โดย สุรพศ ทวีศักดิ์

วันก่อนผมไปร้านหนังสือสวนเงินมีมา ก่อนกลับแวะวัดราชบพิธ (วัดสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน) เข้าประตูแรก คนขายลอตเตอรี่แนะนำเลขชุดอายุสมเด็จพระสังฆราช ถึงบริเวณหน้าโบสถ์ อีกเจ้าก็แนะนำเลขชุดอายุสมเด็จพระสังฆราช เดินออกอีกทางประตูหนึ่ง ก็มีคนขายก็แนะนำเลขชุดอายุสมเด็จพระสังฆราช ผมนึกถามตลกๆ ในใจว่า “ลอตเตอรี่มีความเป็นพุทธแบบไทยไหม” แล้วก็นึกถึงหนังสือ “ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนาก และการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่” ของจัสติน โธมัส แมคดาเนียล แปลโดยสมหวัง แก้วสุฟอง ซึ่งคุณพิพัฒน์ พสุธารชาติส่งมาให้ผมอ่านนานพักหนึ่งแล้วเพื่อให้เขียนวิจารณ์ แต่ผมยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี พอเห็น “ลอตเตอรี่เลขอายุสมเด็จพระสังฆราช” ก็เกิดแรงบันดาลใจ และลงมือเขียนได้ทันที

กรณีข้างบนแมคดาเนียลคงไม่ตั้งคำถามว่า ความเชื่อของคนขายหรือคนซื้อล็อตเตอรี่เลขอายุสมเด็จพระสังฆราชเป็น “พุทธ” หรือไม่ อย่างไร เพราะในหนังสือเล่มดังกล่าว เขาเขียนว่า “แทนที่จะค้นหาว่าสิ่งที่ผู้คนยึดถือ พร่ำสวด และให้คุณค่านั้นเป็น ‘พุทธ’ อย่างไร ผมจะเปลี่ยนไปมองว่าพวกเขาทำบางสิ่งอย่างไร มองว่าพวกเขาบอกเล่าการกระทำอย่างไร และมองบริบททางวัตถุ และทางสังคมที่พวกเขากระทำสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นการศึกษาคลังวัฒนธรรม (repertoire) มิใช่การศึกษาทางญาณวิทยาและกรอบความรู้” (น. 39) ดังนั้น จากกรณีตัวอย่าง แทนที่เราจะตั้งคำถามว่า ความเชื่อที่ว่าอายุ 97 ปี ของสมเด็จพระสังฆราชคือเลขนำโชคสำหรับผู้ซื้อลอตเตอรี่งวดนี้เป็นความเชื่อแบบพุทธหรือไม่ เราควรจะตั้งคำถามว่าคนขายและคนซื้อล็อตเตอรี่เลขอายุสมเด็จพระสังฆราช พวกเขาคิดอย่างไร หรือพวกเขาอธิบายความเชื่อ และการกระทำของตนเองอย่างไร
นี่คือวิธีการศึกษาที่แมคดาเนียลใช้ ซึ่งต่างจากวิธีการศึกษาทางญาณวิทยาและกรอบความรู้ที่นิยมการสร้างกรอบคิด (conceptualization) ขึ้นมาใช้ในการศึกษา เช่น การสร้างกรอบคิดว่าความเชื่อแบบไหนเป็นพุทธ ไม่เป็นพุทธ พุทธแท้ พุทธเทียมคืออะไร พุทธแบบอินเดีย พุทธแบบไทยคืออะไร พุทธแบบทางการ พุทธแบบท้องถิ่นคืออะไร หรือ “พุทธ พราหมณ์ ผี” ต่างกันอย่างไรเป็นต้น แล้วนำกรอบคิดเหล่านี้ไปตัดสินความเชื่อ การกระทำ และการปฏิบัติทางศาสนาของปัจเจกบุคคลทั้งหลาย ซึ่งมักนำไปสู่ข้อสรุปทำนองว่า ความเชื่อและการปฏิบัติของบรรดาผู้นับถือศ่าสนาเหล่านั้นใช่หรือไม่ใช่พุทธ หรือเป็นพุทธแบบไหน เพราะอะไร และมักจะมองว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็น “ผู้ถูกกระทำ” หรือถูกชี้นำโดยความเชื่อตามกรอบคิดเหล่านั้น มากกว่าที่จะเป็นผู้กระทำที่สามารถใช้ประโยชน์จากความเชื่อเหล่านั้นด้วยวิจารณญาณของตนเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้กรอบคิด “พุทธแท้” หรือพุทธเถรวาทบริสุทธิ์ไปวิเคราะห์กรณีความเชื่อ “นิรมิตเทวาจุติ” และ “การเชื่อมจิต” ของน้องไนซ์ที่ถูกวิจารณ์ในโลกโซเชียลช่วงนี้ ก็จะตั้งคำถามว่า ความเชื่อเช่นนี้ถูกต้องตามหลักคำสอนพุทธศาสนาหรือไม่ มีในไตรปิฎกไหม ใช่พุทธแท้หรือไม่ กระทั่งอาจนำไปสู่การกล่าวหาว่าบิดเบือนหรือทำลายพุทธศาสนาหรือไม่ แต่ถ้าใช้การศึกษาคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาไทยไปวิเคราะห์ ก็จะตั้งคำถามว่า น้องไนซ์และทีมงานของเขาใช้เรื่องเล่า ชุดความเชื่อ คำอธิบาย คำสอนอะไรบ้างในคลังวัฒนธรรมพุทธศาสนาไทยมาประยุกต์กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการสร้างความหมาย ความเชื่อ และการปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับตนเอง และตอบสนองความต้องการของคนอื่นๆ ในกลุ่มคนที่เชื่อแบบเดียวกัน ซึ่งสามารถได้คำตอบของคำถามเหล่านี้จากคำอธิบาย การกระทำ หรือการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคนที่เชื่อเช่นนั้น ดังนั้น เราจึงสามารถรู้ความหมายและคุณค่าของการนับถือศาสนาที่สะท้อนออกมาจากผู้นับถือศาสนาเอง ในฐานะที่พวกเขาเป็นปัจเจกบุคคลผู้กระทำการ มากกว่าที่จะเป็นเพียงผู้ถูกตัดสินจากกรอบแนวคิดหรือกรอบความรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง

แมคดาเนียลนำการศึกษาคลังวัฒนธรรมมาใช้ในการศึกษาความเชื่อเรื่อง “สมเด็จโตกับนางนาก” เพื่อสะท้อนภาพของการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ โดยใช้วิธีวิทยาเชิงชาติพันธุ์วิทยาในสายของบลูโน ลาร์ตูร์ (Bluno Latour) และฮาร์โรลด์ การ์ฟินเกล (Harold Garfinkel) ซึ่งมุ่งสนใจวิธีที่ผู้คนใช้สร้างความหมาย วิธีแสดงและความเข้าใจที่อาจเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอต่อผู้อื่น และวิธีสร้างสังคมและคำอธิบายขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องไปด้วยกัน แทนที่จะสนใจลักษณะทางญาณวิทยาในวัฒนธรรมไทย หรือศาสนาในระดับมหภาค เขาหันมาสนใจ “การใช้เหตุผลเชิงปฏิบัติและคำบอกเล่าสะท้อนความคิด ซึ่งผู้คนใช้เป็นพื้นฐาน และทำให้ชีวิตทางสังคมกลายเป็นความสำเร็จในทางปฏิบัติ” มากกว่า และเขายังนำวิธีการประสานการวิเคราะห์เชิงสังคมระดับมหภาคมาใช้กับคำอธิบาย และการกระทำของแต่ละปัจเจก โดยเน้นอยู่เสมอว่ามนุษย์แต่ละคนต่างก็มีความสัมพันธ์กับศิลปะ ตัวบท ความทรงจำ และวัตถุทั้งหลาย แนวทางนี้เปิดโอกาสให้เกิดงานศึกษาที่คำนึงถึงความสามารถ และอำนาจของปัจเจกที่จะแย้งกับตนเอง ที่จะเปลี่ยนรหัสวัฒนธรรม (เช่น เปลี่ยนการตัดสินคุณค่าและความหมาย) ที่จะสะดวกใจในการยึดถือความคิดที่ขัดแย้งกัน 2 ประการ หรือมากกว่า ที่จะตัดสินใจตามข่าวลือ และอารมณ์ส่วนตัวหรืออารมณ์ของคนหมู่มาก โดยจงใจและตั้งใจละเลยข้อเท็จจริงและประวัติศาสตร์ หรือกระทำสิ่งใดโดยปราศจากการไตร่ตรองหรือปราศจากความหมาย (น. 38-39)

ผลของการใช้วิธีวิทยาดังกล่าวมาศึกษาความเชื่อเรื่องสมเด็จโตและนางนากจากการค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การสัมภาษณ์บุคคลที่นับถือสมเด็จโต นางนาก ความเชื่อและความนิยมในบทสวดคาถาชินบัญชร การเข้าร่วมในพิธีกรรม และการเดินทางเก็บข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ ที่บูชารูปปั้นสมเด็จโต และศาลนางนาก พบว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับสมเด็จโตสะท้อนบทบาทของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาไทยว่า สมเด็จโตสามารถแสดงบทบาทเป็นพระของชนชั้นสูง เป็นพระของสามัญชน ของชาวบ้าน หรือแม้แต่เป็นพระที่โจรหรือหัวขโมยยอมรับนับถือได้ กระทั่งแสดงบทบาทของพระที่ “ดูหมิ่นกษัตริย์” ในที่สาธารณะได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสมเด็จโตมีความเป็นปัจเจกบุคคลที่เป็น “ผู้กระทำการ” ที่สามารถใช้ประโยชน์จากคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาได้ด้วยวิจารณญาณของตนเอง และใช้อย่างเหมาะกับบุคคล และสถานการณ์ต่างๆ
เช่น เมื่อจะตั้งคำถาม วิจารณ์หรือเตือนสติกษัตริย์ (ร.4) สมเด็จโตก็จะแสดงออกโดยการกระทำที่สะท้อน “ความหมาย” จากคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาแบบหนึ่งที่ทำให้กษัตริย์สามารถรับรู้ได้ว่า พระองค์เองอาจจะหมกมุ่นในบางเรื่องจนลืมคุณธรรมหรือหน้าที่ของผู้ปกครองไปหรือไม่ เมื่อจะเตือนพระหัวดื้อ, ขโมย หรือคนติดการพนัน สมเด็จโตก็จะแสดงออกโดยการกระทำและคำพูดอีกแบบที่สะท้อน “เมตตาธรรม” และให้แง่คิดแก่คนเหล่านั้นสำนึกผิด และเปลี่ยนแปลงตนเอง

ในหลวงรัชกาลที่ 4 กับสมเด็จโตฯ
ส่วนบรรดาผู้คนที่นับถือสมเด็จโตและนางนาก ก็ไม่ใช่ผู้ที่เชื่ออย่างปราศจากการตั้งคำถาม และปราศจากอำนาจต่อรองใดๆ เพราะคนเหล่านั้นไม่สักแต่เชื่อตามเรื่องเล่า พวกเขายังตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่าเหล่านั้นด้วย และไม่สักแต่เชื่อตามบทสวด พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เทพ หรือคำสอนของเกจิต่างๆ เท่านั้น พวกเขายัง “เป็นผู้กระทำการ” ที่สามารถตีความหรือสร้างความหมายของบทสวด เวทย์มนต์ พิธีกรรม ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทพ, เกจิ, วัตถุมงคล, รูปเคารพและอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ, ความหวัง, โชคลาภ, การป้องกันภัย, หรือความสุขทางจิตใจ กระทั่งสร้างแรงบันใจในการทำความดีต่างๆ ของตนเองด้วย อีกทั้งพวกเขายังมีอำนาจต่อรองกับสิ่งที่พวกเขานับถือ เช่น พวกเขาไม่ต้องการให้นางนากไปเกิดใหม่ เพราะต้องการให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางนากคุ้มภัย และให้โชคกับตัวเองตลอดไป เป็นต้น

รูปปั้นแม่สมเด็จโต (แต่งกายแบบแม่ชี) ที่วัดอินทรวิหาร (กรุงเทพฯ) ด้านหลังรูปปั้นเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งอาจสื่อถึงรัชกาลที่ 1 ตอนพบกับแม่ของสมเด็จโตในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในจังหวัดกำแพงเพชร
ตามมุมมองของแมคดาเนียล วิธีการทำความเข้าใจการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ ไม่ใช่การตั้งคำถาม “ปัญหาทางญาณวิทยา” ว่า บรรดาผู้นับถือสมเด็จโตหรือนางนาก (รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ) รู้หรือมีวิธีการรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับสมเด็จโต (ที่ขาดหลักฐานชัดเจนและขัดแย้งกันนั้น) เป็นความจริง, รู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณนางนากมีอยู่จริง หรือรูปบูชาสมเด็จโต, คาถาชินบัญชร และศาลนางนากศักดิ์สิทธิ์จริง แต่ควรทำความเข้าใจว่าการนับถือสมเด็จโตและนางนาก รวมทั้งการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่โดยทั่วไป บรรดาผู้นับถือแสดงออกถึงความเป็นปัจเจกบุคคลผู้กระทำการต่อความเชื่อ คำสอน การบูชา พิธีกรรม วัตถุทางศาสนา และอื่นๆ ที่มีอยู่ในคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาไทยอย่างไร ใช้สิ่งที่พวกเขานับถือให้เกิดประโยชน์ในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อย่างไร หรือสร้างความหมายเชิงสังคมขึ้นมาอย่างไร เช่น สร้างความหมายว่าสมเด็จโตเป็นพระผู้ปกป้องคุ้มครองชาติในยุคอาณานิคม เป็นต้น
จากมุมมองดังกล่าว ทำให้แมคดาเนียลวิจารณ์ว่า “นักวิชาการโดยเฉพาะนักรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มักเน้นอำนาจแห่งการโฆษณาชวนเชื่อของราชสำนักจนล้นเกิน และมักตัดพ้อว่าคนไทยมีแนวโน้มที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์โดยมิเสื่อมคลาย คณะสงฆ์ไทยมักถูกวาดภาพเป็นเครื่องมือของรัฐหรือราชสำนัก” (น. 65) จากนั้นเขาก็ยกตัวอย่างเรื่องการใช้ 112 และบทบาทของราชวงศ์ในเหตุการณ์รัฐประหาร 2516, 2520, 2535 และ 2549 ว่าดูเหมือนจะสนับสนุนสมมติฐานของนักวิชาการทั้งไทยและเทศ แล้วเขาก็วิพากษ์ว่า
...คำอธิบายเหล่านี้มักมองว่าคนไทยเป็นผู้บูชาที่มืดบอด ไม่ได้รับรู้ข้อมูล ส่วนพระสงฆ์หากไม่เป็นนักฉวยโอกาส ก็เป็นเหยื่อทางการเมือง เป็นที่ทราบกันดีว่าในชีวิตประจำวันนั้นคนไทยเสพข่าวลือเกี่ยวกับพระราชวงศ์ ส่งต่อภาพถ่ายที่ไม่เหมาะสมกันอย่างเปิดเผย และตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทพระราชวงศ์ในการพัฒนา การเมือง และการช่วยเหลือสังคม สิ่งเหล่านี้ดูจะเกิดในยุคสมัยของสมเด็จโตเช่นกัน เมื่อเราพบว่าท่านดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์อย่างเปิดเผย บางทีทัศนะของนักวิชาการที่ชอบมองว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่ตั้งคำถามกับอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ อาจเป็นทัศนะที่ต้องนำมาทบทวนเสียใหม่ (น.65)
วิจารณ์
ผมคิดว่าจุดเด่นในหนังสือเล่มนี้ของแมคดาเนียล คือการใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า “การศึกษาคลังวัฒนธรรม” โดยวิธีวิทยาเชิงชาติพันธุ์วิทยาในสายของลาร์ตูร์ และการ์ฟินเกลมาทำความเข้าใจการนับถือสมเด็จโตและนางนากที่สามารถปรับใช้อธิบายการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ได้ด้วย ผลของการศึกษาตามแนวทางนี้ทำให้เราเข้าใจความซับซ้อนและความหลากหลายของการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ ทำให้เรารับรู้ถึงความเป็นปัจเจกบุคคลในฐานะผู้กระทำการของบรรดาผู้นับถือพุทธศาสนาว่า พวกเขาเป็นผู้กระทำการที่ให้ความหมายและใช้ประโยชน์จากความเชื่อในคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาไทย ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถูกกระทำหรือถูกปลูกฝังให้เชื่อเชื่องอย่างมืดบอด แต่สามารถใช้วิจารณญาณของตนเองในการตัดสิน ตั้งคำถามต่อความเชื่อนั้นๆ แม้แต่ตั้งคำถามต่อการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับบุญญาธิการของราชวงศ์ หรืออัจฉริยภาพของกษัตริย์ และปัจเจกผู้นับถือศาสนายังแสดงอำนาจต่อรองตามเงื่อนไขและความสามารถของตนเอง เช่นที่สมเด็จโตดูหมิ่นกษัตริย์สองพระองค์อย่างเปิดเผย หรือคนไทยเสพข่าวลือและตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ตามที่แมคดาเนียลตั้งข้อสังเกต และอื่นๆ
การเข้าใจและยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคลผู้กระทำการของบรรดาผู้นับถือสมเด็จโต นางนาก และผู้นับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ ยังทำให้เรายอมรับเหตุผลทางจริยศาสตร์ของการนับถือพุทธศาสนาว่า การนับถือพุทธศาสนาแบบศึกษาคำสอนที่เป็นเหตุเป็นผล และการปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลส ปล่อยวาง และพ้นทุกข์ กับการบูชา การปฏิบัติพิธีกรรม การอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์ต่างๆ เพื่อให้คุ้มภัย มีโชคลาถ ความเจริญรุ่งเรืองหรือความสุขทางโลก ต่างก็มีคุณค่าเฉกเช่นกัน ไม่จำเป็นว่าคุณค่าความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณจะต้องสูงส่งถูกต้องเหนือกว่าคุณค่าทางโลก วัตถุมงคลพาณิชย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือแสดงถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาเสมอไป เพราะเราอาจมองว่าเป็นการมาบรรจบพบกันในเชิงสร้างสรรค์ระหว่างความเชื่อ ศิลปะ และธุรกิจในสังคมไทยสมัยใหม่ก็ได้ ในขณะเดียวกันความย้อนแย้งหรือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ หรือท่าทีทางศีลธรรมของบรรดาผู้นับถือศาสนาก็ควรเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับกันได้ โดยไม่ต้องขึ้นกับเงื่อนไขของการจัดประเภท ดังที่แมคดาเนียลเขียนว่า
“ผมเสนอว่าเราควรหยุดกล่าวถึงศาล รูปเคารพ เครื่องราง พิธีกรรม คัมภีร์และบทสวดมนต์ว่าเป็นของพราหมณ์ เถรวาท มหายาน ตันตระ รหัสยลัทธิ ลัทธิภักติ จิตวิญญาณนิยม หรือแม้แต่เป็นของผสมผสาน วิถีปฏิบัติทางศาสนาแบบไทยสะท้อนให้เห็นสิ่งที่วิลเลียม คอนโนลลี (William Connolly) เรียกว่า ‘ขันติธรรมต่อความกำกวม’ (tolerance for ambiguity)” (น. 52)
แมคดาเนียลเสนอว่า แทนที่เราจะพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในคลังวัฒนธรรมของพุทธศาสนาด้วยกรอบคิด “จัดประเภท” เราควรมองให้เห็นว่า “คุณค่า” ของวัตถุและวิถีปฏิบัติต่างๆ เหล่านั้นในมิติที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ ผู้คน และสถานที่บางอย่าง ไม่ใช่เพราะวัตถุเหล่านั้นแสดงให้เห็นความเป็นพุทธ ความเป็นพราหมณ์ ความเป็นไทย หรือความเป็นท้องถิ่น ในบทสรุปของหนังสือนี้เขาย้ำถึงการทำความเข้าใจการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่แบบไม่จัดประเภทหรือใช้กรอบคิดใดๆ มาตัดสิน เพื่อตอกย้ำว่าข้อเสนอของเขาน่าจะช่วยให้เกิดคุณค่าที่เรียกว่า “ขันติธรรมต่อความกำกวม” หรือการเปิดกว้างต่อความไม่ชัดเจนของความเชื่อ และการปฏิบัติทางศาสนาของปัจเจกบุคคลในฐานะผู้กระทำการดังที่อภิปรายมาแล้ว
โดยที่ผมสนใจศึกษาประเด็น “การเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัย” หรือ “secularization” มากกว่าสิบปี ผมคิดว่าวิธีการอธิบายการนับถือสมเด็จโตและนางนากที่สะท้อนการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ของแมคดาเนียลมีนัยสำคัญสนับสนุน “การเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางสังคมวิทยา” (sociological secularization) เพราะถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับและเคารพการนับถือพุทธศาสนาในมิติแตกต่างหลากหลาย ซึ่งสะท้อนอำนาจการตีความและการสร้างความหมายของปัจเจกบุคคลได้มากขึ้น ก็ย่อมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางสังคมได้เร็วขึ้น ส่วน “ขันติธรรมต่อความกำกวม” นั้นอาจเป็นข้อเสนอที่ก้าวล้ำไปถึงสังคมหลังโลกวิสัย (post-secular society) เลยด้วยซ้ำ

โครงการแลกเปลี่ยนสัมมาธรรมเรื่องพระธรรมวินัย ขอวัตรปฏิบัติระหว่างพระภิกษุนานาชาติ 2 สายธรรม (บาลี-สันสกฤต) ธิเบต ไทย ศรีลังกา ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2566
แต่ปัญหาคือ พลวัตการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยปัจจุบัน (ภายใต้รัฐไทยปัจจุบันที่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “รัฐโลกวิสัย” หรือ “secular state”) อาจจะต่างจากที่แมคดาเนียลเขียนว่า “วิถีปฏิบัติทางศาสนาแบบไทย สะท้อนให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าขันติธรรมต่อความกำกวม” นั่นอาจเป็นความจริงบางส่วนที่เขาพบในช่วงเวลาที่ทำงานวิจัย (?) ทว่ามีตัวอย่างมากมายของการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่มี่ขาดขันติธรรมต่อความกำกวม เช่น กรณีความเชื่อ “นิรมิตเทวาจุติ” และ “การเชื่อมจิต” ของน้องไนซ์ ได้มีกลุ่มชาวพุทธออกมาเรียกร้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย ด้วยข้ออ้างที่ว่าความเชื่อเช่นนั้นไม่มีในไตรปิฎก เป็นการบิดเบือนคำสอนพุทธศาสนา และทำลายพุทธศาสนาเถรวาท พวกเขาอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ในการแจ้งความดำเนินคดีฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จและบิดเบือนพุทธศาสนาเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ซึ่งพวกเขาเห็นว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ตัวอย่างที่คลาสสิกกว่านั้น เช่น ในยุคหนึ่งมีชาวพุทธปัจเจกบุคคลกล่าวหาโจมตีว่าพุทธทาสภิกขุเป็น “เดียรถีย์” เพราะตีความคำสอนพุทธศาสนาต่างจากคณะสงฆ์ มีกลุ่มชาวพุทธกล่าวหาสมณะโพธิรักษ์ว่าเป็นเดียรถีย์ ผมเคยชื่นชมสมณะโพธิรักษ์และชาวอโศกที่ “ประกาศอิสรภาพ” จากการปกครองของมหาเถรสมาคม และก่อตั้ง “ชุมชนสันติอโศก” เป็นชุมชนศาสนาที่มีองค์กรบริหารจัดการแบบเอกชน แต่ต่อมาสมณะโพธิรักษ์และชาวอโศกกลับเคลื่อนไหวทางการเมืองสนับสนุนอุดมการณ์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ตีความธรรมะสนับสนุนรัฐประหารของ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และสมณะโพธิรักษ์ยังกล่าวหาว่าประป่า เช่น พระอาจารย์เสาร์, พระอาจารย์มั่น, หลวงปู่แหวน, หลวงตามหาบัว ล้วนแต่ “โมฆะ” หรือเป็น “เดียรถีย์” เพราะปฏิบัติผิดหลักพุทธศาสนา (ดู https://youtu.be/c2opct3FWEk?si=Qvs2PR29-U86G5y9)
ดังนั้น การนับถือพุทธศาสนาแบบไทย แม้จะมีจุดแข็งที่การยอมรับความหลากหลายของความเชื่อ พิธีกรรม รูปเคารพ และอื่นๆ ที่ทำให้เรามองเห็นเสมือนว่ามีขันติธรรมต่อความกำกวม ซึ่งเป็นผลดีในแง่ที่ช่วยลดความขัดแย้งและความรุนแรงทางศาสนา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดปัญหาที่เรียกว่า “มือถือสากปากถือศีล” เพราะลื่นไหล เปลี่ยนจุดยืนไปมา ต่างจากสังคมตะวันตกที่ผู้คนมีจุดยืนชัดเจนระหว่าง “คาทอลิก” กับ “โปรเตสแตนท์” ระหว่าง “ฝ่ายซ้าย” กับ “ฝ่ายขวา” หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม เป็นต้น
กรณีเรื่องเล่าสมเด็จโตดูหมิ่นกษัตริย์อย่างเปิดเผย ก็เป็น “กรณีเฉพาะ” ไม่ใช่พระสงฆ์ทั่วไปจะทำได้เช่นนั้น สมเด็จโตอาจเป็น “ข้อยกเว้น” เนื่องจากท่านเป็นที่ยอมรับนับถือของกษัตริย์ในช่วงเวลานั้น แต่ก็มีเรื่องเล่าด้วยว่า มีพระราชาคณะบางรูปเลียนแบบการเทศนาต่อหน้าพระพักตร์เหมือนสมเด็จโต ทว่า ร.4 ไม่พอพระทัย ทำให้พระราชาคณะรูปนั้นต้องขอพระราชทานอภัยโทษ ยังมีกรณีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เทศนาในเชิงไม่เห็นด้วยที่ ร. 6 ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่า “อาชีพทหารเป็นอาชีพชั่ว เพราะทำปาณาติบาต” จึงถูก ร. 6 สั่งลงโทษให้กักบริเวณภายในวัดบวรนิเวศวิหาร และถอดสมณศักดิ์ กรณีอื่นๆ ที่ท้าทายอำนาจกษัตริย์และมหาเถรสมาคม เช่น ครูบาศรีวิชัย และกบฎผีบุญเป็นต้น ล้วนเป็นการกระทำจากเจตจำนงของปัจเจกบุคคล แต่ถูกอำนาจรัฐกดปราบ

จริงอย่างที่แมคดาเนียลว่า “ในชีวิตประจำวันนั้นคนไทยเสพข่าวลือเกี่ยวกับพระราชวงศ์ ส่งต่อภาพถ่ายที่ไม่เหมาะสมกันอย่างเปิดเผย และตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทพระราชวงศ์ในการพัฒนา การเมือง และการช่วยเหลือสังคม สิ่งเหล่านี้ดูจะเกิดในยุคสมัยของสมเด็จโตเช่นกัน” แต่ผมไม่แน่ใจว่า “อย่างเปิดเผย” ที่แมคดาเนียลหมายถึงคือแค่ไหน อย่างไร เราต่างทราบว่า “การนินทาพระนินทาเจ้า” เป็นเรื่องปกติที่มีมานานในสังคมไทย แต่นั่นเป็นการพูดถึงในลักษณะคล้ายกับที่ผู้แปรพักตร์จากเกาหนีเหนือเคยให้สัมภาษณ์ว่า "แน่นอนว่าที่เกาหลีเหนือ เราไม่สามารถพูดอะไรที่ไม่ดีต่อคิมจองอึนในที่สาธารณะได้ นอกจากจะอยู่กับเพื่อนสนิท, คนรัก หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัว" (ดู https://www.sanook.com/news/9466982/) ในยุคการชุมนุมของคนเสื้อแดง มีพี่น้องแจ้งคดี 112 กัน พ่อแม่แจ้งคดี 112 กับลูก อาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำแจ้งคดี 112 กับนักศึกษา ต่อมา “ไผ่ ดาวดิน” แค่แชร์รายงานข่าวประวัติ ร.10 จากเว็บไซต์บีบีซีไทย ก็ติดคุกในคดี 112 กว่า 3 ปี ครั้นถึงยุคการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ที่ชู 3 นิ้วเป็นสัญลักษณ์ เพียงแค่ทำโพลตั้งคำถามต่อ “ขบวนเสด็จ” ก็โดน 112 แล้ว ยังมีคนโพสต์และแชร์เรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์อีกจำนวนมากที่ โดน 112 โดยเฉพาะกรณี “อานนท์ นำภา” ผู้ยกระดับการปราศรัยสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยในสังคมไทย ก็โดนคดี 112 เกือบ 20 คดี ศาลตัดสินไปแล้ว 3 คดี ติดคุกรวม 10 ปี กับ 20 วัน และยังมีคนอื่นๆ ที่โดน 112 และไม่ได้สิทธิ์ประกันตัวเช่นเดียวกับอานนท์ อีกทั้งยังมี “บุ้ง เนติพร” หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” ที่โดนคดีหมิ่นศาล และ 112 เธออดอาหารประท้วงในคุกกว่าสองเดือน และเสียชีวิตในที่สุด โดยที่กรมราชทัณฑ์ไม่ยอมให้หลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดแก่ญาติและทนายความของเธอ ดังนั้น การตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ในสังคมไทย จึงไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ “อย่างปกติ” ขนาดนั้น ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับสถาบันกษัตริย์ หรือปัญหาเสรีภาพในการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ของคนไทย จึงซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะอ้างกรณีตัวอย่าง “สมเด็จโตดูหมิ่นกษัตริย์อย่างเปิดเผย” มาอธิบายให้เห็นว่านี่คือ “ลักษณะทั่วไป” ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์และประชาชนกับสถาบันกษัตริย์ไทย เพราะในความเป็นจริงสังคมไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางการเมือง (political secularization) จึงยังมีอำนาจแบบศาสนาคือ “อำนาจอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้” ของกษัตริย์อยู่ และจึงทำให้ไม่มีเสรีภาพในการพูดถึงอำนาจเช่นนั้นได้จริง ความเป็นจริงเหล่านี้เป็นต้น ทำให้นักวิชาการไทยปัจจุบันตั้งคำถามต่อปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนามากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แมคดาเนียลจะวิจารณ์มุมมองของนักวิชาการเกี่ยวกับประเด็นพุทธศาสนากับสถาบันกษัตริย์ แต่งานชิ้นนี้ของเขาก็ไม่ใช่งานที่มุ่งถกเถียงประเด็นปัญหานี้โดยตรง เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตแบบผ่านๆ และผมเองก็เพียงต้องการ “แลกเปลี่ยน” กับข้อสังเกตของเขาเท่านั้น อันที่จริงดูเหมือนว่านักวิชาการด้านพุทธศาสนา บรรดาผู้รู้พุทธ และกลุ่มชาวพุทธปกป้องพุทธศาสนากลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยจะ “กังวล” หรือ “กลัว” การนับถือพุทธศาสนาแบบที่แมคดาเนียลนำเสนอ ชาวบ้านทั่วไปอาจมีขันติธรรมต่อความกำกวมมากกว่า ขณะที่นักวิชาการ บรรดาผู้รู้ และกลุ่มปกป้องพุทธศาสนากลุ่มต่างๆ มักจะมองความกำกวมเป็น “ความงมงาย” ขณะเดียวกันพวกเขาก็กลัว “การแยกศาสนาจากรัฐ” ว่าอาจทำให้พุทธศาสนาสูญเสียบทบาทและหมดคุณค่าต่อสังคมไทย ทั้งนี้เพราะพวกเขาขาดการถกเถียงกับ “แนวคิดโลกวิสัยที่ยอมรับความหลากหลาย” (pluralist secularism) ที่ไม่ได้ปฏิเสธคุณค่าของศาสนาต่างๆ ต่อวิถีชีวิตปัจเจกบุคคลและสังคม การแยกศาสนาจากรัฐบนกรอบแนวคิดเช่นนี้จึงมุ่งประกันเสรีภาพ ความเสมอภาคทางศาสนา เพื่อส่งเสริมความเคารพและความอดกลั้นต่อความเชื่อที่แตกต่างและความกำกวมในความเชื่อต่างๆ มากกว่า

ศาลแม่นาก ที่วัดมหาบุศย์
กล่าวโดยสรุป เมื่อมองในแง่คุณค่าทางวิชาการ ผมเห็นว่าหนังสือ “ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์ฯ” เป็นหนังสือที่ให้มุมมองใหม่ต่อการนับถือสมเด็จโตกับนางนาก และการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ เป็นหนังสือที่อัดแน่นด้วยข้อมูลหลักฐาน แต่มีท่วงทำนองการเขียนและการวิเคราะห์ที่ชวนติดตาม เหมือนผู้เขียนกำลังชวนผู้อ่าน “นำเที่ยว” สำรวจ ตั้งคำถาม พินิจพิเคราะห์การนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยที่สะท้อน “ความหมาย” และ “คุณค่า” ออกมาจากความคิด การให้ความหมาย การกระทำ และวิถีปฏิบัติของบรรดาผู้นับถือเหล่านั้นเองในฐานะปัจเจกบุคคลผู้กระทำการที่มีอำนาจตีความ สร้างความหมาย และต่อรอง จึงเป็นหนังสือที่ผู้ทำงานในวงวิชาการพุทธศาสนาควรอ่าน นักบวชหรือชาวพุทธทั่วไปก็ควรอ่าน หรือใครที่ต้องการทำความเข้าใจความซับซ้อนและพลวัตของการนับถือพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่ยิ่งต้องอ่าน สำหรับผมงานชิ้นนี้ของแมคดาเนียล มีนัยสำคัญสนับสนุน sociological secularization ดังกล่าวแล้ว แต่ผมยังเห็นว่าหากจะทำให้สังคมไทยมีเสรีภาพทางศาสนา และมี “ขันติธรรมต่อความกำกวม” ของการนับถือศาสนาในแบบที่แตกต่างหลากหลายได้จริง และทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์และประชาชนกับกษัตริย์พุทธมามกะอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออกได้จริง เราจำเป็นต้องทำเรื่อง “การแยกศาสนาจากรัฐทางการเมือง” หรือ “political secularization” ให้เป็นไปได้จริงด้วย
_____________________________________________________
อ้างอิง
จัสติน โธมัส แมคดาเนียล (2567). ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์: สมเด็จโตกับนางนากและการนับถือพระพุทธศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่, (แปลโดยสมหวัง แก้วสุฟอง) กรุงเทพฯ, อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์