิดความลับอย่างไร หรือกล่าวอีกนัยว่า ‘ศาสนาไม่แยกขาดจากการเมืองหรือไม่’ หรือ ‘การปกปิด ความลับ การซ่อนเร้น ไม่ขัดต่อหลักศีลธรรมในคริสต์ศาสนาละหรือ’?
A : คริสต์ศาสนามีส่วนค่อนข้างมากที่ใช้หลักคิดเรื่องความลับและความลี้ลับในหลายๆ ด้าน เรามักจะมองว่าศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นองค์กรแห่งความลับ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) หรือคัมภีร์ฮิบรู (Hebrew Bible) จะเห็นได้ว่าความลับหรือความเงียบไม่ได้มีนัยยะในทางบวกมากนัก ในช่วงแรกเนี่ยมักจะถูกเชื่อมโยงกับการบูชาเทพเจ้าฐานรูปเคารพเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถมีสัมพันธ์ได้เป็นเทพเจ้าที่เงียบงัน ซึ่งแตกต่างจากพระเจ้าของคริสเตียน
ในคัมภีร์ฮิบรูจุดขายและจุดเด่นอันหนึ่งของยะโฮวาห์ (Yahova) หรือยาห์เวห์ (Yahweh) ที่แตกต่างจากเทพเจ้าในยุคเดียวกันก็คือ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บูชาอย่างมากไม่ว่าจะผ่านตัวแทนหรือผู้เผยพระวจนะ และผ่านการที่พระเจ้าให้รางวัลหรือลงโทษ และภาพของความเงียบงันในช่วงนั้น ไม่ได้มีนัยยะของความสงบหรือความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ประกอบในคริสต์ศาสนาสมัยใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีนัยยะของการถูกสาปและความตาย เช่นในคัมภีร์ฮิบรูมีการสาปให้เป็นใบ้
แต่เมื่อมาถึงคัมภีร์กรีกหรือพันธสัญญาใหม่ (New Testament) ในยุคเริ่มสร้างคริสตจักรสมัยแรก ๆ ความเงียบและการไม่แสดงออกกลายมามีนัยยะของความสงบมากขึ้น ทั้งที่หมายถึงการไม่แสดงออกศาสนพิธีหรือในพื้นที่อื่นๆเนื่องจากลดความเสียดทานจากภายนอกและลดความขัดแย้งภายในคริสตจักรเอง การแสดงออกมากและการส่งเสียงดังถูกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นบาป ความเงียบไม่กลางไม่แสดงออกเชื่อมโยงกับความสุขความสงบ ไม่เข้าสู่สมัยกลางความเงียบและความลับได้ถูกผนวกเข้ากับศาสนาปฏิบัติในหลายๆด้านด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะปฏิบัติในสำนักสงฆ์ และเทววิทยาทางด้านที่ศาสนาเองเริ่มให้ความสำคัญกับมิติมีมากขึ้น ซึ่งที่กล่าวมานี้เชื่อมโยงกับลักษณะความเป็นองค์กรทางการเมืองของศาสนจักรเรื่องมาก และต่อมาอำนาจในทางโลกก็หยิบยืมเอาลักษณะแบบนี้ไปเหมือนกัน
Q : การศึกษาประวัติศาสตร์ความลับภายในเล่มนี้ มีคำศัพท์ปรากฏอยู่มาก มีคำนึงที่ดูเหมือนทรงอิทธิพลคือ “arcana imperii” ช่วยอธิบายคำจำกัดความของคำนี้หน่อย
A : คำนี้เป็นคำที่ใช้มากที่สุดตั้งแต่ยุคต้นสมัยใหม่เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันเพื่อกล่าวถึงความลับทางการเมืองโดยทั่วๆไป แต่ถ้าเราดูที่มาของวลีนี้ ก็จะพบว่ามาจาก Tacitas นักประวัติศาสตร์โรมัน สำนวนนี้ก็เลยแพร่หลายครั้งมากในยุคต้นสมัยใหม่ที่มีการค้นพบงานของ Tacitas ถ้าแปลตรงๆ ก็หมายถึง Secret Of The Empire หรือหมายถึงความลับทางการเมืองทั่วๆไป แต่ถ้าเรากลับไปดูงานของ Tacitas จะพบว่าเขาใช้คำนี้กับลักษณะของอำนาจทางการเมืองที่มีความเฉพาะเจาะจงมากที่เดียว แต่เมื่อปราชญ์ต้นสมัยใหม่ทำให้คำนี้แพร่หลายเขาถูกใช้ในแง่ของศิลปะของการซ่อนเร้นในทางการเมือง ซึ่งถูกใช้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
การเขียนถึงเรื่องความลับหรือเพทุบายทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เป็นสิ่งที่รับรู้กันโดยไม่จำเป็นจะต้องถกเถียงประเด็นด้านศีลธรรมมากนัก
Q : มากล่าวถึงปรัชญาการเมืองกันบ้าง ปรัชญาหรือแนวคิดเชิงการเมืองการปกครองแบบใด ที่ส่งอิทธิต่อการปกปิดซ่อนเร้นในทางประวัติศาสตร์มากที่สุด?
A : ที่จริงแล้วมีงานหลายชิ้นที่พูดถึงเรื่องศิลปะของการรักษาความลับเป็นทางการเมือง แต่อย่างที่ผมบอกแล้วว่างานพวกนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่มากนัก และไม่ได้เป็นงานที่มีอิทธิพลในวงกว้างนัก การเขียนถึงเรื่องความลับหรือเพทุบายทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เป็นสิ่งที่รับรู้กันโดยไม่จำเป็นจะต้องถกเถียงประเด็นด้านศีลธรรมมากนัก แต่งานที่ถือได้ว่าให้ความสำคัญของการปกปิดซ่อนเร้นอย่างโจ่งแจ้งจนกระทั่งไม่คำนึงถึงประเด็นด้านศีลธรรมเลย คือมาเคียเวลลี่ แม้ว่างานของเขาไม่ได้เสนอหลักคิดเรื่องความลับในทางการเมืองทางสังคมหรือทางจิตวิทยามากนะเมื่อเปรียบเทียบกับนักเขียนท่านอื่นๆ แต่ถือได้ว่าปลุกกระแสการถกเถียงเรื่องดังกล่าวอย่างมาก มักจะถือว่าเขาเป็นผู้ที่ทำให้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความลับและการปกปิดถูกดึงเข้ามาถกเถียงในประเด็นในด้านศีลธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Q : เมื่อพลิกดูสารบัญของหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นที่ ความสัมพันธ์ นักคิด นักปรัชญาของยุโรป ทำไมถึงเป็นพื้นที่ของยุโรป?
A : ถ้าตอบง่ายๆก็คือผมไม่รู้เรื่องที่อื่นดีนักถ้าเปรียบเทียบกับยุโรป หรือตอบอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าความเป็นสาธารณะในทางการเมืองเป็นผลจากความเป็นสมัยใหม่ทางการเมืองที่มาจากยุโรป และนักคิดยุคต้นสมัยใหม่และยุคแสงสว่างก็จำเป็นจะต้องอภิปรายประเด็นดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่กลับเปิดทางให้กับศิลปะเรื่องความลับเป็นอย่างมาก อาจจะกล่าวได้ว่ามากกว่าในช่วงต้นสมัยใหม่เสียอีก เพราะว่าเทคโนโลยีเรื่องข้อมูล และการเมืองสมัยใหม่ต้องอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต"
Q : อาจารย์บอกว่าแนวคิดเรื่องความลับมีความสำคัญกับแนวคิดยุคต้นสมัยใหม่ แล้วการเมืองสมัยใหม่ที่ระบอบประชาธิปไตยถูกยกมาเป็นมาตรฐานหลัก แนวคิดเรื่องความลับยังมีอยู่หรือไม่ และมีอยู่อย่างไร?
A : อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ยุคกรีกโบราณได้ให้ความหวังว่าจะเป็นระบอบการเมืองที่โปร่งใสและเปิดให้คนหมู่มากมีส่วนร่วม และเชื่อว่าสิ่งนี้จะสามารถขจัดอิทธิพลของอำนาจมืดหรือมือที่มองไม่เห็น แต่ระบอบประชาธิปไตยหรือระบบการเมืองที่คนหมู่มากมีส่วนร่วมซึ่งมีมากบ้างน้อยบ้างในช่วงเวลากว่า 2,000 ปี มีการเปิดโอกาสให้อำนาจลักษณะดังกล่าวดำรงอยู่ได้ไม่ว่าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อีกครั้งถ้าจะดูให้ดีก็จะเห็นว่าหลักคิดเรื่องความลับก็ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่องจากนักคิดในยุคต่างๆ แต่ว่าจะพอมองเห็นได้ว่าเป็นแนวคิดที่สำคัญในทางการเมืองอย่างมากในยุคต้นสมัยใหม่ หรือราวคริสตศตวรรษที่ 15 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18
ระบอบเสรีประชาธิปไตยใหม่เป็นระบอบที่ยึดมั่นอยู่กับคำสัญญาของระบอบประชาธิปไตยโบราณว่า จะสร้างระบอบที่โปร่งใสปราศจากอำนาจมืดต่างๆ และเป็นระบอบการเมืองที่เป็นสาธารณะ แต่ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ผนวกเอากลไกของรัฐราชการและกลไกทางการเมืองต่างๆ ทำให้เกิดระบบที่มีความซับซ้อนมากและระบบอันนี้กลับกลายเป็นการเปิดประตูให้กับอำนาจนอกระบบอย่างมาก อย่างเช่นเวลาเรากล่าวถึงยุคที่มีประชาธิปไตยทางตรงผ่าน Digital Revolution แล้วกลับเห็นถึงปรากฏการณ์ที่รัฐบาลสามารถจะใช้ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญสามารถที่จะ manipulate ความคิดเห็นสาธารณะได้ เช่นกรณีของบริษัท Cambridge Analytica ที่เป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลด้านการเลือกตั้ง ใช้การล้วงข้อมูลส่วนบุคคลใน Facebook รวมถึงการจารกรรมข้อมูล สามารถ manipulate ผลการเลือกตั้งได้ Cambridge Analytica ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการเมืองให้กับ Donald Trump ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี อันนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นว่าระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่กลับเปิดทางให้กับศิลปะเรื่องความลับเป็นอย่างมาก อาจจะกล่าวได้ว่ามากกว่าในช่วงต้นสมัยใหม่เสียอีก เพราะว่าเทคโนโลยีเรื่องข้อมูล และการเมืองสมัยใหม่ต้องอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต

รศ. วิศรุต พึ่งสุนทร
Q : แล้วในกรณีประเทศไทยล่ะ
A : ผมว่าในกรณีประเทศไทยค่อนข้างจะต่างจากกรณีของวิกิลีกส์หรือ Cambridge Analytica ค่อนข้างมาก กรณีดังกล่าวนี้มันเกิดขึ้นในระบอบเสรีประชาธิปไตยในแบบโลกตะวันตก ซึ่งมีการรับรองให้พลเมืองเข้าถึงข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูลรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง หรือถ้าจะมีงานด้านข่าวกรองหรือที่เกี่ยวกับราชการลับก็จำเป็นจะต้องมีกรรมาธิการที่มีองค์ประกอบของตัวแทนประชาชนมาเป็นผู้ตรวจสอบ
ในกรณีของบ้านเราค่อนข้างจะต่างไปมาก ทั้งในแง่ที่ปัจจุบันเราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ จึงไม่มีความจำเป็นของการที่ความลับทางการเมืองจะต้องซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอุดมคติความโปร่งใสของระบอบเสรีประชาธิปไตย และที่หลายคนบอกว่าเรายังอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่ยังค่อนข้างจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียก ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ หากมองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประวัติศาสตร์ยุโรป เราจะพบว่าเป็นระบอบที่ให้ความสำคัญกับการมีความลับ การปกปิด รวมถึงความเร้นลับอย่างมาก เพราะว่าสิ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งในการยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจทางการเมือง และความลับเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงเสถียรภาพทางการเมือง ความชอบธรรมและความสามารถของผู้ปกครอง อำนาจของกษัตริย์ในระบอบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องเลียนแบบอำนาจของพระเจ้าตามคัมภีร์ไบเบิล
ผมว่าเราสมัยนี้คล้ายยุโรปศตวรรษที่ 16 หรือศตวรรษที่ 17 ช่วงนั้นความลับหรือการปกปิดเป็นเครื่องแสดงถึงรัศมีของความศักดิ์สิทธิ์ อันนี้ต่างจากศตวรรษที่ 20 หรือ 21 อย่างมากที่มีทั้งระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่มีทั้ง Digital Revolution ในบ้านเรามีทั้งตัวบทกฎหมายมีทั้งประเพณีที่ทำให้เราต้องอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองของความลับโดยไม่จำเป็นจะต้องมองเห็นแสงของความเปิดเผยอยู่เลย
Q : สุดท้าย อาจารย์อยากฝากอะไรกับนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่บ้าง
A : ผมคงต้องบอกว่าสำหรับนักประวัติศาสตร์ไทยแล้วโดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ การที่จะต้องทำงานตั้งแต่อยู่ในสภาวการณ์แบบนี้ ในภาวะที่การเข้าถึงข้อมูลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถูกจำกัด ถูกปิดกั้นหรือหลักฐานถูกทำลาย การนำเสนอข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์สามารถนำผู้นั้นสู่ภยันตรายได้ หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นยุคที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์ แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าเป็นยุคที่ค่อนข้างจะสิ้นหวัง ส่วนหนึ่งที่ผมเขียนประวัติศาสตร์แนวคิดเรื่องความลับ ก็เพราะรู้ดีว่าประวัติศาสตร์ไทยหลายเรื่องไม่สามารถพูดถึงได้ ผมขอยืมประโยคที่ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) พูดถึงรัฐบาลของเขามาใช้ในหนังสือ เพื่อจะบอกว่าประวัติศาสตร์หลายเรื่องถูกปกปิดเพราะว่าเป็นความลับไม่ต้องการให้คนรู้ แต่บางเรื่องถูกปกปิดไม่ใช่เพราะว่าเป็นความลับ เพราะมันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่การปกปิดเป็นเรื่องของการห้ามพูดถึง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่แย่ไปกว่าการเข้าถึงหลักฐานไม่ได้เสียอีก
___________________________________________________________________________________________________________________