โดย ดุลยภาค ปรีชารัชช
นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การศึกษาเขตแดนในแวดวงไทยคดีศึกษาได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง มีกระแสถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพลวัตภูมิศาสตร์กับกระบวนการประดิษฐ์ประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบคึกคักนับตั้งแต่ที่ผลงานอันลือเลื่องของธงชัย วินิจจะกูล เรื่อง "กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ" ได้รับการตีพิมพ์ออกมา (ทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย)
รูปที่ 1. ธงชัย วินิจจะกูล กับหนังสือ "กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ"
มาวันนี้ หนังสือเรื่อง "สยามเขตร: หลากหลายมิติเขตแดนสยาม” ก็ถือเป็นผลผลิตส่วนหนึ่งที่ขยายผลต่อยอดมาจากกระแสนิยมดังกล่าว ทว่า จุดเด่นของสยามเขตรคือความพยายามชี้ชวนให้เห็นถึงสีสันในการศึกษาเรื่องเขตแดน (boundary) ชายแดน (border) หรือพรมแดน (frontier) ทั้งในสยามและอินโดจีนผ่านการรวบรวมกรณีศึกษา (case studies) ที่หลากหลายเพื่อผลิตองค์ความรู้แบบรอบด้านเกี่ยวกับเรื่อง "ขอบขันธ์วิทยา" บนพื้นทวีปอุษาคเนย์ในลักษณะที่ลุ่มลึกและถึงที่สุด โดยมีฐนพงศ์ ลือขจรชัย เป็นบรรณาธิการ
หนังสือนี้เป็นการรวบรวมบทความโดยแบ่งออกเป็น 5 บทหลัก ได้แก่ บทนำ (เขตแดนศึกษา: การศึกษาเขตแดนไทย) และบทที่ 1 (ระบบเขตแดนรัฐจารีตและปัญหาการเปลี่ยนผ่านในสยาม) ซึ่งทั้งสองบทเขียนโดยฐนพงศ์ ส่วนบทที่ 2 (เวียดนามที่ “พรมแดนเขมร” การเมืองเรื่องเขตแดน, ค.ศ. 1802-1847) เขียนโดย หวู ดึ๊ก เลียม แปลโดย สุเจน กรรพฤทธิ์ สำหรับบทที่ 3 (การขยับเขยื้อนของชายแดนบริเวณแม่น้ำโขงตอนบน: สยามและฝรั่งเศสในทศวรรษที่ 1890) เขียนโดยแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ แปลโดย ธนเชษฐ วิสัยจร ส่วนบทที่ 4 (ความเปลี่ยนแปลงต่อการรับรู้เรื่องพรมแดนของผู้คนในเขตปราสาทพระวิหาร) ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของหนังสือนั้น เขียนโดยพิพัฒน์ กระแจะจันทร์
ในบทนำ ฐนพงศ์แบ่งงานศึกษาเรื่องเขตแดนไทยออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่วิเคราะห์ประหนึ่งว่ารัฐชาติไทยมีเขตแดนที่แน่นอนตั้งแต่อดีตพร้อมเห็นว่าเขตแดนไทยมีฐานะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ที่ดำรงอยู่และสามารถสูญเสียดินแดนไปได้ งานที่น่าสนใจ อาทิ งานของเพ็ญศรี ดุ๊ก เรื่อง "การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย (ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถึงสิ้นสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม)” และงานของสุวิทย์ ธีรศาศวัต เรื่อง "เบื้องลึกการเสียดินแดนและปัญหาปราสาทพระวิหารจาก ร.ศ.112 ถึงปัจจุบัน”
รูปที่ 2. ตัวอย่างของงานกลุ่มที่ 1.
2. กลุ่มที่เห็นว่ารัฐชาติไทยพึ่งมีเขตแดนที่ชัดเจนครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นห้วงที่ต้องปะทะกับจักรวรรดินิยมตะวันตก โดยก่อนหน้านั้น รัฐจารีตสยามและดินแดนส่วนใหญ่ในอุษาคเนย์ไม่เคยมีระบบเขตแดนที่แน่ชัด งานที่โดดเด่นในกลุ่มนี้ได้แก่งานของธงชัยเรื่อง "กำเนิดสยามจากแผนที่ฯ” ซึ่งเป็นงานที่รับอิทธิพลบางส่วนมาจากบทความเรื่อง "ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา" ของเบเนดิกต์ แอนเดอสัน และเป็นงานที่ส่งอิทธิพลต่องานเขียนเรื่องเขตแดนชิ้นอื่นๆ อย่างงานของชาญวิทย์ เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
รูปที่ 3. ตัวอย่างของงานกลุ่มที่ 2.
3. กลุ่มที่ศึกษาเมืองชายแดนและพื้นที่ข้ามพรมแดนโดยเน้นความสำคัญของพื้นที่ชายแดนมากกว่ารัฐบาลกลาง อาทิ งานของปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี และจักรกริช สังขมณี ซึ่งมีวิธีคิดที่รับอิทธิพลมาจากงานของ เอ็ดมุนด์ ลีช และ เจมส์ ซี. สก๊อตต์
รูปที่ 4. ตัวอย่างของงานกลุ่มที่ 3.
ในบทต่อมา ฐนพงศ์ ได้พูดถึงระบบเขตแดนในรัฐจารีตสยามและอุษาคเนย์ผ่านคติพระจักรพรรดิราช โดยมองว่า "วัตถุแห่งการปกครอง” ที่สำคัญที่สุดตามคติพระจักรพรรดิราช คือ "เมือง” ไม่ใช่ "ดินแดน” หรือ "ผู้คน” องค์อธิราชหรือเจ้าอภิราชจะสร้างเครือข่ายแห่งอำนาจระหว่างราชธานีกับเมืองต่างๆผ่านผู้ปกครองเมือง แต่ละเมืองก็เป็นแหล่งของไพร่ แรงงาน กำลังพล ดังนั้น การขึ้นทะเบียนไพร่ของแต่ละเมืองจึงมีความสำคัญมาตลอดตั้งแต่สมัยอยุธยา (น.14-15) ต่อกรณีนี้ การวิเคราะห์โครงสร้างการปกครองยุคโบราณที่แบ่งเมืองในสยามออกเป็น 4 ระดับ คือ ราชธานี หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและประเทศราช พร้อมการใช้คลอง หนอง บึง ต้นไม้ สันเขา ศิลาจารึก ฯลฯ เป็นเครื่องหมายปันพระราชอาณาเขตระหว่างรัฐจารีตหนึ่งกับรัฐจารีตอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นมากต่อการเข้าถึงมโนทัศน์เรื่องเส้นเขตแดนโบราณที่มีลักษณะไม่ชัดเจนและไม่มีการลากเส้นแบ่งเขตที่ปักปันไปตามภูมิประเทศจริง
รูปที่ 5. รูปภาพจาก Santanee Phasuk and Philip Stott. Royal Siamese Maps: War and Trade in Nineteenth Century Thailand - ด่านเจดีย์สามองค์ และต้นประดู่ 2 ต้น หลักประโคน
จุดเด่นอย่างหนึ่งในข้อสังเกตของฐนพงศ์คือการชวนถกเรื่องสถานะของประเทศราชที่ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐสองฝ่ายฟ้า/สามฝ่ายฟ้าหรือมีอธิปไตยเชิงซ้อนเสมอไป แต่ในบางบริเวณและในบางบริบท ประเทศราชอาจเป็นรัฐแบบ "หนึ่งหล้าฟ้าเดียว” ที่ขึ้นต่อเจ้าอภิราชเพียงพระองค์เดียวได้ ตามทัศนะของรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ล้วนเป็นที่ชัดเจนว่า เวียดนามได้เอาเขตแดนของสยามไป หรือเมืองฮาเตียน (บันทายมาศ) เมืองเขมรและเมืองเวียงจันทน์ก่อนศึกอานามสยามยุทธนั้นก็เป็นเมืองออกของเวียดนาม กล่าวคือหัวเมืองเหล่านี้ไม่ใช่เมืองสองฝ่ายฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นเมืองที่ขึ้นต่อพระจักรพรรดิญวนเพียงฝ่ายเดียว ฉะนั้น สยามจึงต้องเปิดศึกเพื่อชิงเมืองเหล่านี้คืนมา (น.21) และแม้แต่ในความรับรู้ของชาวตะวันตกที่เข้ามาในภูมิภาคแถบนี้ เช่น ในบันทึกของฟรางซิส การ์นิเยร์ ก็เคยระบุว่าเมืองสังขะ ขุขันธ์ สุรินทร์ และจำปาศักดิ์ ล้วนเป็นเมืองใต้การควบคุมของสยามแต่เพียงฝ่ายเดียว (น.23) ฉะนั้น เมืองประเทศราชตรงปลายพระราชอาณาเขตจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองที่จงรักภักดีต่อเจ้าอภิราชหลาย ๆ พระองค์พร้อม ๆ กัน แต่อาจฝักใฝ่เจ้าเหนือหัวสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียวก็ได้
บทความของหวู ดึ๊ก เลียม เกี่ยวกับการขยายเขตแดนของเวียดนามตรงพรมแดนเขมรในช่วงราชวงศ์เหงวียน ช่วยสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของกลุ่มชนชั้นนำในราชสำนักเว้ที่ต้องการดำเนินนโยบายสถาปนาแนวอาณาเขตที่ชัดเจนเพื่อใช้เป็นรากฐานรองรับการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจ การทหารและการเผยแพร่อารยธรรมของรัฐเวียดนามบนแผ่นดินกัมพูชา รัฐบาลเว้ตัดสินใจขุด "คลองหวิงห์เต๋" เชื่อมชายทะเลจากฮาเตียนเข้าไปลึกถึงเมืองเจิวด๊ก (โชดก) เป็นระยะทางกว่า 87 กิโลเมตร (น.98) คลองสายนี้อยู่ใกล้พรมแดนเขมรและทำให้เวียดนามเข้าสู่โลกของคนเขมรได้ง่ายขึ้น คลองนี้ช่วยทั้งเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร การเปิดพรมแดนกสิกรรมใหม่ การสร้างหมู่บ้าน และสร้างแนวป้องกันเพื่อปกป้องผู้ตั้งรกรากและกองทหารญวนที่ตั้งมั่นอยู่ตรงปลายแดน สัมฤทธิ์ผลของโครงการขนาดยักษ์นี้ คือ อิทธิพลเวียดนามที่พุ่งสูงขึ้นแถบพรมแดนเขมรจนสร้างจุดเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์เมื่อเขตแดนใหม่แห่งรัฐเวียดนามได้ขยับแนวกินลึกเข้าไปในกัมพูชนจนกระทั่งกลายสภาพเป็นแนวชายแดนระหว่างเวียดนามกับกัมพูชามาจนถึงทุกวันนี้
รูปที่ 6. แผนที่ฮาเตียน ที่มา : Đại Nam Nhất Thống Dư Đồ (1861a, EFEO Microfilm, A.68, 170b).
เลียม ยังได้อธิบายการเขียนแผนที่ของรัฐราชวงศ์เหงวียนระหว่างห้วงปี ค.ศ. 1830-1860 ที่แสดงให้เห็นองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ อาทิ แม่น้ำ ภูเขา กำแพงเมือง ค่ายทหารและเส้นเขตแดนซึ่งบางครั้งถูกลากเครื่องหมายเป็นเส้นประหรือเส้นทึบ (น.118) เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เลียม ให้คำอธิบายหรือคำพรรณาต่อเรื่องดังกล่าวที่น้อยมาก แต่ภาพแผนที่เก่าทางแถบฮาเตียนและอานซางที่เขายกมาในบทความนั้น ล้วนแสดงรูปสัณฐานของเส้นเขตแดนในสมัยราชวงศ์เหงวียนซึ่งมีลักษณะคงที่ชัดเจนและเป็นเส้นตรงหรือเป็นจุดไข่ปลาต่อเรียงกันไปเป็นแนวยาว สวนทางกับชุดทฤษฎีทั่วไปที่มักรับรู้กันว่าเส้นเขตแดนในรัฐอุษาคเนย์พื้นทวีปโบราณ มักพร่ามัว ไม่ชัดเจนและไม่มีการลากเส้นตรงสลักลงไปบนแผนที่เพื่อแสดงแนวอาณาเขตระหว่างรัฐหรือระหว่างเมือง
ดังนั้น หลักฐานประวัติศาสตร์ในงานของเลียมจึงช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเวียดนามยุคก่อนอาณานิคมน่าจะเป็นรัฐอินโดจีนเพียงแห่งเดียวที่พบเห็นกระบวนการก่อรูปรัฐ (state formation process) ผ่านการขีดเขียนลากเส้นเขตแดนบนแผนที่ได้แบบชัดเจนที่สุด
แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ ใช้แนวทางประวัติศาสตร์ผสมมานุษยวิทยาเพื่อตีความชายแดนแม่น้ำโขงตอนบนโดยวิเคราะห์การแย่งชิงอำนาจระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเหนือเชียงแสนและเชียงของในยุคล่าอาณานิคม หลังจากที่เขาอ่านแหล่งข้อมูลเอกสารของฝรั่งเศสอย่างกระตือรือร้น วอล์คเกอร์ ค้นพบว่ารัฐสยามสามารถนำวิธีคิดเรื่องการกำหนดดินแดนใหม่เหนืออาณาบริเวณ (ที่การใช้อำนาจระหว่างสยามกับฝรั่งเศสยังจัดการได้ไม่ชัดเจน) มาใช้ประโยชน์ต่อฝ่ายสยามได้อย่างรวดเร็ว แม้ฝรั่งเศสจะประท้วงอยู่เนือง ๆ แต่รัฐบาลสยามกลับยืนกรานที่จะวางรากฐานระบบราชการในเชียงแสนและเชียงของ "โดยกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์โทรเลขในฐานะตัวแทนระบบบริหารราชการแห่งชาติ" (น.175) ประจำการอยู่ตรงนั้นและนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้รัฐบาลสยามสามารถขยับขยายไปสู่การปูรากฐานระบบราชการในเมืองที่ตั้งอยู่สุดขอบของอำนาจอธิปไตยรัฐที่ถูกลากเส้นขีดเขียนขึ้นมาใหม่
ในความรับรู้ทั่วไปแล้ว มักมองกันว่าเจ้าอาณานิคมตะวันตกอย่างฝรั่งเศสมีแนวนโยบายลากเส้นเขตแดนให้เด่นชัดเสมอเพื่อระบุขอบเขตอำนาจอธิปไตยแบบชัดแจ้ง ผิดกับราชอาณาจักรสยามที่มักคุ้นชินกับโครงร่างเขตแดนแบบพร่ามัวหรือไม่รีบร้อนนักที่จะสถาปนาอำนาจแบบเข้มข้นบนพื้นที่ชายขอบ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ข้อเขียนของวอล์คเกอร์ (ผ่านกรณีเชียงแสนและเชียงของ) กลับแสดงถึงสิ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ ฝรั่งเศสกลับไม่เร่งสำแดงอำนาจที่ชัดเจนในพื้นที่แถบนั้นเพราะขาดความพร้อมหลายประการ เช่น งบประมาณและกองทหารที่ทรงประสิทธิภาพ สวนทางกับราชสำนักสยามที่กลับเร่งเร้ากระบวนการทำให้เส้นเขตแดนมีความชัดเจนขึ้นเพื่อมุ่งผนวกสองเมืองชายโขงให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยแห่งรัฐ
รูปที่ 7. แผนที่ทางอากาศเหนือเมืองเชียงแสน แสดงให้เห็นลักษณะคูเมืองและกำแพงเมือง รวมถึงแม่น้ำโขงและฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
งานของพิพัฒน์ กระแจะจันทร์ ถือเป็นงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตรงบริเวณอีสานใต้และปราสาทพระวิหาร พิพัฒน์ให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่น นโยบายแปลงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นให้เป็นไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 รายละเอียดเส้นทางเดินทางจากกัมพูชาผ่านหมู่บ้านชายแดนหลายแห่งเพื่อขึ้นไปยังเมืองขุขันธุ์ของเอเจียน แอมอนิเย และการเดินทางข้ามพรมแดนในความทรงจำของคนท้องถิ่นซึ่งพิพัฒน์ได้สัมภาษณ์ชาวเขมรสูง (ไทย) กับชาวเขมรล่าง/เขมรลุ่ม (กัมพูชา) จำนวนหนึ่ง
กระนั้น สิ่งที่ดูสะดุดตาในบทความของพิพัฒน์ คือ สภาพภูมิศาสตร์ของเทือกเขาพนมดงรักบริเวณปราสาทพระวิหารที่เป็นขอบหน้าผาจนแบ่งได้ชัดเจนระหว่างพื้นที่ฝั่งไทยกับฝั่งกัมพูชา ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงชายแดนแถบนั้นจะใช้แนวสันเขาและหน้าผาเป็นจุดสังเกตเพื่อแบ่งเขตระหว่างสองประเทศซึ่งความรับรู้ในระดับพื้นที่เช่นนี้ล้วนได้รับการถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ผู้ให้ข้อมูลในท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งเล่าถึงวิธีการสังเกตเขตแดนโดยอธิบายว่าถ้าเดินผ่านช่องตาเฒ่าจะสังเกตได้ง่ายว่าได้เข้ามาที่เขตเขมรลุ่มแล้วเนื่องจากบริเวณนั้นจะตั้งต่ำกว่าฝั่งเขมรสูงและมีลักษณะเป็นพื้นราบไปทั้งหมด และเมื่อเดินผ่านช่องโพยก็จะรู้ได้ว่าผ่านพ้นเขตไทยแล้วหรือยังโดยสังเกตจากยอดเขา นั่นคือ ถ้าเดินพ้นส่วนแนวยอดเขาก็หมายความว่าได้เดินผ่านเขตไทยไปแล้ว และถ้าหากเดินผ่านช่องตาเฒ่าจะสามารถมองเห็นผามออีแดงและประสาทพระวิหารอย่างชัดเจน (น.220) ดูเหมือนว่าชาวบ้านในละแวกนั้นจะเข้าใจการแบ่งเขตแดนปราสาทพระวิหารและพื้นที่ปริมณฑลข้างเคียงไปตามกรอบโครงสร้างกายภาพของเทือกเขาพนมดงรัก มากกว่าการระบุเขตแดนตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศในคำตัดสินศาลโลก (ซึ่งอาจดูไม่ชัดนักเมื่อเทียบกับการใช้ขอบหน้าผาเป็นตัวตัดแบ่งอาณาเขต)
รูปที่ 8. แนวหน้าผาของเทือกเขาพนมดงเร็ก (ดงรัก) ที่ใช้แบ่งเขตพรมแดนไทย-กัมพูชา
บทความทั้ง 5 ชิ้น ที่ร้อยเรียงกันอยู่ในสยามเขตร นับว่ามีคุณูปการยิ่งต่อการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์การเมืองในแถบสยามและอินโดจีน กระนั้น การสร้างแนวความคิด (conceptualize) ที่เป็นระบบระเบียบโดยนำสารัตถะที่สกัดได้จากบทต่าง ๆ มาผูกโยงควบรวมกันเพื่อสร้างคำอธิบายร่วมยังไม่ปรากฎให้เห็นอย่างชัดแจ้งซึ่งถือเป็นจุดอ่อนหนึ่งของงานนิพนธ์นี้
ฐนพงศ์ได้เน้นย้ำในปกหลังของหนังสือว่าสยามเขตรเป็นงานที่ศึกษาเขตแดน ชายแดนหรือพรมแดนของไทยจากแง่มุมต่าง ๆ พร้อมแบ่งงานศึกษาเรื่องเขตแดนไทยออกเป็น 3 กลุ่มหลัก (ในบทนำ) ฉะนั้น จึงจะดูพิถีพิถันและละเอียดละออกว่าหากมีบทปิดท้ายที่พยายามจัดจำแนกว่าบทความแต่ละชิ้นเข้าข่ายเป็นบทความที่เน้นเรื่องเขตแดน ชายแดน หรือพรมแดนหรือควรถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มงานเขียนประเภทใด (หรือมีลักษณะผสมผสานระหว่างแนวคิดและกลุ่มงานเขียนที่หลากหลาย) เช่น งานของวอล์คเกอร์และพิพัฒน์ซึ่งเน้นชายแดน/พรมแดนและมีค่าน้ำหนักของเนื้อหาที่เอียงเข้ามาอยู่ในงานเขียนกลุ่มที่ 3 ตามการจัดแบ่งของฐนพงศ์ การวิเคราะห์ประมวลในลักษณะนี้จะทำให้ผู้อ่านสามารถโยงความสัมพันธ์ระหว่างบทความแต่ละชิ้นให้เข้าไปถกเถียงอภิปรายร่วมกับชุดแนวคิดทฤษฎีตลอดจนกับงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องตามหมวดหมู่ต่างๆได้อย่างมีแบบแผน พร้อมทำให้เห็นภาพเปรียบเทียบแบบคู่ (paired comparison) เพื่อหาจุดร่วมและจุดต่างระหว่างงานของวอล์คเกอร์กับพิพัฒน์
อนึ่ง หากมีบทส่งท้ายเพื่อรวบสาระที่กระจัดกระจายอยู่ตามบทความต่างๆและฐนพงศ์ (ซึ่งทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ) ใช้การกำหนดประเด็นร่วมโดยผลักหัวข้อขึ้นมาเป็นโจทย์หลักแล้วดึงสาระแยกย่อยในบทความชิ้นต่าง ๆ มาเปรียบเทียบเชื่อมโยงกันเพื่อหาคำตอบก็จะทำให้เกิดองค์ความรู้ที่เป็นสากลมากขึ้น
ตัวอย่างสำคัญคือ การตั้งโจทย์เรื่องมุมมองเชิงพื้นที่ว่าด้วยการจัดดินแดนของรัฐโบราณ งานของเลียมได้กล่าวถึงการแบ่งรัฐจารีตเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.พื้นที่แกนกลาง 2. พรมแดน และ 3. พื้นที่ของกลุ่มคนที่ห่างไกล (น. 88) ขณะที่บทที่ 1 ของฐนพงศ์ ได้พูดถึงการแบ่งหัวเมืองภายในสยามออกจากประเทศราชตามขนบพิธีกรรมผสมกับระยะทางภูมิศาสตร์ โดยหัวเมืองภายในจะใช้พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (พระราชพิธีถือน้ำ) "อันเป็นการดื่มน้ำด้วยพระแสงราชศัสตราสาบานตนเพื่อแสดงความจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์" (น. 16) ส่วนประเทศราชสยามจะใช้รูปแบบการถวายเครื่องบรรณาการเพื่อแสดงความสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอภิราช
ดังนั้น การแบ่งพื้นที่ในสยามกับเวียดนาม แม้จะต่างกันในเชิงรายละเอียดปลีกย่อย แต่การผ่าย่านภูมิศาสตร์ออกเป็นแกนกลางกับชายขอบก็เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงจนสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบแบบคู่หรืออาจขยายผลไปสู่การเปรียบเทียบแบบร่วมเวลา-ข้ามพื้นที่ตามกรรมวิธีของเบเนดิกต์ แอนเดอสันใน "ปีศาจแห่งการเปรียบเทียบ" (“The Specter of Comparison”, 1998) ได้นั่นเอง
_____________________________________________
อ้างอิง
สยามเขตร: หลากหลายมิติเขตแดนสยาม, ฐนพงศ์ ลือขจรชัย (บรรณาธิการ), กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2565
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |