ถาม/ตอบกับ ศศิภา พฤกษฎาจันทร์ ผู้แปล ‘สะพรึง’
หนังสือจาก Illuminations Editions จากบทละคร
เรื่อง Terror โดย แฟร์ดินันด์ ฟอน ชีรัค (Ferdinand von Schirach)
Q : ช่วยแนะนำตัวคร่าวๆ
A : ชื่อ ศศิภา พฤกษฎาจันทร์ ค่ะ จบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท โดยปริญญาโท เรียนสาขากฎหมายมหาชน แต่ทำวิทยานิพนธ์ไปในฟีลด์นิติปรัชญาค่ะ แต่ก็มีความเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย แล้วก็จบปริญญาโทอีกใบนึงจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเง่น (Georg-August-Universität Göttingen) ประเทศเยอรมนี ทางด้านนิติปรัชญา จริงๆ ตอนเรียนคอร์สเวิร์คเลือกเรียนสองฟีลด์ คือ กฎหมายมหาชน (รัฐธรรมนูญ) และนิติปรัชญา แต่เขียนงานจบเกี่ยวกับนิติปรัชญา ปัจจุบันกำลังเรียนต่อปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเง่น จริงๆ แรกเริ่มเลยสนใจกฎหมายรัฐธรรมนูญ พึ่งมาสนใจนิติปรัชญามากๆ ตอนเรียนปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ค่ะ
ปกหนังสือ Terror ในภาษาเยอรมัน
Q : เป็นมาอย่างไรถึงมาแปลบทละคร ทั้งๆ ที่เป็นนักกฎหมาย
A : อันนี้อาจจะต้องเล่าเท้าความยาวหน่อย คือตอนแรกเลยทางสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ติดต่อมาผ่านทางอาจารย์ที่ปรึกษา (อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์) ว่าอยากจะพิมพ์วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเราเป็นหนังสือ ซึ่งตอนนั้นกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่เยอรมันค่ะ พอกลับมาก็ได้นัดคุยกับทางสำนักพิมพ์ก็ได้ทราบว่าคุณพิพัฒน์ พสุธารชาติ สนใจจะพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับนิติปรัชญาเล่มอื่นๆด้วย ก็ปรึกษากันว่าอยากจะเลือกตำราดังๆ ทางนิติปรัชญามาแปลเป็นภาษาไทย เช่น The Concept of Law ของ H. L. A. Hart ซึ่งจริงๆ เราก็สนใจนะ แต่ก็กังวลว่าปกติหนังสือทางนิติปรัชญาก็ไม่ได้มีผู้อ่านในวงกว้างอยู่แล้วแม้แต่ในหมู่นักกฎหมายเอง แล้วมันก็เป็นปรัชญาเฉพาะด้วย คือ คนที่ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายเลยมาอ่านเนี่ย อาจจะเข้าใจได้ยาก ก็กลัวว่าแปลไปแล้วจะไม่มีคนอ่าน แต่ถ้าพูดถึงคุณค่าทางวิชาการเราก็รู้สึกว่ามันมีสูงมากเลยเพราะยังไม่เคยเห็นคนแปลตำรานิติปรัชญาเป็นภาษาไทย แต่ก็อย่างที่บอก กลัวไม่มีคนอ่าน ตอนนั้นก็บอกคุณพิพัฒน์ไปแบบนี้ แล้วก็เลยนึกถึงบทละคร Terror ของแฟร์ดินันด์ ฟอน ชีรัค (Ferdinand von Schirach) ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับประเด็นศีลธรรมกับกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นพื้นฐานทางนิติปรัชญา เลยลองเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้คุณพิพัฒน์ฟัง

ภาพยนตร์เยอรมัน Terror (2016) ที่ออกฉายทางทีวีใน Germany, Austria, Switzerland, Slovakia และ The Czech Republic
คือจริงๆ เรื่องนี้มันน่าสนใจมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะกับนักกฎหมาย มันเป็นปัญหาความขัดแย้งทางศีลธรรม (moral dilemma) ที่ชวนให้ทุกคนในสังคมได้ขบคิด แต่มันวางประเด็นเลยไปอีกสเต็ปนึง คือเป็นประเด็นความขัดแย้งทางศีลธรรมที่วางประเด็นทางกฎหมายซ้อนเข้าไปอีกชั้นนึงด้วย และพอมันอยู่ในรูปแบบบทละคร ก็คิดว่ามันน่าจะอ่านง่าย คนเข้าถึงง่าย ก็เสนอคุณพิพัฒน์ไปว่าหรือเราเริ่มจากบทละครทางนิติปรัชญาแบบนี้ก่อน เพื่อเปิดประเด็นทางนิติปรัชญาให้คนทั่วไปสนใจและรู้จักนิติปรัชญาก่อน แล้วเราค่อยต่อยอดไปแปลตำราอะไรที่มันยากขึ้น เหมือนขว้างก้อนหินลงไปในน้ำให้มันมีแรงกระเพื่อมก่อน ปรากฏว่าพอเล่าเรื่องให้คุณพิพัฒน์ฟัง แกเกิดถูกใจขึ้นมา (จริงๆ มีน้องอีกสองสามคนนั่งอยู่ด้วย เขาฟังแล้วก็ชอบเหมือนกัน)
ทีนี้ปัญหาคือ ใครจะแปล? ตอนแรกก็ถามกันอยู่ว่ามีแปลอังกฤษอยู่ไหม เราก็บอกว่ามีนะ แต่ถ้าแปลจากเยอรมันโดยตรงน่าจะได้อรรถรสกว่า คุณพิพัฒน์คงไม่รู้จะไปหานักแปลเยอรมันจากไหนก็เลยลองถามเราดูว่าแปลได้ไหม ซึ่งใจจริงตั้งแต่ได้ดูได้อ่านบทละครเรื่องนี้เราก็เคยคิดอยู่ว่าอยากให้มีแปลเป็นภาษาไทยจังเลย ถ้าไม่มีคนแปลจะแปลเองแล้วนะ อะไรแบบนั้น พอคุณพิพัฒน์ถามก็เลยเข้าทางเลย ตอนแรกคุณพิพัฒน์ก็ยังไม่แน่ใจว่านักกฎหมายจะมาแปลบทละครได้หรือ ก็เลยให้เราไปลองแปลมาสั้นๆ ดูก่อน พอแปลมาให้คุณพิพัฒน์ลองอ่านดู คุณพิพัฒน์ก็ไปติดต่อซื้อลิขสิทธิ์เลย ทุกวันนี้ยังคุยกันขำๆ ว่าเป็นนักกฎหมายแต่เปิดตัวหนังสือเล่มแรกเป็นบทละคร แต่ที่จริงแล้วก็เคยบอกคุณพิพัฒน์อยู่เหมือนกันนะว่าพอมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายและนิติปรัชญา ยังไงก็ต้องให้นักกฎหมายช่วยดู คืออาจจะให้คนอื่นแปล แต่ต้องมีนักกฎหมายช่วยเช็คหน่อย เพราะมันมีคอนเซปต์เฉพาะทางกฎหมายที่คนนอกสาขาอาจจะไม่เข้าใจแล้วแปลคลาดเคลื่อนได้
ปกหน้าและหลังของหนังสือ Terror ฉบับภาษาไทย
ต้องขอบคุณคุณพิพัฒน์ และทีมงานสำนักพิมพ์มากๆ เลยที่ไว้วางใจให้นักกฎหมายอย่างเรามาแปลบทละคร การแปลบทละครเรื่องนี้เป็นเหมือนความฝันที่ห่างไกลมากๆ แต่เป็นจริงแล้วในวันนี้ ความจริงทางสำนักพิมพ์ก็แบกรับความเสี่ยงไว้มาก เพราะเป็นบทละครเรื่องแรกของสำนักพิมพ์เลย ปกติถ้าใครติดตามอยู่จะทราบว่าสำนักพิมพ์ทำแต่หนังสือวิชาการ-กึ่งวิชาการ เล่มนี้ถือว่าแหวกแนวมากๆ และบทละครไม่ใช่รูปแบบทางวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ซึ่งถ้ามองในมุมนี้แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ต้องมีความพิเศษจริงๆ ไม่อย่างนั้นทางสำนักพิมพ์คงไม่ยอมเสี่ยงขนาดนี้
Q : ฟังอย่างนี้แล้วเลยอยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
A : ก่อนอื่นเลย คือการที่รูปแบบของหนังสือเป็นบทละครนี่แหละ พอมันดำเนินเรื่องด้วยบทพูดเรารู้สึกว่าทำให้การเล่าเรื่องที่มันยากออกมาได้ง่ายขึ้น ย่อยง่ายขึ้น และความน่าสนใจ คือเค้ามีลูกเล่นนิดหน่อยเวลาเอาไปแสดงละครเวทีหรือฉายในโรงภาพยนตร์ เขาไม่ได้เปิดเผยตอนจบทั้งหมด คือต้องบอกก่อนว่า Terror เป็นการนำเสนอโดยมีฉากหลังเป็นการพิจารณาคดีในศาลทั้งเรื่อง และเขาสมมติให้ผู้ชมเป็นคณะลูกขุน ในการแสดงแต่ละรอบเขาจะให้ผู้ชมโหวตผลของคดี และผู้พิพากษาจะอ่านผลของคดีตามผลโหวต เท่ากับว่าผู้ชมแต่ละรอบอาจจะได้ชมตอนจบที่ไม่เหมือนกัน เขามีการรวบรวมสถิติผลโหวตไว้ด้วยนะที่เว็บไซต์ของเขา
สถิติผลโหวตของผู้ชม ณ โรงละครต่างๆที่จัดแสดงเรื่อง Terror (เข้าถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2567)
จาก https://terror.theater/cont/results_main/en
เรื่อง Terror มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงด้วยนิดนึง คือ ตัวกฎหมายที่เป็นฐานของประเด็นนั้นเคยออกมาจริงๆ และถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นโมฆะไปจริงๆ เล่าคร่าวๆ คือเยอรมนีออกกฎหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาเพื่อป้องกันการก่อการร้ายจากผลพวงของเหตุการณ์ 9-11 พูดง่ายๆคือให้อำนาจรัฐยิงเครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้บังคับให้ไปพุ่งชนตึกหรืออะไรอื่นๆอีกที คือสุดท้ายแล้วอนุญาตให้รัฐฆ่าผู้โดยสารบนเครื่องได้นั่นแหละ (แต่ทั้งนี้กรณีต้องเป็นวิถีทางสุดท้ายแล้วด้วย) เพราะถือว่าเครื่องบินที่ถูกจี้นั้นกลายเป็นอาวุธของผู้ก่อการร้าย ศาลรัฐธรรมนูญเลยวินิจฉัยให้มาตรานั้นเป็นโมฆะเพราะขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่รัฐธรรมนูญรับรอง คนเขียนเลยมาแต่งเรื่องต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีการจี้เครื่องบินและมีเจ้าหน้าที่รัฐตัดสินใจยิงเครื่องบินเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น ผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่คนนั้นสมควรถูกลงโทษฐานฆ่าคนตายไหม
แฟร์ดินันด์ ฟอน ชีรัค
ต้องเล่าถึงคนเขียนนิดนึง แฟร์ดินันด์ ฟอน ชีรัค จริงๆ แล้วเป็นนักกฎหมาย จบกฎหมายมา เคยเป็นทนายอยู่ด้วยพักนึง งานเขียนเขาเลยวางประเด็นทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมได้อย่างน่าสนใจมาก เรื่อง Terror นี้ก็เช่นกัน ปัญหาของเรื่องนี้มันเป็นปัญหาพื้นฐานมากๆของนิติปรัชญา คือ กฎหมาย กับ ศีลธรรม ซึ่งจริงๆ มันนามธรรมมาก ถ้าพูดลอยๆ คนอาจจะนึกไม่ออกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเขาอย่างไร มันสำคัญอย่างไร แต่ชีรัคเลือกหยิบประเด็นนี้มาผูกกับข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม และเล่าออกมาให้คนเห็นภาพได้ เราเชื่อว่าคนอ่านเล่มนี้แล้วจะต้องคิดตามแน่นอน ปัญหาหลักของเรื่องคือ ระหว่าง 164 กับ 70,000 ชีวิต คุณจะเลือกอะไร จะเลือกสละชีวิตคนจำนวนน้อยเพื่อรักษาชีวิตคนจำนวนมากไหม เป็นการชั่งน้ำหนักชีวิตคนด้วยจำนวน ซึ่งเหมือนจะตอบง่ายถ้าจำนวนมันต่างกันมากๆแบบนี้ แต่จริงๆไม่ง่าย เพราะเราไม่สามารถมองชีวิตคนเป็นเพียงแค่ตัวเลขได้ ถ้าลองนึกว่าใน 164 คนที่จะต้องสละนั้นมีคนที่คุณรักอยู่ อะไรแบบนี้ ชีรัควางการให้เหตุผลของทั้งสองฝ่ายไว้ดีมาก คืออ่านแล้วจะไม่รู้สึกว่าฝ่ายใดถูกหรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันมีเหตุผลทั้งคู่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญในวิชานิติปรัชญา หลายคนไม่ชอบวิชานี้เพราะมันฟันธงแบบนักกฎหมายไม่ได้ เราตั้งคำถามถึงรากฐานของกฎหมาย เราพยายามหาคำตอบ แต่สุดท้ายแล้วเราพบว่ามันไม่มีคำตอบ ซึ่งมันขัดกับธรรมชาติของนักกฎหมาย นักกฎหมายต้องมีคำตอบสำหรับคำถามทางกฎหมาย พอนิติปรัชญาให้คำตอบแบบนั้นไม่ได้ มันก็ขัดแย้งกับลักษณะของวิชาชีพ แต่ถามว่าสำคัญไหม ก็ต้องบอกว่า สำคัญมาก เพราะนักกฎหมายที่ไม่ตั้งคำถามกับกฎหมายเลยก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรปรับบทกฎหมาย
การแสดงละคร Terror ในโรงละคร Lyric Hammersmith ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่นักกฎหมายควรอ่าน และไม่ใช่แต่เฉพาะนักกฎหมายนะ คนทั่วไปที่สนใจประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและศีลธรรมก็ควรอ่าน เพราะจริงๆแล้วกฎหมายมีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับสังคม ทุกคนในสังคมล้วนต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมาย ดังนั้นการสำรวจตรวจสอบข้อความคิดว่าด้วย “กฎหมาย” จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนในสังคมทุกคน เราจะเคารพเชื่อฟังกฎหมายอย่างสนิทใจได้อย่างไรถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามเลยสักครั้งว่ากฎหมายคืออะไร หรือทำไมเราถึงต้องเคารพกฎหมาย หรือเราแค่เชื่อฟังเพราะมันเป็นกฎหมายที่เขาบอกว่าต้องเชื่อฟัง โดยไม่ได้มีสำนึกหรือตระหนักรู้ต่อกฎหมายจริงๆ ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าบทละครเล่มนี้เป็นหนังสือที่สามารถอ่านและเข้าใจได้ง่าย เห็นภาพ สะท้อนปัญหารากฐานทางกฎหมายออกมาได้ดีมาก ปัญหามันลึกนะ แต่ชีรัคเขียนออกมาได้เป็นรูปธรรมมากเลย อีกอย่างนึงคือภาษาสวยด้วย ตอนแปลเราก็ประทับใจ คือมันลึกซึ้งกินใจ แหลมคม แต่ในขณะเดียวกันก็เรียบง่าย เข้าใจง่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากสำหรับเรา

ศศิภา พฤกษฎาจันทร์ ขณะบรรยายวิชานิติปรัชญา ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2562
Q : อยากกล่าวอะไรทิ้งท้ายกับผู้อ่าน
A : หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่หย่อนลงไปในน้ำ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของประเด็นต่างๆ ที่จะตามมา อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทุกคนจะได้คำถาม แต่จะไม่ได้คำตอบง่ายๆ แน่นอน สิ่งที่จะได้คือประเด็นปัญหาที่ถูกเปิดออกให้เห็น เพื่อนำไปขบคิดต่อ
วันนี้หนังสือเล่มนี้สมมติให้ผู้อ่านเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ตัดสิน ที่น่าสนใจคือหากวันหน้าบทบาทของคุณเปลี่ยนไป ถ้ากลายเป็นว่าคุณตกอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่ต้องตัดสินใจ หรืออยู่ในฐานะผู้เสียหาย คำตอบคุณจะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ หรือเมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย คุณจะเลือกรักษาชีวิตหรือหลักการ?
__________________________________________________________